รีวิวฉบับที่ 2046 … The Lofts ราชเทวี เป็นโครงการระดับ Super Luxury ตัวใหม่ล่าสุดจาก Raimon Land ที่คราวนี้ตั้งอยู่บนทำเลยอดฮิตอย่างราชเทวี – พญาไท เรามองว่าจุดเด่นของโครงการนี้อยู่ที่ตัวห้องค่ะ ที่นี่จะขายห้อง 2 แบบเป็นหลัก แยกตามความสูง คือห้องแบบ Simplex ที่สูง 3 เมตร และห้องแบบ Lofts ที่สูงชั้นละ 2.2 เมตรเป็นอย่างต่ำเลย เมื่อรวมกับ Details การเลือกใช้วัสดุต่างๆทำให้ภายในห้องสามารถสร้างบรรยากาศเรียบหรูได้ดี โครงการนี้เปิดตัว Sales Gallery ไปเมื่อ 22 กุมภาพันธ์ หรือเสาร์ที่ผ่านมา วันนี้เราไปดูรีวิวละเอียดของโครงการกันดีกว่านะ
ข้อมูลโครงการ
21 February 2020
- The Lofts Ratchathewi (เดอะ ลอฟท์ ราชเทวี)
- บริษัท พญาไท แลนด์ จำกัด
- SUPER LUXURY CLASS (อ่านรายละเอียดของ Segment คอนโดได้ที่นี่)
- โครงการตั้งอยู่ : ถนนพญาไท
- ที่ดินประมาณ 1-2-31.5 ไร่
- คอนโด High Rise 33 ชั้น และ 1 ชั้นใต้ดิน 1 อาคาร จำนวน 273 ยูนิต
- ยูนิตต่อชั้นสูงสุด 16 ยูนิต / ยูนิตต่อชั้นต่ำสุด 5 ยูนิต
- ที่จอดรถประมาณ 177 คัน คิดเป็น 64.8%
- เริ่มก่อสร้าง : ไตรมาส 2 ปี 2563
- คาดว่าจะแล้วเสร็จ : ประมาณไตรมาสแรก ปี 2566
- ประเภทห้องชุด“ซิมเพล็ก” (Simplex) พื้นที่ 25.5-109.5 เพดานสูงประมาณ 3 เมตร
- “ลอฟท์” (Lofts) พื้นที่ 29-64.5 เพดานสูงประมาณ 4.7 เมตร
- “ดูอัล คีย์” (Dual Keys) พื้นที่ 72.5-109.5 เพดานสูงประมาณ 3 เมตร
ทำเลที่ตั้ง
พิกัด Google Maps : 13.7504211,100.5385177
หรือสามารถ : คลิกที่นี่
แผนที่จากทางโครงการค่ะ ที่ตั้งของ The Lofts ราชเทวี จะอยู่บนถนนพญาไท ระหว่างรถไฟฟ้า BTS สถานีราชเทวีกับสถานีพญาไท โดยทำเลนี้ถือเป็นอีกหนึ่งทำเลใจกลางเมืองใกล้สยาม ใกล้สถาบันการศึกษา และโรงพยาบาลหลายแห่งค่ะ มีการคมนาคมที่ถือว่าสะดวกเลย ทั้งถนนหนทาง ทางด่วน รถไฟฟ้า หรือแม้กระทั่งท่าเรือก็ยังมีนะคะ
ที่เราบอกว่าโครงการตั้งอยู่ระหว่าง สถานีพญาไท กับ สถานีราชเทวี ถ้าดูจากระยะห่าง โครงการจะห่างจาก BTS ราชเทวี 200 เมตร แต่ต้องเดินข้ามถนนใหญ่ค่ะ ส่วน BTS พญาไทจะห่างออกไป 400 เมตร แต่ไม่ต้องข้ามถนนนะ ซึ่งเราว่าการข้ามถนนก็ถือว่าเป็นการต้องใช้เวลาเพื่อเดินหรือยืนรอรถที่สี่แยกเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน ตรงนี้ก็สามารถเลือกใช้ได้ตามสะดวกเลย ส่วนเรื่องอาหารการกินก็ต้องบอกเลยว่า สองสถานีนี้มีของกินข้างสถานีที่เยอะมากเหมือนกัน ร้านอาหารดีดี อาหารข้างทาง ตลาด รถเข็นขายอาหารมีอยู่เยอะมากตลอดทาง และสามารถหาอะไรกินได้ตลอด 24 ชั่วโมงด้วยซ้ำค่ะ ถือว่าเป็นอีกทำเลที่นับว่าสะดวกทั้งเรื่องการเดินทางและอาหารการกินเลยนะคะ
ในอนาคต บนถนนเพชรบุรี (ใกล้กับโครงการ) ก็มีแผนการสร้างรถไฟฟ้าอีกเช่นกัน คราวนี้เป็น MRT ค่ะ ตรงนี้เป็นสายสีส้ม ที่เราอาจจะคุ้นๆกันบ้างว่าตอนนี้กำลังก่อสร้างอยู่เลยช่วงมีนบุรี – ศูนย์วัฒนธรรม ซึ่งในเฟสต่อๆไปจะสร้างต่อไปยังตลิ่งชันเลยทีเดียว แต่นี่เป็นแผนการเท่านั้นนะคะ เรายังไม่เห็นการก่อสร้างเพิ่มเติม อาจจะเป็นอนาคตที่ระยะยาวออกไปเป็นสิบปีก็ได้ค่ะ
มาดูที่แผนที่อิงกับ Google Maps กันอีกครั้งนะคะ จะเห็นถึงตำแหน่งของถนนต่างๆ รถไฟฟ้า คลอง รวมไปถึงทางด่วนที่อยู่ไม่ไกลเลย ไม่เกินแยกก็สามารถ Access ไปใช้งานระบบขนส่งต่างๆได้สะดวกค่ะ จุดที่เราว่าน่าสนใจคือการที่เราสามารถเลือกใช้งานรถไฟฟ้าได้ทั้ง 2 สถานีเลย ก็จะได้ประโยชน์ในการไปใช้รถไฟฟ้า Airport Rail Link เพื่อเดินทางไปยังสุวรรณภูมิได้สะดวกเช่นกัน เผื่อวันไหนรีบเร่ง และการจราจรติดขัด เลือกเดินทางด้วย ARL ก็จะช่วยควบคุมเวลาได้ดีเลยนะคะ (ถ้าไม่เกิดเหตุขัดข้องนะ)
ขออธิบายเพิ่มเรื่องจุดกลับรถเล็กน้อย
1. ในกรณีที่ออกจากโครงการจะไปสยาม สามารถกลับรถได้ที่ถนนศรีอยุธยานะคะ แต่ว่าจะมีเวลากลับรถอยู่ด้วย
2. ถ้าเรามาจากประตูน้ำ(ถนนเพชรบุรี) จะไปยังโครงการ สามารถไปกลับรถได้ที่ใต้สะพานหัวช้างค่ะ อาจจะเจอกับรถติดบางช่วงเวลานะคะ
ตำแหน่งของ The Lofts ราชเทวี ถือว่าใกล้ห้าง สถานศึกษาใหญ่หลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นโซนค้าส่งแฟชั่น ชื่อดังอย่างประตูน้ำ บริเวณถนนพญาไทตอนล่างลงมาที่จะมีสถานศึกษาชื่อดังอย่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย , เตรียมอุดมศึกษา , สาธิตปทุมวัน , สาธิตจุฬาฯ เป็นต้นค่ะ นอกจากนี้บนถนนสุขุมวิทช่วงชิดลม-สยามก็เต็มไปด้วยอาคารสำนักงาน ห้างสรรพสินค้ามากมาย แถมเป็นห้างที่วาง Position อยู่ในช่วง Mid to High และมีระดับ Luxury อย่างเกษรหรือ Central Embassy อยู่ไม่ไกล เราเลยมองว่าจากโครงการสามารถเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านี้ได้ง่ายมากค่ะ
เส้นทางการเดินทาง
เส้นทางการเดินทางวันนี้ เราเริ่มจาก BTS สถานีพญาไทมายังโครงการนะคะ ลองไปเดินดูพร้อมกันดีกว่า ว่าจะเจอกับอะไรบ้าง
(คลิกเลื่อนรูปดูเส้นทางได้นะคะ)
เริ่มต้นกันที่ BTS พญาไทค่ะ ออกทางออก 1 นะคะ
สภาพแวดล้อมรอบโครงการ
The Lofts ราชเทวี ตั้งอยู่บนทำเลที่ค่อนข้างเจริญมากแล้ว และอยู่ใกล้กับรถไฟฟ้าอีก ดังนั้นพื้นที่รอบๆโครงการจึงมีความหนาแน่นและความหลากหลายค่อนข้างสูง มีอาคารที่เป็นคอนโดมิเนียมสูง เก่า กลาง ใหม่เยอะ รวมไปถึงอาคารสำนักงานใหม่ อยู่ร่วมกับที่พักอาศัยเเนวราบดั้งเดิมที่เป็นรูปแบบตึกแถวและอาคารพาณิชย์ ดังนั้นในเรื่องวิวหรือมุมมอง อาจจะไม่ใช่วิวแบบที่เปิดโล่งกว้าง แต่จะเป็นวิวที่มองออกไปได้เพียงระยะใกล้มากกว่า ฝั่งที่สามารถมองออกไปได้ไกลหน่อยคงจะเป็นวิวทางทิศตะวันตก ที่ยังเป็นอาคารแนวราบเป็นส่วนมาก ไม่มีอาคารสูงในระยะใกล้ค่ะ
- ทิศเหนือ ติดกับที่อยู่อาศัยแนวราบ ถัดไปเป็นที่ดินเปล่า คาดว่าน่าจะเป็นโครงการพักอาศัยอาคารสูง และถัดไปอีกนิดจะเป็นคอนโดสูง 31 ชั้นค่ะ
- ทิศใต้ ติดกับอาคารสำนักงานใหม่ Spring Tower สูง 27 ชั้น
- ทิศตะวันออก ติดกับอาคารพาณิชย์ ถนนพญาไท ฝั่งตรงข้ามเป็นคอนโดสูง 44 ชั้น และ 23 ชั้น
- ทิศตะวันตก ติดกับที่พักอาศัยเเนวราบค่ะ
มองเข้าไปยังที่ตั้งโครงการ จะเห็นว่าทางซ้ายมือจะมีอาคารสูงติดกับโครงการเลย
ทิศตะวันออก มองออกมาหน้าโครงการจะเป็นถนนพญาไท เป็นถนนเส้นที่มีรถไฟฟ้าวิ่งผ่าน และจะมีอาคารประเภทที่พักอาศัยตึกสูงอยู่ฝั่งตรงกันข้ามค่ะ ดังนั้นห้องที่หันมาทางทิศนี้ก็จะได้วิวรถไฟฟ้า ถนนใหญ่ และเห็นอาคารสูง แต่จะไม่ได้อยู่ในระยะประชิดค่ะ
ทิศใต้ จะเป็นฝั่งราชเทวีค่ะ
ฝั่งนี้จะมีการคารสำนักงานชื่อว่า Spring Tower ตั้งอยู่ เป็นอาคารสูง 27 ชั้น , Sales Gallery หรือสำนักงานขายของโครงการ The Lofts ราชเทวี ก็จะอยู่ที่ชั้น 9 ภายในอาคารนี้ค่ะ
ทิศเหนือ เป็นแนวอาคารที่อยู่อาศัยแนวราบที่เป็นตึกแถว ถัดไปจะเห็นคอนโดสูง 31 ชั้นตั้งอยู่ แต่คาดว่าอาจจะมีอีกโครงการตั้งมาใกล้ๆกันค่ะ
สถานที่สำคัญใกล้เคียงต่างๆ เช่น
- Phyathai 1 Hospital ~ 1.5 km.
- Siam Discovery ~ 1.8 km.
- Siam Center ~ 1.8 km.
- Phyathai 2 Hospital ~ 2 km.
- MBK ~ 2 km.
- Bangkok Art and Culture Centre ~ 2 km.
- Siam Paragon ~ 2.2 km.
- Jim Thompson Museum ~ 2.5 km.
- Central World ~ 2.6 km.
- Police General Hospital ~ 2.6 km.
- Supachalasai Stadium ~ 2.6 km.
- Triam Udom Suksa School ~ 2.7 km.
- Gaysorn Village ~ 2.7 km.
- Chulalongkorn University ~ 3.6 km.
รายละเอียดโครงการ
The Lofts ราชเทวี เป็นคอนโด High Rise จาก Raimon Land ที่ตั้งอยู่บนถนนพญาไท โดยแบรนด์ The Lofts ที่เราอาจจะคุ้นหูกันก็มี The Lofts อโศก , The Lofts สีลม และ The Lofts เอกมัยนะคะ โดยแบรนด์ The Lofts นี้สร้างมาเพื่อเจาะกลุ่มตลาด Hi-end เลย ดังนั้นถ้าเราดูภาพรวมของโครงการ จะเป็นโครงการนี้จำนวนยูนิตไม่มาก (มี 273 ยูนิต) ตั้งอยู่บนที่ดินใจกลางเมือง ขนาดประมาณ 1 ไร่ครึ่ง (ราชเทวี-พญาไท) และมีรูปแบบห้องพักให้เลือกหลากหลาย Layout (มีอยู่ 23 แบบ) แบบห้องพักส่วนใหญ่ก็จะเน้นพื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่ อยู่อาศัยสบายค่ะ เราเลยมองความความ Luxury ที่ Raimon Land ต้องการสื่อคือ Location ที่สะดวกสบาย + Products แบบห้องที่อยู่สบาย นะ
ความเป็นย่าน All Day All Night ถูกนำมาเป็นหนึ่งในแนวความคิดในการออกแบบ The Lofts ราชเทวี ถ้าเราสังเกตดูจาก Model หรือภาพจำลองอาคาร เราจะเห็นว่าอาคารจะถูกแบ่งเป็น 2 โทนสี ด้านหน้าฝั่งที่ติดกับถนนใหญ่จะมีสีที่อ่อนกว่า ส่วนด้านหลังจะเลือกใช้โทนสีที่เข้มขึ้นมาค่ะ โดยการเลือกโทนสีนี้ก็จะถูกนำมาใช้ในการเลือกวัสดุภายในห้องด้วยนะคะ ซึ่งโครงการนี้จะขายเป็นแบบ Fully Fitted แต่เป็น Fully Fitted ที่เราสามารถเลือกโทนวัสดุได้ว่าจะเป็น Urban Light (สื่อถึงช่วงเวลากลางวัน) หรือว่า Twilit Night (แสดงถึงช่วงเวลากลางคืน)
ตัวอาคารจะเป็น High Rise อาคารเดียว สูง 33 ชั้น + 1 ชั้นใต้ดิน แบ่งฟังก์ชันแต่ละชั้นดังนี้
- ที่จอดรถ ~ อยู่ที่ 1 ชั้นใต้ดิน + ชั้น 1 ถึง 8 เป็นระบบ Conventional หรือวนจอดแบบปกติ สามารถจอดรถได้ 177 คัน คิดเป็น 64.8% ถ้าเทียบกับคอนโดระดับ Luxury ส่วนใหญ่มักจะให้ที่จอดรถมามาก แต่ถ้าเทียบกันคอนโดที่อยู่ใกล้รถไฟฟ้าแล้ว โครงการนี้จะให้ที่จอดรถมากกว่าคอนโดใกล้รถไฟฟ้าอื่นๆค่ะ
- ส่วนกลาง ~ ชั้น 1 , ชั้น 27 และชั้นดาดฟ้า
- ห้องพักอาศัย ~ ชั้น 9 – 18 , ชั้น 26 และชั้น 28 – 33 เป็นห้องแบบ Simplex สูง 3 เมตร โดยห้องที่อยู่ชั้น 28 – 33 จะถูกเรียกว่า Cloud zone เป็นยูนิตที่มีขนาดใหญ่กว่าชั้นอื่นๆค่ะ ส่วนห้องแบบ Loft จะอยู่ที่ชั้น 19 -25 มีความสูง 4.7 เมตร
สำหรับผังอาคารเราจะมีเฉพาะชั้นที่เป็นพื้นที่ส่วนกลางมาให้ดูเท่านั้นนะคะ ยังไม่มีข้อมูลส่วนของชั้นพักอาศัย ดังนั้นในเรื่องการวิเคราะห์ตำแหน่งห้องต่างๆ เช่น ห้องรูปแบบ Studio , 1 Bedroom และ 2 Bedrooms อยู่ตำแหน่งไหนบ้าง ได้วิวอะไรอาจจะขาดไปนะคะ แต่ถ้าอ่านรีวิวแล้วสนใจในรูปแบบห้องหรือทำเล อยากรู้ข้อมูลเพิ่มเติมก็ไปที่ Sales Gallery ของโครงการได้โดยตรงเลยค่ะ (อยู่ที่ Spring Tower ชั้น 9 ข้างๆที่ตั้งโครงการค่ะ)
เรามาดูผังชั้น 1 หรือ Master Plan ของโครงการกันก่อน โดยโครงการนี้จะมีทางเข้า-ออกติดกับถนนใหญ่ ถนนพญาไทค่ะ ถ้าใครเคยผ่านแถวนี้บ่อยๆคงคุ้นกับอาคารที่เป็นตึกแถวอยู่ข้างถนนใหญ่นี้นะคะ ด้วยข้อจำกัดของทำเล ทำให้ด้านหน้าฝั่งที่ติดกับถนนใหญ่บางส่วนยังเป็นอาคารพาณิชย์หรือตึกแถวอยู่นะ ซึ่งก็ถือว่าเป็นข้อดีได้เหมือนกันค่ะ เพราะเรามองว่าภายในโครงการชั้น 1 นี้จะมีส่วนที่จัดเป็นพื้นที่ส่วนกลางอย่าง Lobby , Co-working Area , Study Room หรือว่าสวนต่างๆก็จะไม่ได้อยู่ชิดกับทางเดินริมถนนใหญ่ สร้างความ Private ให้กับคนที่ใช้งานพื้นที่ต่างๆเหล่านี้ได้ค่ะ
มาดูภายในโครงการกันค่ะ ที่ชั้น 1 จะเป็นชั้นส่วนกลางทั้งชั้นเลยค่ะ จะมีฟังก์ชันใช้งานสำหรับลูกบ้านอยู่ทางฝั่งด้านหน้าอาคาร ส่วนด้านหลังจะเป็นฟังก์ชันบริการต่างๆ เช่น พื้นที่จอดรถ ห้องสำหรับเก็บงานระบบค่ะ โดยที่ชั้นนี้จะเน้นการออกแบบพื้นที่สีเขียวเป็นพิเศษ มีอยู่หลายจุดเลยนะคะ เช่น
- Raintree Courtyard – เป็นสวนที่อยู่ข้างๆทางเข้า
- Water Court – สวนหน้า Pavilion
- Secret Garden – สวนมุมที่ดิน สามารถจัด Private outdoor party หรือทำ BBQ ได้
- PET Area – มุมสำหรับสัตว์เลี้ยงที่อยู่ด้านหลังของอาคารค่ะ โครงการนี้ถือว่าเป็นอีกหนึ่งคอนโดที่อนุญาตให้เลี้ยงสัตว์ได้นะคะ แต่จะมีเงื่อนไขหรือรายละเอียดอะไรบ้าง อาจจะต้องรอสอบถามอีกครั้งค่ะ
ลองดูภาพประกอบกับโมเดลกันค่ะ ข้างๆทางเข้าจะเป็น Raintree Courtyard จาก Lobby และ Co-working Area ก็จะมี Outdoor Seating Area อยู่ด้านหน้าด้วย แต่ก็จะมีกลุ่มอาคารที่เป็นตึกแถวเดิมอยู่ด้านหน้า กันความวุ่นวายบริเวณถนนใหญ่ และกันสายตาจากคนที่เดินผ่านไปผ่านมาได้ค่ะ
พื้นที่ส่วนที่อยู่หน้าอาคารจะถูกซอยแบ่งเป็น 3 ส่วน Raintree Courtyard ที่อยู่ข้างประตูทางเข้า , Water Court หน้า Pavilion สูง 3 ชั้น และ Secret Garden ที่อยู่มุมที่ดินค่ะ ในการใช้งานจึงเกิดพื้นที่ส่วนตัวขนาดไม่ใหญ่มาก แต่มีหลากหลาย สามารถเลือกใช้พื้นที่ที่ชอบได้เลย บางคนอาจจะชอบใช้งานพื้นที่ส่วนกลางเงียบๆคนน้อยๆ การจัดพื้นที่แบบนี้ก็ถือว่าตอบโจทย์อยู่นะคะ แต่ต้องรอดูของจริงอีกทีว่า Landscape ของจริงจะออกมาหน้าตาแบบไหนนะ
มาดูรูปประกอบกันค่ะ ทางเข้าโครงการจะถูกดันเข้ามาด้านใน ไม่ได้ชิดติดถนนมาก ทำให้รถที่รอ Scan เข้า หรือว่าผู้มาเยือนที่ต้องติดต่อกับรปภ. มีพื้นที่จอดรถรออยู่นะคะ และรูปแบบรั้วส่วนใหญ่ก็จะเป็นรั้วทึบ เพื่อเพิ่มความ Private ให้กับพื้นที่ภายในโครงการค่ะ
ภาพจำลองบรรยากาศ Raintree Courtyard ที่อยู่ข้างกับประตูทางเข้าค่ะ ตรงนี้จะเน้นต้นไม้ใหญ่เป็นหลัก
ตรงนี้จะเป็น Water Court (ซ้ายมือ) ที่อยู่หน้า Pavilion สูง 3 ชั้น ตรงนี้เดาว่าเป็นการนำตึกแถวที่อยู่ด้านหน้ามา Renovate เป็นพื้นที่ส่วนกลางเพิ่มให้ค่ะ ทำให้ลูกบ้านได้ฟังก์ชันใช้งานเพิ่มขึ้น เช่นพื้นที่นั่งเล่น พื้นที่ดูหนัง เป็นต้น
ส่วน Secret Garden ที่มุมอาคารก็จะเป็นพื้นที่สีเขียวแยกออกมาอีกจุดค่ะ สามารถมานั่งเล่นได้ จัด BBQ Party ได้เลย
ถัดจากชั้น 1 ขึ้นมาที่ชั้น 27 จะเป็นชั้นของพื้นที่ส่วนกลางอีก 1 ชั้นเต็มค่ะ โดยจะมีสระว่ายน้ำขนาด 25 เมตร กว้าง 5 เมตร เป็น LAP Pool ระบบกรองปราศจากคลอรีน พร้อม Jacuzzi มีฟิตเนส มีพื้นที่นั่งเล่นที่เป็น Semi – outdoor และ สวน outdoor ค่ะ ฟังก์ชันอาจจะไม่ได้หวือหวามาก แต่ก็ถือว่าครบถ้วน มี Details ในการออกแบบที่น่าสนใจอยู่นะคะ เราไปดูกัน
ที่ชั้นนี้จะมีทั้งส่วนที่เป็น Indoor และ Outdoor ค่ะ อย่างสระว่ายน้ำก็จะเห็นว่ามีบางส่วนอยู่ในร่มและบางส่วนที่อยู่กลางแจ้งนะคะ แต่ส่วนที่อยู่กลางแจ้งหลักๆจะเป็นสวน
ภาพจำลองบรรยากาศหน้าโถงลิฟต์ชั้น 27 ค่ะ ออกจากลิฟต์มาเราจะเจอกับสระว่ายน้ำ และทางเดินไปยัง Outdoor Deck เราชอบโทนการตกแต่งนะคะ ไม่ได้ดูเปิดโล่งไปเลย แต่ยังสามารถมองเห็นได้ว่าฟังก์ชันอะไรอยู่ตำแหน่งไหน แต่ไม่รบกวนคนที่ใช้งานพื้นที่นั้นๆอยู่
ภาพจำลองบรรยากาศ LAP Pool ค่ะ ส่วนที่อยู่ indoor จะมีการตกแต่งฝ้าเพดานด้วยไฟที่ Random เหมือนเป็นดวงดาวเลย และมีผนังที่อยู่หน้าทางเดินโถงลิฟต์ คนที่ใช้งานสระก็จะได้บรรยากาศที่เป็นส่วนตัวมากขึ้นด้วย
Picturesque Courtyard จะเป็นสวนที่ถูกจัดวาง หรือประดิษฐ์ขึ้นมา ดูแล้วให้บรรยากาศเหมือนกับสวนที่ญี่ปุ่นเลยค่ะ ซึ่งการจัดสวนแบบนี้ต้องการให้สวนนี้เหมือนกับภาพวาด ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ต้องมีองค์ประกอบที่สวยนั่นเอง
ส่วนชั้นดาดฟ้าจะถูกจัดไว้เป็นสวนทั้งชั้นเลยค่ะ สามารถขึ้นมาใช้งานนั่งเล่นได้นะคะ
เนื่องจากภาพที่ได้มาค่อนข้างจำกัด เราแนะนำให้ผู้อ่านคลิกเข้าไปดู VDO Presentation โครงการนี้เพิ่มเติมได้ที่ Link ข้างล่างนะคะ จะมีภาพบรรยากาศส่วนกลางอื่นๆอีกหลายมุมเลยค่ะ
สรุปสิ่งอำนวยความสะดวก
- พื้นที่ส่วนต้อนรับ (Lobby)
- พาวิลเลี่ยน เลาจน์ 3 ชั้น (Pavilion Lounge)
- ห้องอ่านหนังสือ (Study Room)
- Co-working Space
- ลานต้นไม้ใหญ่ (Rain Tree Courtyard)
- สระน้ำตกแต่ง (Water Court)
- Secret Garden
- สวนทัศนียภาพ (Picturesque Garden)
- สวนพร้อมพื้นที่สันทนาการบนชั้นดาดฟ้า (Rooftop Garden with Recreational spaces and panoramic city view)
- ห้องออกกำลังกาย
- ห้องอบไอน้ำแยกชายหญิง
- สระว่ายน้ำ พร้อมจากุซซี่ ความยาวประมาณ 5×25 เมตร
- Pet Area
- Concierge Service
- ลิฟต์โดยสาร 3 ตัว/อาคาร
- อัตราส่วนลิฟต์รวมทั้งโครงการ 91 : 1
- Service Lift 1 ตัว
- ที่จอดรถประมาณ 177 คัน คิดเป็น 64.8%
- ระบบรักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง
แบบห้อง
เรามองว่าอีกจุดเด่นของโครงการ The Lofts ราชเทวี คือตัวห้องค่ะ เพราะโครงการนี้มีรูปแบบห้องให้เลือก 23 แบบ จาก 273 ห้อง นั่นแปลว่าบางแบบอาจจะมีอยู่แค่ไม่กี่ยูนิตเท่านั้นนะคะ ซึ่งแบบห้องที่มีต่างๆนั้นทาง ThinkofLiving ไม่ได้มีผังมาให้ดูทุกห้อง แต่จะมีห้อง 2 แบบเด่นมาให้ดูค่ะ
ความหลากหลายของแบบห้องไม่ใช่แค่แปลนที่มีเยอะอย่างเดียวนะคะ ยังมีห้องให้เลือกตั้งแต่รูปแบบ Studio , 1 Bedroom , 2 Bedrooms และ 3 Bedrooms ให้เลือก นอกจากนี้แต่ละแบบห้องยังมีตัวเลือกห้องที่เป็นแบบ Simplex (สูง 3 เมตร) หรือ Loft (สูง 4.7 เมตร) อีกค่ะ ทำให้เราไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่มีห้องอยู่ถึง 23 แบบนะ แต่สิ่งที่น่าสนใจและเป็นห้องตัวอย่างที่จะพาไปชมวันนี้คือห้อง Simplex สูง 3 เมตร ที่เป็นห้อง Dual Keys กับห้อง Loft สูง 4.7 เมตร ทำไมสองห้องนี้ถึงน่าสนใจ ขอเราอธิบายก่อนนะคะ
Dual Keys
ในห้องพักทั่วๆไป มักจะเป็นห้องที่มีประตูเข้า-ออกยูนิตอยู่ 1 ทาง ซึ่งนั่นก็หมายความว่าจะใช้กุญแจเข้า-ออกได้ 1 ดอกใช่ไหมคะ? แต่ห้องแบบ Dual Keys จะนำแนวความคิดกุญแจ 2 ดอกมาใช้ คือหลังจากที่เราเข้ายูนิตพักอาศัยของเรามาแล้ว สามารถแยกทางเข้าได้อีก 2 ยูนิตย่อย แยกออกจากกันได้เลย
แล้วห้องแบบนี้มีข้อดีอย่างไร?
เรามองว่าในการใช้งานห้องพักอาศัย สำหรับคนที่อยู่กันเป็นครอบครัว ในอนาคตอาจจะมีสมาชิกแยกออกไปอยู่คนเดียวที่อื่นได้ ดังนั้นห้องที่เหลือเราอาจจะต้องการปล่อยเช่า ให้เพื่อนสนิท หรือว่าญาติมาอยู่ร่วมได้ แต่ก็ยังอยากได้ความเป็นส่วนตัวอยู่ ไม่ต้องการที่จะมีปฏิสัมพันธ์กันตลอดเวลา รูปแบบห้องพักแบบนี้ก็จะตอบโจทย์ค่ะ เพราะจะมีการแยกมิเตอร์ไฟฟ้ามาให้ ในห้องเล็กก็จะมีครัวและห้องน้ำในตัว(เหมือนห้อง Studio) ทำให้การใช้งานและจำนวน User ที่อยู่สามารถยืดหยุ่น (Flexible) ได้ด้วย เป็นอีกรูปแบบห้องที่น่าสนใจ และส่วนตัวไม่เจอโครงการไหนทำห้องรูปแบบนี้เลยนะคะ
Loft 4.7 เมตร ทำไมต้อง 4.7 เมตร?
ครั้งแรกที่เราได้ยินว่า 4.7 เมตร เราก็แอบสงสัยเช่นกันค่ะ ว่า 4.7 เมตรแล้วยังไง? แต่ว่าความสูง 4.7 เมตรนั้นกลายเป็นระยะที่สามารถออกแบบให้แต่ละชั้นสามารถสูง 2.2 เมตรได้ นั่นแปลว่าเวลาใช้งานก็จะรู้สึกสบายมากยิ่งขึ้น ซึ่งตรงนี้เราก็แอบเห็นด้วยเบาๆนะคะ เพราะหลายๆครั้งที่เราไปดูห้องฝ้าเพดานสูงที่นำมาทำเป็น Loft บางห้องก็มีระยะอยู่ที่ 1.9 – 2.0 เมตรเท่านั้น โดยเฉพาะห้องที่อยู่ชั้นบน ตัวเราที่มีความสูงประมาณเมตรห้าสิบอาจจะไม่รู้สึกแปลกอะไร แต่สำหรับคนที่สูง 1.8 เมตรขึ้นไปคงรู้สึกอึดอัดน่าดู ดังนั้นรายละเอียดเรื่องการออกแบบที่อยากให้ไม่ว่าชั้นบนและชั้นล่างมีความสูง 2.2 เมตรนั้น ก็จะช่วยให้การอยู่อาศัยภายในห้องรู้สึกสบายมากขึ้นด้วยค่ะ
วัสดุ
อย่างที่เราบอกไปตอนต้นว่า รูปแบบห้องของโครงการนี้จะขายเป็น Fully Fitted แต่เราสามารถเลือกวัสดุได้ 2 Theme ตามความชอบของเรา ลองไปดูกันค่ะว่าจะแต่ละแบบจะได้อะไร
Urban Light
Urban Light
โทนสี Urban Light จะเป็นโทนสีอ่อนค่ะ เดี๋ยวห้องตัวอย่าง Dual Keys จะเลือกใช้วัสดุโทนนี้นะ
Twilit Night
Twilit Night
โทนสีของ Twilit Night จะเป็นโทนสีที่เข้มขึ้นมา แต่ก็จะไม่ดำไปหมดนะคะ โทนสีนี้จะอยู่ในห้องตัวอย่างแบบ Loft ค่ะ
Studio Loft Type L1A
ห้องตัวอย่างแรกที่เราจะพาไปดูเป็นห้องแบบ Studio Lofts มีขนาดพื้นที่ใช้สอยตามโฉนด 33.5 ตร.ม. แต่ถ้ารวมพื้นที่ชั้นบนจะมีพื้นที่ประมาณ 50 ตร.ม.ค่ะ ราคาอยู่ที่ 12.2 ล้านบาทค่ะ ห้องตัวอย่างนี้จะตกแต่งด้วยวัสดุโทน Twilit Night หรือสีเข้มนั่นเอง
การแบ่งพื้นที่ใช้สอยภายในห้องจะจัดพื้นที่ส่วน Living อยู่ที่ชั้นล่าง และนำห้องนอนไว้ชั้นบน โดยพื้นที่ชั้นล่างจะเปิดโล่งเชื่อมต่อตั้งแต่หน้าห้องไปยังหลังห้องเลย ทำให้ห้องดูกว้าง โล่งค่ะ ตรงนี้จะได้เป็นครัวเปิดอยู่นะคะ แต่ก็ยังสามารถกั้นปิดได้ง่ายๆเลย สิ่งที่น่าสนใจของห้องนี้ที่เราชอบคือ
- ทางเข้าห้อง เมื่อเข้ามาจะเจอกับพื้นที่ใต้บันได โดยบันไดที่ออกแบบมาจะมีรูปแบบค่อนข้างโปร่ง ทำให้ไม่รู้สึกอึดอัด และยังได้พื้นเก็บข้าวของข้างผนังได้ด้วย
- Juliet Balcony เป็นการออกแบบหน้าต่างและราวกันตกรวมไว้ด้วยกัน ทำให้ได้บรรยากาศเหมือนยืนบนระเบียง (โดยที่ไม่มีระเบียง)
- Double door สำหรับระเบียง Service เป็นพื้นที่ปิดทึบแยกจากฟังก์ชันใช้งานภายในห้อง ทำให้เราสามารถซ่อน CDU แอร์ หรือตากผ้าไว้ได้ โดยไม่อยู่ในสายตาของคนที่ใช้งานภายในห้องค่ะ
- ห้องนอนที่ชั้น 2 พื้นที่ตรงนี้จะกั้นแยกเป็นสัดส่วน คือจะได้ห้องปิดเลย แต่เป็นผนังกระจก Laminated และประตูกระจก Tempered ทำให้ยังสามารถมองเชื่อมต่อกับชั้นล่างได้ แต่ก็ได้ความเป็นส่วนตัวภายในห้อง ไม่อึดอัดค่ะ
- การออกแบบโครงสร้างที่ชั้น 2 ถ้าเราเข้าไปดูจะสังเกตได้ว่าไม่มีเสารองรับชั้น 2 นะคะ เพราะโครงการนี้จะออกแบบให้โครงสร้างชั้น 2 Hang หรือแขวนลงมาจากด้านบนแทน ทำให้ในห้องนอนดูเหมือนจะมีเสาลอยอยู่ แต่การออกแบบนี้ทางโครงการบอกว่าจะรับน้ำหนักได้ดีกว่า และทำให้ชั้นล่างไม่มีเสามาเกะกะด้วย พื้นที่ก็จะโล่งต่อเนื่อง จัดวางเฟอร์นิเจอร์ต่างๆสะดวกขึ้นค่ะ
มาดูห้องตัวอย่างกันค่ะ เข้ามาในห้องจะเจอกับพื้นที่ใต้บันไดก่อนเลย ส่วนทางซ้ายมือจะเป็นตำแหน่งของห้องน้ำค่ะ ตรงนี้จะมีความสูงจากพื้นถึงฝ้าเพดาน 2.2 เมตร สิ่งที่เราชอบคือการออกแบบบันไดที่ดูโปร่ง ทำให้พื้นที่ใต้บันไดไม่ใช่แต่ซอกหลืบสกปรก แต่ยังสามารถจัดวางเฟอร์นิเจอร์ได้ ในขณะที่ตัวบันไดเองเปรียบเหมือน Partition คอยบังสายตาของคนที่เข้ามาในห้อง ไม่ให้เห็นเข้าไปยังภายในห้องด้านในได้ตรงๆค่ะ
พื้นที่บริเวณทางเดินยังสามารถจัดวางฟังก์ชันได้เช่นกันนะคะ เพราะตรงนี้จะมีความกว้างอยู่ถึง 1.65 เมตรเลย สามารถวางชั้นวางรองเท้า แขวนกระเป๋า เสื้อผ้าได้ และเราก็ชอบไอเดียที่เอากระจกมาตั้งไว้ตรงประตูนี้เหมือนกันค่ะ เพราะเป็นตำแหน่งหน้าห้องน้ำด้วย อาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ก็ส่องเช็คได้ หรือว่าจะออกจากบ้านก็ส่องดูความเรียบร้อยได้เลย
เข้ามาดูภายในห้องน้ำกันค่ะ ฟังก์ชันจะถูกจัดพื้นที่ส่วนแห้งไว้ใกล้กับทางเข้า ขวามือเป็นอ่างล้างหน้า ซ้ายมือเป็นโถสุขภัณฑ์ ส่วนห้องอาบน้ำจะอยู่ด้านใน การจัดแบบนี้ถือว่าเป็นการประหยัดพื้นที่ทางเดินได้ด้วยนะคะ
อ่างล้างหน้าจะเป็นแบบฝังครึ่งเคาน์เตอร์ มีพื้นที่วางข้าวของเครื่องใช้ อุปกรณ์ล้างมือหรืออุปกรณ์แปรงฟันบนเคาน์เตอร์ มีปลั๊กไฟให้ใช้งานเผื่อใครจะมาเป่า ไดร์ หรือม้วนผมก็ได้ค่ะ นอกจากนี้คือชุดกระจกเงาจะเป็นชั้นวางของได้ด้วย ซึ่งเป็นตำแหน่งวางเครื่องทำน้ำร้อนด้วยนะคะ
ชุดสุขภัณฑ์ของโครงการนี้จะเลือกแบบ Wall Hang ลอยขึ้นมาจากพื้น ทำให้เวลาเราเช็ดล้าง ทำความสะอาดห้องน้ำก็ทำได้ง่ายเลย เราชอบการเลือกลายกระเบื้องของพื้น ผนัง และหน้าตาของ Fitting ต่างๆอย่างที่แขวนกระดาษชำระ ปุ่มกดชักโครก ดูมีดีไซน์แปลกตาจากคอนโดที่เห็นทั่วไปค่ะ
ส่วนพื้นที่อาบน้ำก็จะมีกระจกกั้นไว้ให้ ด้านในมีช่องสำหรับวางอุปกรณ์อาบน้ำได้นิดหน่อย ตัวฝักบัวอาบน้ำจะมีทั้งแบบ Hand Shower และ Rain Shower ค่ะ ติดตั้งเป็นระบบน้ำร้อน ซึ่งมีข้อดีกว่าน้ำอุ่นตรงที่แรงดันน้ำจะดีกว่า และควบคุมอุณหภูมิน้ำได้ดีกว่า ภายในห้องน้ำมีพื้นที่ประมาณ 1.0×1.66 เมตร ใช้งานสบายเลย
ถัดเข้ามาจะเจอกับพื้นที่ครัวค่ะ สังเกตว่าพื้นจะเป็นพื้นประเบื้องลายหินอ่อนโทนสีเข้ม และขนาดกระเบื้องจะเป็นรูปร่างสีเหลี่ยมผืนผ้า ปกติเราจะเจอกระเบื้องที่มีรูปร่างเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส ดังนั้นลวดลายที่พื้นก็เลยเรียงสลับได้ด้วยค่ะ โดยพื้นที่ตรงนี้จะมีความกว้างจากบันไดถึงเคาน์เตอร์ 2 เมตรเลย เราสามารถวางชุดโต๊ะกินข้าวขนาด 2-4 ที่นั่งได้นะคะ
ชุดครัวจะมี Built-in มาให้หน้าตาแบบนี้เลย หน้าบานต่างๆจะเป็นวัสดุลายไม้สีเข้ม และมีเซนเซอร์ใต้ตู้บนด้วยนะคะ จะมีไฟติดอัตโนมัติใต้ตู้เลย พื้นที่เคาน์เตอร์นี้ก็จะเป็นที่วางเครื่องซักผ้าด้วย มีหน้าบานปิดดูเรียบร้อยดีค่ะ โดยเคาน์เตอร์ครัวจะยาว 2.1 เมตรเลย วัสดุท็อปครัวกับ Backsplash ด้านหลังจะเป็นกระเบื้องลายเดียวกัน โดยจะสั่งผลิต (Custom Made) ให้ยาวเป็นชิ้นเดียวพอดีกับความยาวของเคาน์เตอร์เลยค่ะ นอกจากนี้จะมีอุปกรณ์ครัวให้อย่างอ่างล้างจาน Stainless มีเตา Induction ของ Smeg ให้มา และมีเตาอบ+เตาไมโครเวฟ (2 in 1)ให้มาด้วยค่ะ
มาดูพื้นที่ส่วนนั่งเล่นกันค่ะ ตรงนี้จะเป็นพื้นที่โล่งโปร่งเลย มีขนาดประมาณ 2.7×3.45 สูง 4.7 เมตร บริเวณผนังบางส่วนจะมีติด Wallpaper ให้มานะคะ โดยจะเลือกติดแค่บางผนังเพื่อขับเน้นและสร้างมิติให้กับห้องค่ะ ถ้าแปะรอบห้องเลยก็อาจจะไม่สวยเท่ากับที่เราเลือกแปะบางส่วนนะคะ
ห้องนี้จะไม่ได้ออกแบบช่องแสงให้กว้างเต็มหน้ากว้างของห้องนะคะ ทำให้แดด แสงสว่างและความร้อนไม่เข้ามาภายในห้องมากจนเกินไป สามารถใช้งานภายในได้สะดวก และด้วยขนาดห้องที่กว้าง ก็ทำให้เราสามารถเลือกจัดวางเฟอร์นิเจอร์ได้หลาย Layout เลย ถ้าใครเบื่อง่ายอาจจะซื้อเฟอร์นิเจอร์ลอยตัว และสลับย้ายไปเรื่อยๆได้เหมือนกันค่ะ
อย่างในห้องตัวอย่างก็จัดมุมโต๊ะกินข้าวสำหรับ 2 ที่นั่งไว้ให้ ข้างหน้าต่างเลย (แต่อาจจะเปิดประตูไปใช้งานระเบียงลำบากนิดหน่อยนะคะ)
ตัวระเบียงจะมีจุดเด่นคือเป็นระเบียง Service ที่มีประตูกั้นไว้ให้ 2 ชั้นเลย ดูเรียบร้อยสวยงาม ระบายอากาศได้ดีค่ะ
มองย้อนกลับมาจะเจอกับทางขึ้นชั้น 2 ค่ะ โดยห้อง Loft ที่เราเห็นกันบ่อยๆจะเป็นห้องที่ชั้นลอยมักจะโล่งเชื่อมต่อกับชั้นล่าง เวลาเลือกใช้เครื่องปรับอากาศก็จะต้องเลือกแบบที่มีค่า BTU ที่สูงหน่อย แต่ห้องนี้จะได้ชั้น 2 เป็นห้องปิด แต่โปร่งด้วยผนังกระจกค่ะ
ตัวโครงสร้างชั้น 2 นั้นจะเป็นแบบที่แขวนลงมาจากด้านบน ทำให้เราไม่เห็นเสารองรับอยู่ด้านล่าง พื้นที่ก็จะดูโล่งสวยงามดีค่ะ ส่วนบันไดจะเป็นดีไซน์ที่โปร่งเหมือนกัน มีราวกันตกให้ ระยะลูกตั้งลูกนอนเราว่าออกแบบมาเดินสบายนะคะ ไม่ชันเกินไป
ขึ้นมาชั้นลองตัวพื้นจะเปลี่ยนจากกระเบื้องเป็น Vinyl ค่ะ
ตัวห้องจะมีผนังทึบสลับกับกระจก ทำให้ดูโปร่งอยู่นะคะ แต่ก็จัดว่าเป็นพื้นที่ส่วนตัวสำหรับพักผ่อน เพราะตำแหน่งที่อยู่ชั้น 2 ด้วย
ประตูห้องนอนจะเป็นบานเลื่อน ตัวกระจกจะเป็น Tempered Glass ค่ะ เห็นว่าตัวรางจะอยู่ด้านบน ทำให้ระดับพื้นต่อเนื่อง เดินไม่สะดุด ไม่เกิดซอกหลืบเก็บฝุ่นด้วย
เข้ามาภายใน จะเจอกับตู้เสื้อผ้าค่ะ ห้องนี้ขายแบบ Fully Fitted ก็จริง แต่ก็มีตู้เสื้อผ้า Built-in มาให้นะคะ กว้าง 1.8 เมตร หน้าบานเป็นกระจกสีชา ด้านอื่นจะปิดผิวด้วยลามิเนต ภายในจะมีเซนเซอร์ (Sensor) ไฟให้ด้วยค่ะ ถ้าเราปิดตู้ก็จะมืด แต่ถ้าเลื่อนเปิดก็จะมีไฟขึ้นมา หยิบจับ เลือกเสื้อผ้าก็ง่ายเลยค่ะ
หน้าตู้เสื้อผ้าจะมีพื้นที่เหลือ จัดเป็นมุมพักผ่อน อ่านหนังสือได้นะคะ ขนาดพื้นที่ 1.70×0.80 เมตร
ในห้องชั้นนี้จะมีความสูง 2.2 เมตร อยู่อาศัยสบาย ไม่รู้สึกอึดอัด พื้นที่ห้องส่วนนี้จะมีขนาด 2.7×2.9 เมตรค่ะ
เราชอบรายละเอียดที่นำเอาผนังกระจกมาใช้ เข้ามุมด้วย และมีความสูงจากพื้นถึงฝ้าเพดานเลย บรรยากาศในห้องก็เลยดูโปร่งขึ้นด้วยค่ะ ส่วนโครงสร้างที่ใช้แขวนลงมาก็มีลักษณะกลม ไม่เกะกะทางเดินเท่าไหร่ค่ะ
สามารถมองลงมายังพื้นที่นั่งเล่นได้ด้วยนะคะ
ผู้อ่านคิดเห็นอย่างไรกับห้องนี้บ้าง ลองบอกกันมาได้นะคะ เรามองว่าห้องนี้มีรายละเอียดที่น่าสนใจหลายจุดเลย ทั้งการออกแบบ การจัดวางฟังก์ชันรวมไปถึงวัสดุ ดังนั้นราคาก็เลย Premium ขึ้นตามรายละเอียดของห้องด้วยค่ะ
2 Bedrooms Dual Keys Type 2F-D
ห้องตัวอย่างอีกแบบที่พาไปดูเป็นห้องแบบ Dual Keys ค่ะ ถ้าดูจากแปลนคือเมื่อเข้ามาภายในห้องจะเจอกับพื้นที่เปรียบเสมือน Foyer เล็กๆแล้วค่อยแจกไปยังสองพื้นที่ ห้องนอนเล็กกับพื้นที่ห้องหลัก ตรงนี้ทางโครงการจะมี Option ให้เลือกไว้ด้วยนะคะ ว่าอยากได้ห้อง Layout นี้ หรือว่าจะเป็นห้องใหญ่รวมไปเลย ซึ่งจะมีข้อแตกต่างเล็กน้อยตรงห้องน้ำค่ะ ซึ่งถ้าเราเลือกห้องที่รวมไปเลย Single Key ห้องน้ำของห้องนอนเล็กจะใช้รวมกับพื้นที่ตรงกลางแทน และห้องน้ำในห้องนอนใหญ่จะเหลืออยู่ประตูเดียว ใช้งานเฉพาะห้องนอนใหญ่เท่านั้น แต่ถ้าในห้องแบบ Dual Keys นั้นมีจุดน่าสนใจอะไรบ้าง เรามาดูกันค่ะ
- ห้องนอนเล็ก จะมีการแยกมิเตอร์ไฟฟ้าไว้ให้ และมี Layout ภายในคล้ายกับห้อง Studio มีครัวและห้องน้ำภายในตัว ตรงนี้จะมีข้อดีเรื่องการแบ่งพื้นที่ที่สามารถยืดหยุ่นได้ในอนาคต เช่น เดิมทีเคยเป็นห้องนอนลูก แต่ถ้าลูกโตออกไปหรือแยกไปอยู่ที่อื่น พื้นที่ส่วนนี้อาจจะเป็นห้องที่ให้ญาติมาเช่าต่อ หรือปล่อยเช่าได้ด้วยค่ะ
- มุมอเนกประสงค์ ในรูปแบบห้องจะเน้นพื้นที่ส่วนกลางหรือ Common Area ขนาดใหญ่เปิดโล่งเชื่อมต่อกัน ทั้งครัว ส่วนรับประทานอาหาร และพื้นที่นั่งเล่น แต่ก็จะมีมุมเล็กๆมุมหนึ่งที่มีประตูบานเลื่อนเปิดปิด เป็นห้องอเนกประสงค์ ที่อาจจะจัดเป็นพื้นที่เก็บของ ทำงาน อ่านหนังสือ หรือว่าวางเครื่องออกกำลังกายหรือเล่นดนตรีก็ได้นะคะ เราชอบที่กั้นพื้นที่แยกเอาไว้ให้ ทำให้เราไม่ต้องเสียเวลาตกแต่งเพิ่มทีหลัง และยังเป็นพื้นที่ที่สามารถเก็บซ่อนสิ่งที่ไม่เรียบร้อย สะอาดตาจากบริเวณ Common Area ได้ค่ะ
- ห้องน้ำได้กระจกบานใหญ่ ตรงนี้จะเป็นห้องน้ำที่อยู่ในห้องนอนหลักค่ะ โดยการออกแบบห้องน้ำตรงนี้จะมีผนังกระจกเต็มบาน ณ ฝั่งที่อยู่ริมนอกของอาคาร ทำให้บรรยากาศของห้องน้ำนี้จะดูพิเศษขึ้น สว่างมากขึ้น อาจจะต้องหามู่ลี่มาติดเพิ่ม แต่ก็จะได้บรรยากาศของห้องน้ำอีกแบบแตกต่างจากห้องน้ำที่เห็นตามคอนโดทั่วไปค่ะ
เริ่มต้นกันที่ทางเข้า ประตูห้องจะปิดผิวด้วยลามิเนตลายไม้ ถ้าสังเกตการออกแบบประตูภายในโครงการนี้จะเป็นประตูที่สั่งผลิตมาให้พอดีกับความสูงของห้องเลยค่ะ มีวงกบไม้เป็นกรอบสายตา และมีการซีลยางที่ขอบประตูเพื่อเก็บเสียงที่สามารถลอดเข้า-ออกระหว่างประตูมาให้ด้วย พอเข้ามาจะเป็นพื้นที่เหมือนโถงต้อนรับเล็กๆ ก่อนจะแจกไปยังสองพื้นที่ด้านใน ตรงไปจะเป็นห้องนอนหลัก ส่วนขวามือจะเป็นห้องนอนรอง ตรงนี้จะจัดเป็นพื้นที่เก็บรองเท้าและข้าวของจุกจิกก็ได้นะคะ เช่น ร่ม และชั้นวางของ
มาดูที่ห้องนอนเล็กกันก่อน เข้ามาเราจะเจอกับเคาน์เตอร์ครัวทางขวามือ และห้องน้ำทางซ้ายมือ ยูนิตนี้จะตกแต่งด้วยวัสดุในโทนสีอ่อน หรือ Urban Light ค่ะ เราจะเห็นได้ว่าโทนสีกระเบื้องพื้นหรือเคาน์เตอร์ที่ใช้จะเป็นโทนสีที่อ่อนขึ้น
โดยกระเบื้องพื้นจะใช้ลายหินอ่อนเหมือนเดิม แต่เป็นโทนสีขาว ขนาด 80×80 ซม. ทางเดินตรงนี้จะกว้าง 1 เมตร เป็นระยะที่เดินเข้า-ออกสบาย
มาดูที่ห้องน้ำกันก่อน โทนสีและลายประตูจะเหมือนกันกับประตูบานอื่นๆของห้องค่ะ จะได้มือจับก้านโยกสีดำ
Switch ไฟต่างๆที่เห็นในห้องจะเป็นของ Art DNA หน้าตาแบบนี้
เข้ามาภายในห้องน้ำ โทนสีต่างๆจะเน้นกระเบื้องลายหินอ่อนสีขาว ทั้งพื้นและผนังเลือกใช้ลายเดียวกันค่ะ และด้วยห้องน้ำนี้ไม่อยู่ชิดกับผนังรอบอาคาร ดังนั้นจะไม่มีช่องแสงหรือหน้าต่าง แต่จะได้พัดลมดูดอากาศแทน
เราจะได้กระจกเงา เคาน์เตอร์หน้าตาแบบนี้เลยค่ะ เราชอบการออกแบบแสงนะคะ
สุขภัณฑ์ที่ใช้ จะเลือกแบบ Wall Hang (ไม่อยู่ติดพื้นเลยค่ะ) ทำให้เราสามารถทำความสะอาดได้เต็มที่
ตรงกระจกเงาจะได้ Built-in เป็นชั้นเก็บของอยู่ด้านหลัง บริเวณผนังมีปลั๊กไฟให้ใช้งาน ตัวอ่างล้างหน้าจะเป็นแบบฝังครึ่งเคาน์เตอร์ค่ะ Fitting ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นก๊อก หรือท่อใต้อ่าง ก็เลือกใช้โทนสีดำเดียวกัน
โถสุขภัณฑ์แบบชิ้นเดียว เป็น Wall Hang พวกปุ่มกดชักโครงก็จะอยู่ที่ผนัง เป็นแผงสีดำที่เห็นค่ะ
ด้านในสุดจะเป็นห้องอาบน้ำ มีฉากกั้นกระจกให้ ด้านในให้มาทั้ง Hand Shower และ Rain Shower
ห้องอาบน้ำมีขนาด 0.95×0.90 เมตร ยังเป็นระยะที่ใช้งานสะดวกค่ะ
รายละเอียดต่างๆที่ออกแบบมาทำให้ห้องน้ำดูสวยดีนะคะ คุมโทนสี ขาว-ดำ-ไม้
ฝั่งตรงข้ามกับห้องน้ำจะเป็นเคาน์เตอร์ครัวค่ะ ส่วนด้านซ้ายที่เราเห็นเป็นชั้นวางของ ของจริงจะเป็นตู้เสื้อผ้านะคะ 2 ชิ้นนี้จะเป็นส่วนที่ Built-in มาให้พร้อมกับตัวห้อง
เคาน์เตอร์ครัวจะได้ขนาดกว้าง 1.50 เมตร หน้าบานของตู้บนและล่างจะเป็นลามิเนตลายไม้ค่ะ
ในห้องนี้จะเตรียมพื้นที่สำหรับวางไมโคเวฟไว้ด้านบน และตู้เย็นขนาดเล็กไว้ด้านล่าง
ท็อปครัวและ Blacksplash จะใช้วัสดุแบบเดียวกัน Customize เป็นชิ้นเดียวขนาดใหญ่ พอดีกับความกว้างของเคาน์เตอร์เลย ภายในห้องนี้จะมีอ่างล้างจานให้มา แต่ไม่มีเตาให้นะคะ
ชิ้นนี้ของจริงจะได้เป็นตู้เสื้อผ้ากว้าง 1.15 เมตรค่ะ (ไปดูรูปแบบและโทนวัสดุได้ที่ห้องนอนใหญ่นะคะ)
เข้ามาด้านในจะเป็นพื้นที่ห้องนอนแล้วค่ะ บริเวณนี้จะมีขนาด 3.1×3.15 เมตร ฝ้าเพดานสูง 3 เมตร ห้องนี้จะได้หน้าต่างและช่องแสงเต็มความกว้างของห้องเลย ส่วนความสูงก็สูงจากพื้น เกือบสุดฝ้าเพดาน (เหลือไว้พอติดรางม่านได้นะคะ)
มองย้อนกลับมาเราจะเห็นว่าแอร์ของห้องจะได้เป็นแบบ Concealed Type ใช้เป็นระบบ VRV และโคมไฟได้เป็นดาวน์ไลท์ ดีไซน์ดวงโคมห้อยลงมาจากฝ้าเพดาน
รูปร่างของห้องจัดได้หลากหลายนะคะ จะเลือกวางเตียงใหญ่ Queen Size ได้เลย หรือว่าจะเป็นเตียงแบบ 3.5 ฟุตชิดผนัง แล้วเหลือทางเดินเยอะๆไว้เป็นพื้นที่นั่งเล่น ทำงานก็ได้นะคะ
มาดูที่ห้องหลักกันค่ะ เข้ามาภายในห้องจะเป็นพื้นที่ส่วนครัวค่ะโดยพื้นที่ครัวตรงนี้จะต่อเนื่องไปกับส่วนรับประทานอาหารและห้องนั่งเล่น
ตรงนี้จะมี Built-in ครัวและตู้เย็นให้มาหน้าตาแบบนี้ค่ะ ยาวรวม 3 เมตร
ตู้บนเอาไว้เก็บข้าวของเครื่องใช้ ส่วนตู้ล่างจะเป็นที่วางเครื่องซักผ้า และมีเตาแบบ 2 in 1 ให้มา (เป็นทั้ง Microwave และ Oven)
ชุดครัวในห้องนี้จะให้เป็นอ่างล้างจาน เตาและเครื่องดูดควันของ Smeg เป็นระบบ induction ดูดควันออกนอกอาคาร
ถัดเข้ามาเป็นพื้นที่ส่วนรับประทานอาหารและห้องนั่งเล่นค่ะ เป็นพื้นที่โล่ง กว้างต่อเนื่องกันไป
ฝั่งนี้จะมีห้องอเนกประสงค์ที่กั้นมาให้ค่ะ ด้านหน้ายังพอมีพื้นที่ริมผนังกว้าง 1.8 เมตรจัดวางชั้นวางของได้นะคะ
ห้องอเนกประสงค์จะได้เป็นห้องปิด มีประตูบานเลื่อนเปิด-ปิด แต่ว่าดีไซน์ของประตูจะเป็นอย่างไรตรงนี้ยังไม่ยืนยันนะคะ อาจจะดีไซน์แบบที่เห็นในห้องตัวอย่างหรือไม่ใช่ก็ได้
ห้องอเนกประสงค์จะเป็นห้องขนาดกะทัดรัด มีหน้าต่างสูงจากพื้นถึงฝ้าเพดาน ขนาดห้อง 1.6×2.3 เมตร
สามารถจัดเป็นมุมที่ต้องการสมาธิสูง เช่น ห้องทำงาน หรือห้องอ่านหนังสือได้นะคะ
ออกมาจะเจอกับพื้นที่ที่สามารถวางโต๊ะกินข้าวขนาด 4-6 ที่นั่งได้ ตำแหน่งจะอยู่ตรงกันข้ามกับเคาน์เตอร์ครัว หน้าประตูทางเข้าห้องน้ำกับห้องนอนค่ะ
ผนังตรงนี้จะมีความกว้างอยู่ 3 เมตรเลย นั่นแปลว่าพื้นที่สำหรับวางค่อนข้างกว้างเลยนะคะ เราสามารถวางโต๊ะกินข้าวชิดผนังได้ หรือว่าจะทำ Buit-in ชั้นวางของชิดผนังตรงนี้ก็ได้ค่ะ จะได้พื้นที่เก็บของเพิ่มขึ้นด้วย
หันกลับมาเจอพื้นที่เว้าเข้าไปเป็นสัดส่วน เป็นมุมนั่งเล่นพักผ่อนขนาด 3.1 x 2.9 เมตร
สามารถวางโซฟาขนาดใหญ่ได้เลยนะคะ ตรงนี้จะอยู่ข้างหน้าต่าง
หน้าต่างตรงนี้จะเรียกว่า Juliet Balcony แรงบันดาลใจมาจากหนังเรื่อง Romeo & Juliet ค่ะ ตรงนี้จะมี 2 Layer คือเหมือนประตูกระจกบานเลื่อนเปิดได้ซ้าย-ขวา อยู่ด้านนอก และมีราวกันตกกระจกอยู่ด้านใน ทำให้ได้บรรยากาศเหมือนอยู่ริมระเบียง ตรงนี้ก็จะเหมาะกับคนที่อยากได้พื้นที่บรรยากาศเหมือนระเบียง เเต่ไม่ใช้พื้นที่ระเบียงอยู่แล้วนะคะ ซึ่งเราเองมองว่าปกติแล้วคนเมืองหลายๆคนไม่ได้ใช้งานพื้นที่ระเบียงจริงจังขนาดนั้น อาจจะเอาไว้วาง CDU แอร์ หรือเอาไว้ตากเสื้อผ้ามากกว่า และถ้าเรามีพื้นที่สำหรับฟังก์ชันนั้นอยู่แล้ว เราก็อาจจะไม่จำเป็นที่จะต้องใช้งานระเบียงอีกใช่ไหมคะ? รูปแบบของ Juliet Balcony ก็จะตอบโจทย์ตรงนี้ได้ค่ะ
ข้างๆกันจะมีประตู 2 ชั้นออกไปยังตำแหน่ง Balcony หรือระเบียงของห้องค่ะ ประตูสองชั้นก็จะช่วยให้ภายในห้องดูเรียบร้อยมากขึ้นด้วยค่ะ
ระเบียงตรงนี้เอาไว้วาง CDU หรือตากผ้าได้นะ
พื้นที่ส่วนนี้ก็ได้แอร์ระบบ Concealed Type ค่ะ
ต่อไปเราเข้าไปดูห้องนอนกันต่อ
เนื่องจาก Unit Type นี้จะเป็นห้องหัวมุม ทำให้ตำแหน่งของห้องนอนจะเป็นห้องที่ได้หน้าต่าง 2 ฝั่งของผนัง ดังนั้นตำแหน่งการจัดวางเตียงอาจจะจัดไว้มุมนี้ หรือหันหัวเตียงไปฝั่งตรงกันข้ามได้นะคะ
เราจะได้กระจกเข้ามุมด้วยค่ะ และหน้าต่างจะเป็นแบบสูงจากพื้นจรดฝ้าเพดานเลย
ขนาดของห้องนอนจะอยู่ที่ 2.70×3.30 เมตร ได้แอร์ระบบ Conceal Type ค่ะ มีตู้เสื้อผ้าให้ วางอยู่ตรงหน้าห้องน้ำพอดี
ตู้เสื้อผ้ากว้าง 1.80 เมตร หน้าบานเป็นกระจกใสสีชา เป็นบานเปิดสไลด์ มีเซนเซอร์ (Sensor) อัตโนมัติเปิด-ปิดไฟภายในตู้เมื่อใช้งานให้มาด้วยค่ะ
ต่อไปเราไปดูห้องน้ำกันนะคะ สำหรับห้องแบบ Dual Keys ห้องน้ำตรงนี้จะเป็นห้องที่สามารถเข้าได้ 2 ทาง คือทั้งจากห้องนอนและจากข้างโต๊ะกินข้าวค่ะ บานที่อยู่ตรงห้องนอนจะเป็นประตูบานเปิดเลื่อน ไม่เกะกะทางเดิน และไม่เกิดเหตุการณ์เปิดประตูบานสวิงชนกันด้วย
ภายในห้องน้ำนี้จะมี Layout คล้ายๆเดิมนะคะ แต่จะมีความแตกต่างที่จะเป็นห้องที่มีหน้าต่างอยู่ด้วย เป็นผนังกระจกเต็มพื้นที่ความกว้างและความสูงของห้องเลยค่ะ
บรรยากาศภายในห้องน้ำนี้เลยดูเหมือนบ้านมากขึ้นด้วย ดูสะอาด สว่าง
ส่วนรายละเอียดต่างๆก็เหมือนเดิมนะคะ มีชั้นวางของ Built-in อยู่หลังกระจกเงา มีปลั๊กไฟมาให้ และสุขภัณฑ์ได้แบบ Wall Hang
ห้องอาบน้ำจะมีขนาด 1.2 x 0.90 เมตรค่ะ ใช้งานหมุนตัวสบายเลย
**รายละเอียดของวัสดุต่างๆเช่น ยี่ห้อ และรุ่น ของจริงอาจจะเป็นรุ่นนี้หรือเทียบเท่านะคะ
ราคา
21 February 2020
- ห้องตัวอย่าง L1A (Studio Loft) ขนาดพื้นที่ 50 ตร.ม. ราคา 12.2 ล้านบาท หรือราคาเฉลี่ยต่อตร.ม. 244,000 บาท
- ห้องตัวอย่าง 2FD (2 Bedrooms Dual Keys) ขนาดพื้นที่ 72.50 ตร.ม. ราคา 15.65 ล้านบาท หรือราคาเฉลี่ยต่อตร.ม. 216,000 บาท
- ห้องเริ่มต้น ราคา 6.88 ล้านบาท
- รูปแบบการขาย Fully Fitted
- ความสูงจากพื้นถึงฝ้าเพดาน 3 , 4.7 เมตร
- Kitchen & Sink
- Hob & Hood
- จอง 100,000 บาท
- ทำสัญญา n/a บาท (ขึ้นอยู่กับรูปแบบห้อง)
- ดาวน์ n/a% ผ่อนดาวน์ n/a งวด (ขึ้นอยู่กับรูปแบบห้อง)
- ค่ากองทุน 800 บาท/ตร.ม.
- ค่าส่วนกลาง 100 บาท/ตร.ม./เดือน
**ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ค่ะ
บทสรุป
ทำเล :
The Loft ราชเทวี ตั้งอยู่บนถนนพญาไทที่เป็นทำเลใจกลางเมืองใกล้กับสยาม ทำเลนี้มีความหลากหลายในการใช้ชีวิตมาก มีทั้งชุมชนเดิม สถานศึกษา โรงพยาบาล สถานที่ทำงาน และโรงแรมอยู่ในละแวกนี้ จึงเป็นทำเลที่มีความสะดวกสบายทั้งเรื่องการเดินทาง และการหาอาหารการกิน มีหลากหลายตัวเลือกทั้งรูปแบบและราคาค่ะ
การเดินทางโดยใช้รถ :
ตัวโครงการนั้นตั้งอยู่บนถนนพญาไทฝั่งมุ่งหน้าไปทางอนุสาวรีย์ฯ ถนนเส้นนี้เป็นถนนที่สามารถวิ่งไปได้ทั้งสามย่าน สีลม ไปถนนพระราม 4 ได้ และไปยังโซนอารีย์ สะพานควาย ได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังตัดผ่านถนนสำคัญอีกหลายสาย เช่น ถนนเพชรบุรี ถนนพระราม 1 (เชื่อมต่อกับสุขุมวิท) และตั้งอยู่ไม่ไกลจากทางด่วนศรีรัช จึงมีตัวเลือกไปได้ทุกทิศทางเลยค่ะ
การเดินทางโดยไม่ใช้รถ :
อีกจุดเด่นของโครงการเลยคือทำเลที่ใกล้กับรถไฟฟ้าหลายสถานี สองสถานี BTS (ปัจจุบัน) ก็คือสถานีราชเทวี และสถานีพญาไท และตรงสถานีพญาไทเองก็เป็นจุด interchange หรือเปลี่ยนสายไปยัง Airport Rail Link วิ่งเข้าสนามบินสุวรรณภูมิได้ง่าย นอกจากนี้อนาคตบนถนนเพชรบุรีก็จะมี MRT ตัดผ่าน มีสถานีราชเทวีอยู่ไม่ไกล จึงบอกได้ว่าอยู่ใกล้กับรถไฟฟ้าหลายสายเลยนะคะ และนอกจากรถไฟฟ้าก็ยังมีระบบขนส่งสาธารณะอื่นๆอีก เช่นรถประจำทาง วินมอเตอร์ไซค์ หรือจะเรียก Taxi ก็ง่าย และมีท่าเรือ(อยู่ตรงสะพานหัวช้าง) เผื่อใครอยากไปยังผ่านฟ้าเที่ยวพระบรมมหาราชวังก็ไปได้เลยค่ะ
วัสดุ :
ตัวโครงการขายในรูปแบบ Fully Fitted มีวัสดุหลักต่างๆเช่นพื้น ผนัง ฝ้า ครัว ห้องน้ำ มาให้ สิ่งที่ชอบคือเราสามารถเลือกโทนสีของวัสดุภายในห้องได้ ว่าจะเป็น Urban Light (อ่อน) หรือ Twilit Night (เข้ม) โดยมีแนวคิดมาจากตัวโครงการที่ตั้งบนทำเล All Day All Night ด้วย ส่วนตัววัสดุที่ให้มาเรามองว่าคุณภาพดีสมราคาและเนี๊ยบนะคะ เช่นประตู Over Scale ที่ต้องสั่ง Customize ให้เข้ากับความสูงห้อง พื้นที่เป็น Vinyl หรือขนาดกระเบื้องที่ไม่ได้เป็นขนาด 60×60 ซม. แบบที่เห็นทั่วไป แต่จะเป็นขนาด 80×80 ซม.บ้าง(หรืออื่นๆ แตกต่างกันตามโทนห้องที่เลือก) ดูใส่ใจในการออกแบบและเลือกวัสดุให้เข้ากันทั้งพื้น ผนัง ฝ้าเพดานค่ะ
การออกแบบ :
โครงการดึงเอาความเป็นย่าน All Day All Night ของราชเทวีมาถ่ายทอดในงานสถาปัตยกรรมหรือตัวอาคาร (Exterior) และการเลือกใช้วัสดุภายในห้องพัก (Interior) และมีการออกแบบฟังก์ชันพื้นที่ส่วนกลางและชั้นพักอาศัยออกจากกันชัดเจน ส่วนรูปแบบห้องพักมีหลากหลายให้เลือกทั้ง Studio , 1 Bedroom , 2 Bedrooms และ 3 Bedrooms มีทั้งแบบที่มีความสูงระดับปกติ 3 เมตร (Simplex) และแบบที่เป็นห้องฝ้าเพดานสูง 4.7 เมตร (Loft) แต่ก็จะมีรูปแบบห้องที่เรียกว่า Dual Keys ที่น่าสนใจ เหมาะกับครอบครัวขนาดกลางถึงใหญ่ที่สามารถใช้งานปรับเปลี่ยนได้ในอนาคต
สาธารณูปโภค :
พื้นที่ส่วนกลางของอาคารนี้ไม่ได้มีฟังก์ชันที่หวือหวามาก แต่จะเน้นฟังก์ชันที่เราเห็นอยู่ทั่วไป อย่างสระว่ายน้ำ สวน ฟิตเนส ที่ออกแบบมาได้สวยงาม น่าใช้งาน โดยส่วนกลางจะมีอยู่ที่ชั้น 1 , 27 และชั้นดาดฟ้า เกิดพื้นที่ขนาดเล็กหลายๆส่วน เหมาะกับคนที่ต้องการพื้นที่ส่วนตัวในการเลือกใช้งานค่ะ ส่วนปริมาณก็ถือว่าเพียงพอกับจำนวนห้องพักอาศัยนะคะ
Judgement
โครงการ The Loft ราชเทวี เราไม่สามารถให้คะแนนได้เนื่องจากขาดความครบถ้วนของข้อมูลส่วน Typical Floor Plan ทำให้ไม่สามารถวิเคราะห์ภาพรวมของโครงการได้ค่ะ
BOTTOM LINE
The Loft ราชเทวี เหมาะกับคนที่มองหาคอนโดระดับ Super Luxury ใจกลางเมือง ใกล้สยาม ชอบรูปแบบห้องที่เป็น Lofts อยู่สบายทั้ง 2 ชั้น หรือห้องแบบ Dual Keys เหมาะกับอยู่อาศัย 2-4 คน ชอบโปรดักส์ที่เน้นรายละเอียด วัสดุตกแต่งดูเรียบหรู มีงบประมาณ 10-20 ล้านบาท ขึ้นไป (รวมค่าตกแต่งและเฟอร์นิเจอร์)
ติดตามพวกเราได้ที่
Website : www.thinkofliving.com
Twitter : www.twitter.com/thinkofliving
YouTube : www.youtube.com/ThinkofLiving
Instagram : www.instagram.com/thinkofliving
Facebook : ThinkofLiving