รีวิวโครงการ

คอนโดตัวท๊อปสุดจากศุภาลัย ติดถนนสาทร เริ่ม 8.9 ล้าน Supalai Icon Sathorn | คิดเรื่องอยู่ EP.785

30 สิงหาคม 2024

อ่านรีวิวล่าสุด

รีวิวฉบับที่ 1852 … สวัสดีครับทุกคน วันนี้เราจะพาไปรีวิวโครงการ Supalai Icon สาทร ซึ่งถือเป็นโครงการตัวที่แพงที่สุดของ ศุภาลัย ในปัจจุบันเลยก็ว่าได้ครับ เป็นโครงการ Mixed-use ที่อยู่ติดกับถนนสาทรฝั่งใต้ เน้นพื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่ และจัดเต็มวัสดุภายในห้องที่ถือว่าให้มาดีมากๆ ในราคาเริ่มต้น 8.2 ล้านบาท ซึ่งในวันนี้ทาง Think of Living ได้มีโอกาสเข้าไปชมโครงการก่อนวันเปิดตัว จะเป็นอย่างไรลองไปชมกันเลยครับ 

ข้อมูลโครงการ

Fact @ 19 April 2019

  • Supalai ICON Sathorn (ศุภาลัย ไอคอน สาทร)
  • บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน)
  • SUPER LUXURY CLASS (อ่านรายละเอียดของ Segment คอนโดได้ที่นี่)
  • โครงการตั้งอยู่ : ถนน สาทรใต้ เขตสาทร
  • ที่ดินประมาณ 7–3–82 ไร่
  • คอนโด Hihg Rise 56 ชั้น 1 อาคาร 787 ยูนิต พร้อมพื้นที่ร้านค้าและสำนักงาน
  • ยูนิตต่อชั้นสูงสุด n/a ยูนิตที่อาคาร n/a
  • ที่จอดรถประมาณ 100%
  • เริ่มก่อสร้าง : ปี 2562
  • คาดว่าจะแล้วเสร็จ : ประมาณปี 2567
  • 1 Bedroom 42 – 61 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 8.2 ล้านบาท
  • 2 Bedrooms 65 – 98 ตร.ม.
  • 3 Bedrooms 115 – 143 ตร.ม.
  • 4 Bedrooms 206.5 – 350 ตร.ม.
  • Skyline Penthouse 970 ตร.ม. (ชั้นบนสุด จำนวน 1 ยูนิต) ราคา 280 ล้านบาท
  • ฝ้าเพดานสูง 2.85 เมตร
  • ราคาห้องเริ่มต้น 8.2 ล้านบาท / หรือตร.ม.ละ 175,000 บาท
  • ราคาเฉลี่ยทั้งโครงการ AVERAGE ประมาณ 2 แสนต้นๆ (บาท/ตร.ม.)
  • ช่วงราคาต่อตารางเมตร ต่ำสุด – สูงสุดประมาณ n/a – n/a บาท/ตร.ม.
  • EIA (การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม) : อยู่ระหว่างดำเนินการ
  • เวปไซต์โครงการ : คลิกที่นี่
  • Call Center : 1720

ทำเลที่ตั้ง

พิกัด Google Maps : 13.723837, 100.537861

แผนที่จากทางโครงการครับ

โครงการ Supalai Icon สาทร ตั้งอยู่ติดกับถนนสาทรฝั่งใต้ ถือว่าเป็นขาออกเมืองก็จริง แต่ก็จะสะดวกสำหรับคนที่จะไปทำงานในตัวเมืองสาทรนะ เพราะตำแหน่งโครงการจะอยู่ในช่วงสาทรตอนต้นพอดี จะกลับรถเข้าเมืองก็ไม่ลำบากครับ เพราะมีจุดกลับรถอยู่ไม่ไกล แล้วยังไม่ต้องเสียเวลารถติดบนถนนสาทรมากนักอีกด้วย ซึ่งถึงแม้จะได้ยินอยู่บ่อยๆว่าในเมืองนั้นรถติดมาก แต่คนที่เลือกอยู่ทำเลในเมืองและยอมจ่ายเงินที่แพงกว่า ก็เพื่อแลกมากับความสะดวกสบายต่างๆ ทั้งใกล้สถานที่ทำงาน ใกล้ทางด่วน และระบบขนส่งสาธารณะต่างๆ ที่จะช่วยให้คุณภาพชีวิตดีมากยิ่งขึ้นนั่นเองครับ

นอกจากนี้ทำเลถนนสาทรตอนต้นนั้นยังอยู่ระหว่างถนนพระราม 4 กับถนนนราธิวาสราชนครินทร์ ซึ่งเป็นถนนเส้นสำคัญมากๆ เริ่มที่ถนนพระราม 4 เราสามารถเลือกเข้าเมืองได้จากถนนเส้นต่างๆได้ง่ายมากๆ ทั้งถนนวิทยุ ถนนราชดำริ ถนนอังรีดูนังต์ และถนนพญาไท เพราะถนนที่กล่าวมาทุกเส้นจะเชื่อมต่อกับถนนสุขุมวิทที่วิ่งคู่ขนานกับถนนพระราม 4 อยู่นั่นเองครับ ทีนี้ถ้าเราจะไปสยาม ราชเทวี หรือเพลินจิต ก็เป็นเรื่องง่ายแล้วล่ะครับ ส่วนถนนนราธิวาสราชนครินทร์จะสะดวกมากๆ สำหรับใครที่ต้องการไปแถวพระราม 3 หรือจะไปสีลมครับ

และทำเลสาทรนั้นก็เป็นที่รู้กันดีในฐานะ CBD ย่านธุรกิจที่สำคัญของกรุงเทพฯ เพราะเต็มไปด้วยอาคารสำนักงานต่างๆมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นตึกสูงระฟ้าเต็มไปหมด มีสถานศึกษาชื่อดัง ร้านอาหารระดับ Hi-End ห้างสรรพสินค้า และโรงแรมระดับ 5 ดาว รวมถึงมีสวนสาธารณะขนาดใหญ่ อย่างสวนลุมพินีและสวนพลูอีกด้วย และนอกจากนี้ตรงบริเวณแยกวิทยุก็ยังมี Mega Project ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอย่าง “One Bangkok” จาก TCC ที่ได้ชนะการประมูลที่ดินสวมลุมไนท์บาซาร์เดิม ซึ่งภายในจะมีทั้งอาคารสำนักงาน โรงแรมหรู ที่พักอาศัยระดับ Ultra Luxury ธุรกิจค้าปลีก พื้นที่พักผ่อน พื้นที่ศิลปะและวัฒนธรรม รวมถึงพื้นที่สีเขียว และพื้นที่เปิดโล่งอีกด้วยครับ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็จะช่วยเพิ่ม Value ให้กับทำเลนี้อย่างมาก จะทำให้เกิดแหล่งงานใหม่ๆ และสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ๆอีกด้วยครับ

การเดินทางด้วยรถยนต์จากแผนที่แรกเราจะเห็นได้ว่า โดยรอบโครงการจะมีจุดขึ้นทางด่วนต่างๆกระจายอยู่เต็มไปหมด มีให้เลือกใช้เข้า-ออกเมืองได้หลากหลายเส้นทาง แต่จุดที่ใกล้และสะดวกที่สุดที่จะแนะนำคือ จุดขึ้นทางด่วนเฉลิมมหานคร (บ่อนไก่) ที่อยู่ห่างจากโครงการไปประมาณ 2.4 km. เท่านั้นเองครับ จากภาพเป็นเช้าวันจันทร์เวลา 8.00 น. รถจะติดนิดหน่อยบริเวณแยกวิทยุ และจะใช้เวลาไปขึ้นทางด่วนประมาณ 16 นาที ถือว่าโอเคเลยครับ ไม่นานมากนัก

อีกหนึ่งจุดเด่นในการเดินทางของโครงการคือ การเดินทางด้วยรถสาธารณะ เพราะบริเวณถนนสาทรตอนต้นนี้จะมีรถไฟฟ้าให้เลือกใช้ถึง 2 สาย ที่สะดวกที่สุดคือ MRT สถานีลุมพินี ห่างจากโครงการประมาณ 850 m. (เส้นสีแดง) ถ้าขยันหน่อยหรือวันไหนอากาศดีๆไม่ร้อนก็สามารถเดินได้นะครับ แต่ถ้าใครไม่อยากเดินให้เมื่อยก็ยังมีวินมอไซค์ไว้คอยบริการ ซึ่งจะอยู่ตรงหน้าสถานีและใกล้ๆกับตัวโครงการเลยครับไม่ต้องห่วง

รถไฟฟ้าอีกหนึ่งสายคือ BTS สถานีช่องนนทรี สำหรับสายนี้จะต้องใช้รถเพื่อเดินทางไปนะครับ ซึ่งสามารถเลือกได้ว่าจะตรงไปบนนถนนสาทรเพื่อไปกลับรถมาเข้าถนนนราธิวาสราชนครินทร์ (เส้นสีส้ม) หรือจะใช้ถนนคอนแวนต์เพื่อไปถนนสีลมก่อนก็ได้ (เส้นสีเขียว) มีระยะทางและใช้เวลาพอๆกันครับ นอกจากนี้ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่อยากเสริมคือ ติดกับตัวโครงการจะมีป้ายรถเมล์อยู่ด้วยนะ และจะมีสะพานลอยที่อยู่ห่างออกไป 150 m. สามารถข้ามไปขึ้นรถที่ฝั่งตรงข้ามได้เช่นกันครับ

Loop การใช้ชีวิตอย่างง่ายๆ ของทำเลโครงการนี้ คือเส้นทางสี่เหลี่ยมแบบนี้นั่นเองครับ สำหรับคนที่ใช้รถยนต์เป็นหลัก และต้องการไปสถานีรถไฟฟ้าที่ใกล้ที่สุด ซึ่งก็คือ Life Center โดยสามารถใช้ถนนสวนพลูที่อยู่ข้างๆโครงการ และเข้าซอยสวนพลู 8 เพื่อเชื่อมต่อไปยังซอยสาทร 1 แยก 1 เข้าสู่ซอยสาทร 1 ก็จะไปโผล่ข้างๆตัวอาคาร Life Center ได้เลย โดยไม่จำเป็นต้องออกไปอ้อมนอกถนนใหญ่ให้รถติดเลย เช่นบางทีคุณสามีมาส่งภรรยาหรือลูกๆขึ้นรถไฟฟ้า MRT ด้วยตนเองก็สามารถใช้เส้นทางนี้ได้เช่นกัน ช่วยร่นระยะทางลงได้มากเลยทีเดียว

สำหรับการเดินทางในวันนี้ผมใช้ทางพิเศษเฉลิมมหานครนะ เพียงแต่ผมจะมาจากทางพระราม 3 หรือหากใครมาจากในเมืองก็สามารถใช้ทางลงที่แยกทางด่วนพระราม 4 นี้ได้เช่นกัน แล้วจึงเลี้ยวไปทางถนนวิทยุประมาณ 900 m. จากนั้นเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนสาทรใต้ ขับตรงมาประมาณ 850 m. ก็จะเจอกับที่ตั้งโครงการอยู่ทางซ้ายมือครับ (อีกเส้นทางหนึ่งที่สะดวก คือมาด้วยรถไฟฟ้า MRT โดยลงที่สถานีลุมพินี แล้วเดินหรือนั่งวินมอไซค์มา 850 m. ก็จะถึงโครงการได้ง่ายเช่นกันครับ)

เมื่อลงทางด่วนมาแล้วก็ให้เตรียมชิดซ้าย สังเกตป้ายบอกทางไปวิทยุ-ศาลาแดง นะครับ (ถ้าใครที่มาจากในเมืองฝั่งตรงข้ามก็จะมีป้ายแบบเดียวกัน ให้เตรียมชิดขวาตามมาเลย)

เมื่อถึงถนนพระราม 4 บริเวณแยกทางด่วนพระราม 4 ก็ให้เลี้ยวซ้ายได้เลย (เลนซ้ายสุดเลี้ยวซ้ายผ่านตลอดนะ แต่ถ้าใครอยู่ฝั่งตรงข้ามกับผมก็รอไฟแดง แล้วเตรียมเลี้ยวขวาตามมาครับ)

ขับตรงมาเรื่อยๆ ประมาณ 900 m. พยายามอยู่ 2 เลนซ้าย (ไม่ขึ้นสะพานลอยนะครับ) สังเกตป้ายบอกทางไปถนนนราธิวาสราชนครินทร์ ก็ให้เตรียมตัวเลี้ยวซ้ายตรงบริเวณ Life Center ด้านหน้าได้เลยครับ

เมื่อถึงแยกวิทยุก็ให้เบี่ยงซ้าย เพื่อเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนสาทรใต้ครับ

จากแยกวิทยุเมื่อสักครู ให้ขับตรงมาเรื่อยๆบนนถนนสาทรใต้ประมาณ 850 m. ก็จะเจอกับที่ตั้งโครงการอยู่ทางซ้ายมือ (ก่อนถึงปั้มเชลล์) ให้เลี้ยวซ้ายเข้าไปได้เลยครับ

Sale Gallery ของโครงการจะตั้งอยู่ติดกับถนนสาทรใต้เลยครับ ลักษณะเป็นทรง Modern  แต่ดูเรียบหรูเข้ากับตัว concept โครงการ มีที่จอดรถค่อนข้างเยอะเลยครับ ทั้งแบบในร่มใต้อาคาร และด้านหลังกลางแจ้งก็มี

ภายในเป็นโถงต้อนรับแบบฝ้าเพดานสูง ตกแต่งด้วยหินอ่อน กระจก และขอบสีทองดูหรูหรา มีชุดโซฟาหลายจุด และมีห้องตัวอย่างอยู่ทั้งชั้น 1 และชั้น 2 ด้านหลังที่ผมยืนอยู่ครับ

**รูปนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้เห็นภาพรวมของโครงการแบบคร่าวๆไม่สามารถใช้อ้างอิงอย่างเป็นทางการได้นะครับ

บริบทโดยรอบโครงการเนื่องจากเป็นทำเลในตัวเมือง ส่วนมากจึงเป็นตึกสูงนะครับ แต่ก็มักจะเป็นตึกที่มีความสูงน้อยกว่าโครงการ ซึ่งต้องขอบอกไว้ก่อนว่าผังอาคารตัวจริงยังไม่เปิดเผยนะ แต่หากเรามองดูจากภาพจำลองที่ปล่อยออกมานั้น ตัวอาคารจะมีลักษณะเป็นรูปตัว L จึงจะพอทำให้ได้วิวด้านต่างๆ ดังนี้

ทิศเหนือ : ติดกับถนนสาทรใต้ ฝั่งตรงข้ามจะไม่ค่อยมีตึกสูงบังมากนัก สามารถมองไปได้ไกล เห็นวิวฝั่งสีลมได้

ทิศใต้ : ในระยะประชิดจะไม่มีตึกสูงนะครับ เพราะเป็นบ้านแนวราบและสถานฑูตมาเลเซีย แต่ห่างออกไปจะมีคอนโดสูง 29 ชั้น บังวิวอยู่เล็กน้อย แต่ชั้นสูงๆจะเห็นวิวแม่น้ำและวิวบางกะเจ้าได้

ทิศตะวันออก : ติดกับอาคารสูง 41 – 60 ชั้น ฝั่งตรงข้ามถนนสาทรจะเป็นอาคารสำนักงานสูง 16 – 32 ชั้น ซึ่งชั้นสูงๆอาจมีสิทธิ์มองข้ามตึกเหล่านี้ไปแล้วเห็นสวนลุมพินีได้

ทิศตะวันตก : ติดกับอาคารสูง 13 – 32 ชั้น และชั้นสูงๆ จะสามารถมองเห็นวิวเมืองฝั่งสาทรและแม่น้ำเจ้าพระยาได้ไกลๆ

ต่อไปเรามาเดินดูรอบๆโครงการกันบ้างนะครับ เริ่มจากด้านหน้าโครงการเป็นถนนสาทรฝั่งใต้ และตรงข้ามเป็นอาคารสำนักงานสูง 18 – 21 ชั้น แต่ก็ยังมีช่องตรงกลางให้มองผ่านตึกเหล่านี้ไปได้ไกลขึ้นบ้างครับ

มาเริ่มจากทางขวาของโครงการกันก่อนนะ ด้านหน้าเป็นทางเท้าริมถนนที่ค่อนข้างกว้าง สามารถเดินได้สบายๆ

ติดกับรั้วโครงการตรงหัวมุมจะมีป้ายรถเมล์อยู่ด้วย (ป้ายสถานฑูตออสเตรเลีย) จึงค่อนข้างสะดวกมากสำหรับการเรียกรถสาธารณะ ไม่ใช่เฉพาะรถเมล์หรือรถสองแถวเท่านั้น แต่รวมถึงรถแท็กซี่อีกด้วย และข้างๆกันก็จะเป็นปั้มเชลล์ครับ

โดยด้านหน้าปั้มเชลล์จะมีร้านกาแฟ D’Oro ตั้งอยู่ และภายในปั้มก็ยังมี Family Mart ให้ได้ซื้ออาหารเช้าทานกันก่อนไปทำงาน หรือหลังจากกลับมาบ้านตอนเย็นได้อีกด้วย

เลยปั้มเชลล์มาจะเจอกับซอยถนนสวนพลูครับ ด้านในจะเต็มไปด้วยที่อยู่อาศัยทั้งโรงแรม คอนโดมิเนียม และอาคารพาณิชย์ต่างๆเต็มไปหมด เรียกได้ว่าค่อนข้างคึกคักและอุดมสมบูรณ์มากๆเลย และมีสวนสาธารณะอย่างสวนพลูอยู่ด้านในด้วยนะครับ รวมถึงยังสามารถใช้ซอยนี้เป็นเส้นทางลัดเพื่อไปออกถนนพระราม 4, ไปพระราม 3 หรือจะวนไป Life Center อย่างที่ได้แนะนำไปในช่วงแผนที่แล้วก็ได้นะ

เลยซอยถนนสวนพลูมาหน่อยก็จะเจอกับร้านอาหารไทยชื่อดังอย่าง “บ้านขนิษฐา” เรียกได้ว่าอยู่ในระยะเดินถึงได้สบายๆ และด้านหน้าร้านยังมีสะพานลอยตั้งอยู่อีกด้วย ห่างจากโครงการแค่ 150 m. เท่านั้น

ขึ้นมาดูบรรยากาศของถนนสาทรบนสะพานลอยกันดีกว่าครับ เริ่มจากทิศตะวันตกเป็นฝั่งที่มุ่งหน้าไปยังใจกลางย่านสาทร มีตึกสูงเยอะแยะเลย ทั้งคอนโดมิเนียมและอาคารสำนักงาน รวมถึงยังสามารถมองเห็นตึกมหานครได้อีกด้วย โดยทิศทางนี้สำหรับชั้นสูงๆ อาจมองเห็นแม่น้ำเจ้าพระยาได้นะครับ

นอกจากนี้เราจะมองเห็นจุดกลับรถอยู่ไม่ไกล ซึ่งห่างจากโครงการประมาณ 300 m. เท่านั้น สามารถกลับรถหรือเลี้ยวขวาเข้าสู่ถนนคอนแวนต์เพื่อไปโรงพยาบาล BNH หรือโรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนเวนต์ และเชื่อมต่อไปยังถนนสีลมได้ง่ายๆ

ส่วนฝั่งตรงข้ามหรือทางทิศตะวันออกจะมองเห็นที่ตั้งโครงการอยู่ทางขวามือ และด้วยความที่โครงการนี้เป็นอาคารสูงมากๆ ชั้นสูงๆจึงอาจสูงจนมองข้ามอาคารสำนักงานต่างๆเหล่านี้ และเห็นวิวสวนลุมพินีได้อีกด้วยครับ ส่วนจุดกลับรถที่อยู่ใกล้โครงการมากที่สุดนั้น จะอยู่ห่างแค่ประมาณ 100 m. เท่านั้น ซึ่งผมมองว่ามันกระชั้นชิดไปสักหน่อย อาจเลี้ยวเข้าสู่โครงการไม่ทัน แนะนำให้ไปกลับตรงก่อนถึงแยกวิทยุจะปลอดภัยกว่าครับ

ไหนๆก็ขึ้นสะพานลอยมาแล้ว ก็ลองมาดูที่ตั้งโครงการจากฝั่งตรงข้ามกันสักหน่อยนะครับ โดยรอบโครงการจะเป็นตึกสูงบล็อควิวเกือบทั้งหมดก็จริง แต่ก็ยังพอมีช่องว่างระหว่างตึกให้มองออกมาได้ไกลๆได้อยู่บ้าง ซึ่งหากเทียบความสูงแล้วก็นับว่าโครงการเราสูงมากกว่าเยอะเลยครับ ดังนั้นหากไม่อยากถูกบล็อควิวก็อาจต้องเป็นชั้น 30 – 40 ขึ้นไปนะ

ด้านซ้ายช่วงด้านหน้าๆของแปลงที่ดินจะมีตึก Banyan Tree ที่สูงถึง 60 ชั้นก็จริง แต่เค้าจะหันด้านแคบมาทางเราครับ จึงไม่บังวิวมากนัก แต่ช่วงกลางๆไปจนถึงด้านหลังแปลงที่ดิน ตั้งแต่ชั้น 41 ลงมา อาจโดนคอนโด Sathorn Garden 2 อาคาร บังได้นะครับ ถ้าจะชมวิวหรือมองไปไกลๆ อาจต้องมองเฉียงๆเอานะ

ส่วนด้านขวาจะเป็นคอนโดและโรงแรมที่มีความสูงน้อยกว่าด้านซ้ายเมื่อสักครู่ แค่ประมาณชั้น 30 กว่าๆ ก็จะไม่โดนบังวิวในระยะใกล้แล้วครับ

กลับมาที่ฝั่งโครงการกันอีกครั้ง คราวนี้เราจะไปดูทางด้านซ้ายของโครงการกันบ้างนะครับ

ติดกับรั้วโครงการจะเป็นทางเข้าของคอนโด Sathorn Garden และสถานฑูตมาเลเซียครับ

ถัดมาจะเป็นร้านอาหารและเซเว่นอยู่ใต้โรงแรม Embassy ซึ่งร้านอาหารทางขวามือนี้มีอาหารคลีนขายด้วยนะ เหมาะกับคนรักสุขภาพมากๆ ราคาไม่แพงมากครับ 60 – 70 บาท นอกจากนี้หน้าเซเว่นยังมีวินมอไซค์ตั้งอยู่อีกด้วย ห่างจากโครงการแค่ 40 m. เท่านั้นเอง

โดยอัตราค่าโดยสารวินมอไซค์ก็ตามนี้เลยครับ 20 – 30 บาท

ภาพรวมของถนนสาทรฝั่งใต้จะเป็นอาคารสำนักงานและคอนโดมิเนียมสลับกันไปครับ บรรยากาศไม่เปลี่ยวนะ สามารถเดินได้สบายๆ(ถ้าแดดไม่ร้อน) มีร้านสะดวกซื้อและวินมอไซค์อยู่เป็นระยะๆตลอดเส้นทาง

เดินมาประมาณ 850 m. เราจะมาถึงหน้า Life Center กันแล้วครับ ซึ่งด้านหน้าจะมีทั้งรถไฟฟ้าใต้ดิน (MRT สถานีลุมพินี) และวินมอไซค์ไว้คอยบริการอีกด้วย จากตรงนี้นั่งไปโครงการก็ 20 บาทนะ

ส่วนใน Life Center ก็จะเป็นอาคารสำนักงานที่มีร้านค้าร้านอาหารให้ใช้บริการอยู่ด้านล่าง ซึ่งหากใครเดินทางไปทำงานด้วยรถไฟฟ้า MRT ก็สามารถแวะซื้อของกันก่อนกลับบ้านได้ง่ายๆ

แนะนำเพิ่มเติมสำหรับใครที่เดินทางด้วยรถไฟฟ้าแล้วต้องการมายังโครงการ ให้ใช้ทางออกที่ 2 เพื่อมาออกยังถนนสาทร บริเวณหน้า Life Center เมื่อสักครู่นี้นะครับ

สถานที่สำคัญใกล้เคียงต่างๆ เช่น

  • โรงพยาบาล BNH ~ 500 m.
  • รร.เซนต์โยเซฟ คอนแวนต์ ~ 550 m.
  • สวนสาธารณะ สวนพลู ~ 1.3 km.
  • มหาวิทยาลัย ราชมงคลกรุงเทพ ~ 1.3 km.
  • รพ. เซนต์หลุยส์ ~ 1.4 km.
  • Life Center ~ 1.7 km. (ระยะขับรถ) , 850 m. (ระยะเดิน)
  • รร. กรุงเทพ คริสเตียน ~ 1.8 km.
  • สวนลุมพินี ~ 2 km. (ระยะขับรถ)
  • สีลม คอมเพล็กซ์ ~ 2.4 km.
  • รพ. จุฬาลงกรณ์ ~ 2.7 km.
  • รร.อัสสัมชัญ บางรัก ~ 3.2 km.
  • จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย ~ 3.8 km.

รายละเอียดโครงการ

ก่อนจะเข้าสู่เรื่องตัวโครงการต้องขอบอกไว้ก่อนนะครับว่า ณ วันที่ทาง Think of Living เข้าไปถ่ายโครงการนั้น เป็นวันก่อนเปิดตัวโครงการอย่างเป็นทางการ ดังนั้นข้อมูลผังอาคารและโมเดลตัวจริงจะยังไม่มีนะ แต่ผมจะพยายามบอกข้อมูลทั้งหมดเท่าที่ทราบ ประกอบกับการวิเคราะห์จากภาพ perspective ของทางโครงการให้เพื่อนๆ ได้รับชมกันครับ จะเป็นอย่างไรเราลองไปชมกันเลย

โครงการ Supalai Icon สาทร เป็นโครงการ Mixed-use ซึ่งประกอบไปด้วยพื้นที่ร้านค้าบริเวณด้านหน้า พื้นที่สำนักงาน และพื้นที่พักอาศัยที่เป็นอาคารสูงอยู่ทางด้านหลัง เป็นคอนโด High Rise สูง 56 ชั้น จำนวน 787 ยูนิต ตั้งอยู่บนที่ดินขนาด 7-3-82 ไร่ และอยู่ติดกับถนนสาทรฝั่งใต้ โดยที่ดินผืนนี้เดิมทีเคยเป็นสถานฑูตออสเตรเลียเก่ามาก่อน ซึ่งทางศุภาลัยนั้นได้ชนะการประมูลที่ดินผืนนี้มาเมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ ด้วยราคาเกือบๆ 1.5 ล้านบาท/ตารางวา

ซึ่งนับว่าหาได้ยากมากครับ สำหรับโครงการใหม่ๆที่จะขึ้นมาและติดกับถนนสาทร แล้วเป็นที่ดินผืนใหญ่ขนาดนี้ โดยส่วนมากเราจะเห็นคนทำเป็นอาคารสำนักงานให้เช่าซะเป็นส่วนใหญ่ เพื่อเก็บค่าเช่ากินในระยะยาวใช่มั๊ยครับ แต่ทางศุภาลัยก็เลือกที่จะแตกต่างด้วยการแบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งเป็นทั้งพื้นที่ร้านค้า พื้นที่สำนักงานให้เช่า และพื้นที่พักอาศัยในโครงการเดียวกัน จึงเป็นอีกโครงการหนึ่งที่น่าจับตามองเลยทีเดียวครับ

อย่างที่ได้เกริ่นไปแล้วก่อนหน้านี้ว่า ที่ดินผืนนี้เคยเป็นสถานฑูตออสเตรเลียเก่ามาก่อน ดังนั้นทางศุภาลัยจึงได้มีออกแบบ facade และตกแต่งพื้นที่ส่วนกลางให้มีกลิ่นอายความเป็นออสเตรเลีย ปัจจุบันผังอาคารยังไม่ออกมานะครับ แต่จากภาพมุมสูงนี้จึงทำให้เราพอจะเดาได้ว่า รูปทรงอาคารจะเป็นรูปตัว L ซึ่งหากดูจากบริบทโดยรอบที่เหมือนของจริงเปะๆ มาประกอบกันแล้ว ผมถือว่าวางผังอาคารได้ค่อนข้างดีเลยนะ ซึ่งผมสามารถวิเคราะห์ให้ได้ดังนี้

  • ทิศเหนือ ทางด้านหน้าโครงการจะไม่ค่อยมีตึกสูงบังในระยะใกล้ จึงทำให้ take view ได้กว้างไกลที่สุด โดยจะเป็นโรงพยาบาลและโรงเรียน ซึ่งยากมากที่จะมีโครงการตึกสูงๆ ไปซื้อที่มาทำตึกสูงได้ เหมาะที่จะวางห้องเป็นแนวยาวเต็มแผงแบบนี้ถูกแล้วครับ เพื่อให้ห้องส่วนใหญ่ได้รับวิวที่ดีที่สุดได้นั่นเองครับ
  • ทิศตะวันออก หรือทางขวามือจะมีตึก Banyan Tree สูง 60 ชั้นก็จริง แต่ก็ไม่ได้อยู่ประชิดมากนัก แถมยังหันด้านแคบมาทางโครงการอีกด้วย จึงเหมาะที่จะวางส่วนขาของอาคารตัว L ไว้ฝั่งนี้ เพื่อรับวิวที่เปิดโล่งและมีระยะห่างระหว่างอาคารพอสมควรครับ ส่วน Sathorn Gardens 2 อาคาร ถ้าเป็นไปตามภาพนี้ก็จะอยู่ทางตอนกลาง-ท้ายๆของที่ดิน ก็จะไม่บังวิวโดยตรงมากนักนะ
  • ทิศตะวันตก หรือทางซ้ายมือ จะเป็นฝั่งที่มีตึกสูง 13 – 32 ชั้น อยู่ติดกับโครงการ เรียงกันเป็นแผง 3 ตึกเลยครับ ซึ่งทางโครงการก็เลือกที่จะหันด้านแคบของอาคารมาทางฝั่งนี้ เพื่อหันหน้าห้องพักให้ take view ไปทิศเหนือ-ใต้ แทน ส่วนห้องที่อยู่ส่วนขาของอาคารตัว L แล้วหันมาฝั่งทิศตะวันตกนี้ ก็จะมี space ให้ได้หายใจมากขึ้น จากชั้นส่วนกลางของโครงการนั่นเองครับ
  • ทิศใต้ เป็นฝั่งที่หันมาทางด้านหลัง และเน้น take view พื้นที่ส่วนกลางของโครงการครับ ซึ่งจากในพาร์ททำเลนั้นหากยังจำกันได้ จะมีคอนโดสูง 29 ชั้น ซึ่งจะอยู่ตรงกับโครงการนี้พอดีทางด้านหลัง แต่ก็ไม่ได้อยู่ใกล้มากนักนะครับ จะห่างออกไปประมาณ 100 m. ได้ โดยถ้าไม่ซีเรียสเรื่องวิวก็ถือว่าเป็นทิศที่เงียบสงบที่สุดทิศนึงเลยครับ

นอกจากนี้ Facilities ส่วนใหญ่ก็จะอยู่ด้านหลัง และถูกโอบล้อมด้วยตัวอาคารของโครงการ ซึ่งจะช่วยให้เกิดความเป็นส่วนตัวจากฝั่งถนนสาทร และอาคารสำนักงานที่อยู่ทางด้านหน้าโครงการ แต่ก็อาจไม่ได้เป็นส่วนตัวจากเพื่อนบ้านข้างเคียงมากนักนะครับ เพราะเค้าก็สามารถมองเห็นส่วนกลางโครงการนี้ได้เช่นกัน ซึ่งโครงการเองก็เข้าใจในส่วนนี้ จึงได้ออกแบบสวนด้วยการปลูกต้นไม้ยืนต้นต่างๆ ซึ่งนอกจากจะช่วยให้เกิดความร่มรื่นแล้ว ยังช่วยพรางสายตาจากเพื่อนบ้านได้อีกด้วย

พื้นที่สวนกลางจะเริ่มตั้งแต่พื้นที่ชั้น 1 เลยครับ ซึ่งถูกจัดให้เป็นสวน Rain Forest มีต้นไม้ร่มรื่นอยู่ทางพื้นที่ด้านหลังโครงการ มีบ่อน้ำพุ และศาลานั่งเล่น เนื่องจากทางโครงการต้องการให้ได้กลิ่นอายแบบออสเตรเลีย จึงเลือกใช้ต้นไม้จำพวกปาล์มมาประดับไว้ให้เหมือนกับเมืองแถบชายทะเล แต่ของจริงจะเป็นอย่างไร อันนี้ต้องรอติดตามชมกันตอนสร้างเสร็จจริงนะครับ ^^

Facilities หลักของโครงการจะอยู่เหนือชั้นจอดรถนะครับ หลักๆคือจะเป็นสระว่ายน้ำระบบเกลือขนาดใหญ่ 2 สระ มีการประดับด้วยสวนและต้นปาล์มสไตล์รีสอร์ทธรรมชาติ แต่หากมองดูดีๆสระทางด้านขวามือ จะเห็นว่าพื้นที่ข้างสระจะไม่ใช่ deck ไม้แบบทั่วๆไป แต่ถูกออกแบบพื้นที่ให้เหมือนกับชายหาดลาดเอียงลงไปในในสระว่ายน้ำ ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆจะค่อนข้างน่าสนใจมากๆเลยนะ สมกับแนวคิดเมืองติดชายทะเลอย่างออสเตรเลียเลยครับ

และที่ชั้นเดียวกันจะมี Fitness อยู่ด้วยครับ โดยจะมีทั้งหมด 2 ชั้น ซึ่งจะมีบันไดวนให้เดินขึ้นมาชั้น 2 ได้ และหันหน้า take view ผ่านผนังกระจกด้านนี้ เพื่อมองออกมาที่สระว่ายน้ำและสวนส่วนกลางได้ครับ

จุดเด่นอีกอย่างของโครงการนี้คือ Hydrotherapy ซึ่งถือว่าเป็นโครงการแรกของศุภาลัยเลยที่มีฟังก์ชันนี้เข้ามาครับ เหมาะกับคนที่รักสุขภาพมากๆเลย การตกแต่งเหมือนอยู่ในถ้ำน้ำตกธรรมชาติ ที่สวยงามและมีความเป็นส่วนตัวดีครับ

ห้องนี้คือ Co-living Space เป็นพื้นที่ที่ลูกบ้านจะได้มานั่งพักผ่อน พบปะพูดคุย หรือนั่งทำงานอ่านหนังสือกันได้แบบเป็นส่วนตัวและเป็นกันเองเฉพาะลูกบ้านได้ ซึ่งจะต่างจาก Lobby ที่จะเอาไว้รับรองแขกที่อาจมาจากภายนอกนะครับ ภายในเป็นห้องฝ้าเพดานสูงที่ค่อนข้างโปร่งโล่ง มีผนังกระจกทรงสูงให้ take view โดยรอบได้ และมีชุดโซฟา รวมถึงชุดโต๊ะเก้าอี้ให้เลือกนั่งกันได้หลายจุด ไม่รบกวนกัน แต่ก็ยังมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกันได้ครับ

ขึ้นมาที่ชั้นบนกันบ้าง ซึ่งจะมี Facilities อีกจุดหนึ่งอยู่ที่ชั้น 53 – 54 ไม่ใช่ชั้นบนสุดนะครับ เพราะชั้นบนสุด 55 – 56 จะเป็น Penthouse ขนาด 970 ตารางเมตร ราคา 280 ล้านบาท ส่วนดาดฟ้าของโครงการจะได้รับแรงบันดาลใจมาจากสถาปัตยกรรมที่ออสเตรเลียอย่าง Sydney Harbour bridge หรือ Opera House ที่มีลักษณะทรงโค้งเหมือนเรือใบหรือเปลือกหอยนั่นเองครับ

สำหรับ Facilities ที่ชั้น 53 – 54 นี้คือ Sky Lounge ซึ่งลูกบ้านทุกๆคนสามารถขึ้นมาใช้งานได้นะ ใครที่อยู่ชั้นล่างๆ หรือโดนบล็อควิว ก็สามารถขึ้นมาชมวิวที่ชั้นนี้ได้เช่นกัน ถือเป็น Value ที่สำคัญ ที่ทางโครงการคำนึงถึงลูกบ้านเป็นอย่างดี เพราะความจริงแล้วหากนำชั้นนี้ไปทำเป็นพื้นที่ขาย ก็จะสามารถขายได้เป็นหลักร้อยล้านเลยนะ ภายในประกอบด้วยเคาน์เตอร์บาร์และชุดเก้าอี้ให้นั่งกันหลายจุด โดยรอบเป็นผนังกระจกทรงสูงทำให้ take view ได้รอบทิศเลยครับ

นอกจากนี้ยังมีบันไดวนให้เดินขึ้นมาที่ชั้นลอยหรือชั้น 54 ได้อีกด้วย ซึ่งด้านบนมีการจัดชุดเก้าอี้ที่นั่งเป็นจุดๆ ตามมุมต่างๆ ทำให้มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้นอีกด้วย ตอนเย็นๆสามารถขึ้นมาชมพระอาทิตย์ตก หรือชมวิวแสงไฟของกรุงเทพฯยามค่ำคืน ซึ่งจะต้องสวยงามและโรแมนติกมากแน่ๆครับ

บรรยากาศจริงพื้นที่ส่วนกลาง Update วันที่ 9/5/2024

Image 1/6
บรรยากาศบริเวณสระว่ายน้ำ

บรรยากาศบริเวณสระว่ายน้ำ

Image 1/6
บรรยากาศบริเวณฟิตเนส

บรรยากาศบริเวณฟิตเนส

Image 1/6
บรรยากาศภายในห้องน้ำส่วนกลาง

บรรยากาศภายในห้องน้ำส่วนกลาง

Image 1/5
บรรยากาศบริเวณพื้นที่ส่วนกลางชั้น 11

บรรยากาศบริเวณพื้นที่ส่วนกลางชั้น 11

Image 1/6
บรรยากาศพื้นที่ส่วนกลางชั้น 53

บรรยากาศพื้นที่ส่วนกลางชั้น 53

สรุปสิ่งอำนวยความสะดวก

  • Lobby
  • EV Charger
  • Movie Club
  • Swimming Pool ระบบเกลือ 2 สระ
  • Board Room
  • Fitness
  • Roof Garden
  • Boxing
  • Co-living Space
  • Table tennis Room
  • Kid’s Room
  • Aerobic & Yoga
  • Playground
  • Yoga Fly
  • Mini Climbing Simulation
  • Hydrotherapy
  • Sauna & Steam
  • Group Cycling
  • Sky Lounge (ชั้น 53, 54)
  • พื้นที่สีเขียวประมาณ 3 ไร่
  • CCTV / SD, HD
  • ลิฟต์โดยสาร 8 ตัว/อาคาร
  • อัตราส่วนลิฟต์รวมทั้งโครงการ 98.38 :  1
  • Service Lift 2 ตัว
  • Parking Lift 2 ตัว
  • ที่จอดรถประมาณ 100%
  • ระบบรักษาความปลอดภัยในโครงการ  CCTV / Key Card

แบบห้อง

มาถึงเรื่องแบบห้องกันแล้วนะครับ ซึ่งทางโครงการจะมีแบบห้องอยู่ทั้งหมด 5 แบบ คือ 1 – 4 Bedrooms และห้องแบบ Skyline Penthouse รวมถึงมีให้เลือกทั้งแบบห้องธรรมดาและห้อง Duplex อีกด้วย (แต่ ณ ตอนนี้ผมยังไม่ทราบนะครับว่าห้อง Duplex จะเริ่มต้นที่ขนาดที่เท่าไหร่) ขายแบบ Fully Fitted คือให้เฟอร์นิเจอร์บางส่วนได้แก่ ชุดครัว สุขภัณฑ์ต่างๆในห้องน้ำ เครื่องปรับอากาศแบบฝังฝ้า และเครื่องใช้ไฟฟ้าบางส่วน รวมถึงมีระบบ Home Automation ติดตั้งมาให้ด้วยครับ โดยห้องตัวอย่างจะมีให้ดูทั้งหมด 2 แบบ ประกอบไปด้วย

  • 1 Bedroom ขนาด 45 ตารางเมตร
  • 3 Bedrooms ขนาด 115 ตารางเมตร

ห้องตัวอย่างแรกคือห้อง 1 Bedroom ขนาด 45 ตารางเมตร ซึ่งมีลักษณะเป็นห้องหน้าแคบและเป็นตอนลึก กั้นห้องนอนด้วยประตูกระจกบานเลื่อน จึงทำให้ห้องโปร่งโล่งและมีพื้นที่เชื่อมต่อกันได้กว้างมากขึ้น โดยพื้นที่ส่วนแรกที่เข้ามาเจอคือ Common area ที่ประกอบไปด้วยพื้นที่ห้องนั่งเล่น โต๊ะทานอาหาร กับห้องครัว ซึ่งเป็นฟังก์ชันที่แปลกอย่างหนึ่ง คือการที่ครัวมาอยู่ตรงกลางห้องเนี่ยแหละครับ เพราะปกติเราจะเห็นห้องครัวจะอยู่บริเวณหน้าห้อง หรือไม่ก็อยู่ติดกับระเบียง เพื่อที่จะสามารถระบายอากาศได้ดีนั่นเอง ดังนั้นครัวของห้องนี้จึงไม่เหมาะที่จะทำอาหารจริงจังมากนัก เพราะไม่สามารถกั้นห้องได้ครับ เนื่องจากเค้าให้เคาน์เตอร์ครัวรูปตัว U แบบในแปลนมาให้เลยนั่นเอง

ส่วนห้องน้ำจะเข้าจากทางห้องครัว ซึ่งค่อนข้างโอเคกว่าแบบที่ประตูเข้าจากทางด้านห้องนั่งเล่น เพราะนอกจะดูไม่สวยงามแล้ว ยังกินพื้นที่วางทีวีอีกด้วย แต่สำหรับบางคนก็อาจไม่ค่อยชอบนะครับ เพราะจะไม่ค่อยสะดวกเวลาเข้าห้องน้ำตอนกลางคืน หรือเวลาอาบน้ำเสร็จก็จะต้องเดินผ่านทั้งพื้นที่ครัวและ Common area เพื่อไปแต่งตัวในห้องนอน จึงทำให้พื้นที่การใช้งานค่อนข้าง cross กันอย่างเห็นได้ชัด

นอกจากนี้ส่วนที่แปลกอีกอย่างก็คือห้องนอนครับ คือห้องนี้จริงๆจะไม่มีระเบียงนะ ที่เห็นว่ามีประตูเล็กๆออกไปนั่นคือช่องเก็บ Condensing unit เท่านั้น และของจริงก็จะไม่มีพื้นที่ Walk in closet มาให้นะครับ ดังนั้นเราจะได้เป็นพื้นที่ห้องนอนขนาดใหญ่มาก เพราะไม่ต้องสูญเสียพื้นที่ให้กับระเบียงที่ปกติไม่ค่อยได้ใช้งานนั่นเอง ห้องนี้จึงเหมาะกับคนที่เน้นพื้นที่ใช้สอยภายในห้องเยอะๆ อาจอยู่คน 1 – 2 คนก็ได้ ซึ่งก็มีพื้นที่มากพอให้จัดมุมอเนกประสงค์ส่วนตัวตามไลฟ์สไตล์ของตัวเองได้ โดยเฉพาะในห้องนอน ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่แต่งตัวสำหรับคุณผู้หญิง หรือพื้นที่นั่งทำงานสำหรับคุณผู้ชายก็ได้ โดยของจริงจะเป็นอย่างไรบ้างเราไปรับชมกันเลยครับ

เมื่อเราเข้ามาในห้องจะเจอ Common area ขนาดใหญ่ ซึ่งค่อนข้างกว้างเลยทีเดียวครับ เพราะถึงแม้จะเป็นห้อง 1 Bedroom แต่ก็มีพื้นที่มากถึง 45 ตารางเมตร มีความสูงพื้นถึงฝ้าอยู่ที่ 2.85 m. ปูพื้นด้วยกระเบื้อง Cotto อิตาเลีย ลายหินอ่อนสีขาว และผนังจะฉาบเรียบทาสีขาวธรรมดานะครับ เพิ่มเติมให้อีกนิดว่าห้องของโครงการนี้จะมาพร้อมกับระบบ Home Automation ที่รองรับการเปิด-ปิดไฟ แอร์ และม่านไฟฟ้า 3 อย่างนี้เท่านั้นนะครับ

แต่ผมมีข้อสังเกตอยู่อย่างหนึ่งของลักษณะห้องแบบนี้ คือห้องที่มีพื้นที่มาก ก็ยิ่งจะดูกว้างขวางและโปร่งโล่งมากขึ้นก็จริง แต่สำหรับห้องใหญ่แบบหน้าแคบแบบนี้ แน่นอนว่าห้องยิ่งลึกมากเท่าไหร่ โอกาสที่บริเวณหน้าห้องจะได้รับแสงธรรมชาติส่องเข้ามาถึงก็จะยิ่งน้อยลง ถ้าหากช่องแสงภายนอกมีขนาดใหญ่ไม่เพียงพอ แต่ดีที่ห้องนี้มีหน้ากว้างพอสมควรครับ และได้ช่องแสงถึงครึ่งหนึ่งของความกว้างของห้อง จึงทำให้มีแสงสว่างเข้ามาถึงได้เพียงพอ

อีกข้อสังเกตหนึ่งของฝ้าเพดาน คือจะได้แอร์แบบ 4 Way Cassette หรือแอร์ฝังฝ้าแบบ 4 ทิศทาง ระบบ VRV ช่วยประหยัดพลังงานมากกว่าเครื่องปรับอากาศทั่วไปแบบนี้เลยครับ ซึ่งมีข้อดีคือจะทำให้ห้องเย็นเร็ว และมีอุณภูมิสม่ำเสมอทั่วกันทุกทิศทาง แต่ก็อาจจะมีเสียงสั่นเล็กๆของเครื่องบ้างเล็กน้อย (ไม่ใช่เสียงของลมนะครับ) เหมาะกับห้องที่เป็นลักษณะโถงเพดานสูง หรือห้องที่มีขนาดกว้างมีพื้นที่ภายใน เช่น ในห้องนั่งเล่น ห้องทานอาหาร ห้องโถงที่มีระยะจากพื้นถึงฝ้าสูงๆ เป็นต้น

อีกอย่างหนึ่งที่จะค่อนข้างแตกต่างจากโครงการทั่วไปคือ สปริงค์เกอร์ดับไฟ โดยเราจะได้แบบฝังในฝ้า(แบบในรูปด้านบนสุด)เหมือนในห้องตัวอย่างเลยครับ ซึ่งจะทำให้ห้องดูเป็นระเบียบเรียบร้อย และสะอาดตามากขึ้นนั่นเองครับ

มาต่อกันที่ฟังก์ชันแรกคือพื้นที่นั่งเล่น ระยะดูทีวีอยู่ที่ประมาณ 2.7 m. สามารถใช้ทีวีขนาด 50 นิ้วได้เลยครับ รวมถึงยังมีพื้นที่มากพอที่จะสามารถวางโต๊ะกลางได้โดยไม่เกะกะทางเดินหรือการเปิดประตูอีกด้วย

ชั้นวางทีวีจะไม่ได้ Built in มาให้นะครับ โดยเราจะได้เป็นพื้นที่โล่งๆ แต่ก็สามารถดูเป็นแนวทางจากห้องตัวอย่างนี้ได้ครับ ที่น่าสนใจคือพื้นที่ด้านขวามือที่ติดกับประตูทางเข้า เราสามารถทำเป็นตู้เก็บรองเท้าได้นะ ซึ่งก็จะช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องไม่มีที่เก็บของเท้าในคอนโดได้เป็นอย่างดี ส่วนถ้าใครที่มีของเยอะๆ ก็สามารถ Built ชั้นวางของหรือตู้ด้านบนทีวีเพิ่มเติมได้อีกนะ

ฝั่งตรงข้ามเป็นชุดโซฟา ซึ่งห้องตัวอย่างเค้าวางโซฟาขนาด 2 ที่นั่งมาให้ดู ในความเป็นจริงแล้วก็ยังมีพื้นที่ด้านข้างเหลืออีกเยอะ เราสามารถขยายโซฟาออกเป็น 3 ที่นั่งเลยก็ได้ครับ จะได้นั่งได้หลายๆคนหน่อย หรือจะนอนดูทีวีเลยก็ยังได้

ติดกันจะเป็นพื้นที่วางโต๊ะทานอาหารครับ ซึ่งห้องตัวอย่างก็วางโต๊ะแบบ 2 ที่นั่งมาให้ดู ซึ่งจริงๆก็ยังมีพื้นที่ด้านข้างเหลืออยู่อีกเยอะเลยครับ เราสามารถวางโต๊ะขนาด 4 ที่นั่งเลยก็ยังได้นะ หรือถ้าใครไม่อยากให้พื้นที่โต๊ะไปขวางทางเดินแล้วทำให้ห้องดูแคบลง ก็อาจเลือกใช้โต๊ะที่พับขยายและปรับฟังก์ชันเป็น 2 – 4 ที่นั่งแทนก็ได้ เวลาไม่ใช้งานก็พับเก็บไว้ แค่นี้ก็ไม่เกะกะแล้วครับ

ส่วนฝั่งตรงข้ามเป็นพื้นที่ครัวนะ โดยเราจะได้ชุดครัวแบบในห้องตัวอย่างนี้เลยครับ ยกเว้นพวกของตกแต่งนะ ซึ่งทางโครงการเรียกฟังก์ชันส่วนนี้ว่า Smart Kitchen ครับ โดยมันมีทั้งข้อดีข้อเสียนะ พูดถึงข้อดีก่อนคือมันก็ดูสวยงามดี และทำให้ได้พื้นที่เชื่อมต่อกัน ดูแล้วกว้างขวางมากขึ้นครับ แต่ข้อเสียคือมันไม่สามารถกั้นห้องทำเป็นครัวปิดเพื่อทำอาหารจริงจังได้ครับ ดังนั้นเวลาเราทำหรืออุ่นอาหารก็อาจมีกลิ่นอาหารกระจายอยู่ในห้องได้ ถึงแม้จะมีเครื่องดูดควันให้แล้วก็ตาม

พื้นที่ทำครัวที่ได้จะกว้างประมาณ 1 m. สามารถใช้งานคนเดียวได้แบบพอดีๆ หรือถ้าจะใช้งานพร้อมกันด้านในก็อาจจะต้องเบียดๆหน่อยนะ หรือปรับการใช้งานโดยที่คุณภรรยาอาจจะทำอาหารอยู่ด้านใน และคุณสามีก็อาจเป็นลูกมือคอยเตรียมอุปกรณ์และหั่นพักให้อยู่อีกฟากของไอส์แลนด์ด้านนอกก็ได้ครับ

ตู้ชั้นล่างมีลิ้นชักเก็บของค่อนข้างเยอะเลยครับ ทั้งหมดจะติดตั้งโช๊คและ soft close ป้องกันการกระแทกมาให้เรียบร้อย รวมถึงเราจะได้ตู้อบของ Kuppersbusch และเครื่องซักผ้าของ Teka ที่สามารถทั้งซักและอบผ้าในเครื่องเดียวได้

นอกจากนี้ใต้อ่างล้างจานยังติดตั้งเครื่องบดเศษอาหารไว้ตรงท่อน้ำทิ้งไว้อีกด้วยนะ เวลามีอะไรลงไปในท่อจะได้ไม่อุดตัน ไม่เป็นภาระทั้งห้องตัวเองและท่อน้ำส่วนกลางนะ ส่วนวัสดุปิดผิวด้านนอกที่เห็นเป็นสีทองแดงนั่นคือ ไม้ลามิเนต สีอลูมิเนียม Copper ที่เป็นเอกลักษณ์ของโครงการนี้เหมือนกับ facade ด้านนอกเลยครับ

ส่วน Top ครัวด้านบนเป็นหินเทียม ลายหินอ่อนสีขาวแบบนี้นะครับ ซึ่งวัสดุทดแทนหินที่ผลิตจากส่วนผสมอื่นๆ ที่ไม่ใช่หินธรรมชาติ เช่น อะคริลิค โพลีเอสเตอร์ เป็นต้น โดยมีส่วนผสมของแร่เพื่อเพิ่มความแข็งแรง จะเรียบเสมอกันทั้งแผ่น ไม่มีรูพรุน ไม่ดูดซึมน้ำ และสามารถทนรอยขีดข่วนได้ดี ทำความสะอาดก็ง่าย ซึ่งโดยส่วนตัวผมจะชอบโต๊ะไอส์แลนด์ทางด้านซ้ายแบบนี้มาก เพราะนอกจากจะช่วยเพิ่มพื้นที่ทำครัวให้มากขึ้นโดยไม่มีเตาหรืออ่างล้างจานมาคอยเกะกะแล้ว ยังช่วยสร้างปฏิสัมพันธ์ของคนในห้องได้อีกด้วย

ตรงกลางเป็นเตาไฟฟ้าของ Kuppersbusch แบบ 2 หัว และมีเครื่องดูดควันแบบมีท่อปล่อยออกไปสู่ภายนอก ส่วนทางด้านซ้ายก็เป็นอ่างล้างจานขนาด 43 x 41 cm. ลึก 20 cm. แบบหลุมเดียวของ Franke พร้อมมีเขียงกับตะแกรงของอ่างล้างจานมาให้แบบนี้เลยด้วย ส่วนผนังก็ติดตั้ง Backsplash มาให้เพื่อเช็ดทำความสะอาดได้ง่าย รวมถึงยังมีที่แขวนมีด ที่แขวนกระดาษทิชชู่ และที่พักจานติดมาให้แบบในห้องตัวอย่างนี้เลยครับ

ด้านบนก็จะติดตั้งตู้และชั้นแขวนมาให้ทั้ง 3 ด้านแบบนี้เลยครับ แน่นอนว่าจะได้ shelf วางของทางด้านซ้ายแบบนี้เลยนะ

ส่วนอีก 2 ด้าน ก็จะมีชั้นเก็บของอยู่ข้างในค่อนข้างเยอะเลยครับ พิเศษหน่อยสำหรับตู้ทางขวามือจะมีกลไกที่เราสามารถดึงมันลงมาได้ เหมาะกับสาวไทยตัวเล็กๆอย่างบ้านเรา ซึ่งจะสามารถหยิบของที่ชั้นสูงๆได้ง่ายมากขึ้น ส่วนวัสดุปิดผิวที่หน้าบานเบื้องต้นที่ทราบก็จะเป็นกระจกเงาแบบนี้เลยครับ

ส่วนตู้ทางขวามือสุดด้านในเป็นตู้เย็นขนาด 18 คิวซ่อนอยู่ และชั้นบนก็สามารถเก็บของชิ้นใหญ่ๆเพิ่มเติมได้อีกด้วยครับ

ติดกันเป็นพื้นที่ห้องน้ำนะ ภายในมีการแบ่งฟังก์ชันส่วนเปียกส่วนแห้งออกเป็นสัดส่วน โดยพื้นที่ส่วนแห้งจะมีขนาด 1.65 x 1.8 m. ด้านบนติดตั้งไฟดาวน์ไลท์แบบฝังฝ้าให้ถึง 3 จุด พร้อมพัดลมดูดอากาศ แต่ที่สำคัญคือ ทั้งกระเบื้องปูพื้นและผนังจะได้เป็น Cotto อิตาเลีย ลายหินอ่อนสีขาวเหมือนกับพื้นที่ Common area ด้านนอกเลยครับ ส่วนความสูงของฝ้าเพดานจะลดต่ำลงน้อยกว่าด้านนอกเหลืออยู่ประมาณ 2.6 m. นะ

เริ่มกันที่ส่วนแรกจะประกอบไปด้วยอ่างล้างหน้าและโถสุขภัณฑ์ของ Kohler ซึ่งตัวอ่างนั้นมีขนาด 55 x 48 cm. เคาน์เตอร์เป็น Top หินอ่อน และมีพื้นที่ด้านข้างกว้างประมาณ 17 cm. เอาไว้วางของเพิ่มเติมได้ครับ

นอกจากนี้หลังกระจกเงายังมีชั้นวางของซ่อนอยู่ด้านใน ช่วยเพิ่มพื้นที่เก็บของในห้องน้ำได้ดี ตู้ด้านล่างก็เช่นกันนะ เพียงแต่ของจริงที่ใต้อ่างล้างหน้าจะมีเครื่องทำน้ำร้อนติดตั้งเอาไว้ด้วยครับ เนื่องจากที่ผนังของห้องน้ำโครงการนี้มีการฝังท่อน้ำร้อนเอาไว้แล้วนั่นเอง ก๊อกน้ำในห้องน้ำจึงสามารถเปิดน้ำอุ่นได้นะ

ส่วนโถสุขภัณฑ์ด้านข้างเป็นแบบอัตโนมัติของ Kohler รุ่น Veil (เวล) ซึ่งเป็นตัว Top สุดของ Kohler ติดตั้งมาพร้อมกับที่แขวนกระดาษชำระ และรีโมทคอนโทรลแบบไร้สายครับ (ถ้าใครสนใจอ่านข้อมูลของโถสุขภัณฑ์รุ่นนี้เพิ่มเติมคลิกที่นี่)

ส่วนพื้นที่อาบน้ำจะกั้นด้วยฉากกั้นกระจกนิรภัย Tempered Glass มาให้เรียบร้อยเลยครับ ที่เปิดประตูก็สามารถใช้แขวนผ้าเช็ดตัวได้นะ

โดยพื้นที่อาบน้ำจะมีขนาดประมาณ 1.2 x 0.85 m. สามารถใช้งานได้สบายๆ มีข้อสังเกตคือจะมีไม่ธรณีประตูนะครับ แต่จะเซาะร่องที่พื้นและมีเป็นรางน้ำตะแกรงสเตนเลสมาให้ เพื่อใช้ในการแยกพื้นที่ส่วนแห้งกับส่วนเปียกออกจากกัน มีข้อดีคือดูเรียบร้อยสวยงาม และจะทำให้ไม่เกิดการสะดุดเวลาใช้งานอีกด้วย

ภายในติดตั้ง Hand Shower ซึ่งตัวเสาสามารถปรับระดับความสูงได้ ที่แขวนฝักบัวก็ปรับองศาได้ ก๊อกน้ำเป็นแบบก้านโยกทำให้ใช้งานตอนมือลื่นๆสะดวก รวมถึงด้านบนยังมี Rain Shower ติดตั้งมาให้อีกด้วย และที่ด้านซ้ายมือจะมีช่องเว้าเข้าไปขนาด 30 x 45 cm. สามารถทำเป็นชั้นวางแชมพูและครีมอาบน้ำได้นะครับ

ต่อไปเราจะเข้าไปยังห้องนอนกันบ้างนะ ซึ่งฟังก์ชันห้องจะกั้นด้วยประตูกระจกบานเลื่อนแบบ 3 ตอน ทำให้สามารถเปิดออกได้กว้างถึง 1.45 m. เวลาไม่ใช้งานแล้วเปิดเอาไว้ก็จะได้พื้นที่ห้องเชื่อมต่อกันกว้างมากขึ้น และแน่นอนว่าประตูกระจกนี้ยังช่วยดึงแสงธรรมชาติให้ส่องเข้ามาได้ถึงห้องนั่งเล่นอีกด้วยครับ เพียงแต่อาจเสียเรื่องความเป็นส่วนตัวเวลามีแขกมา แล้วเค้าอาจมองเข้าไปเห็นในห้องเราได้ หากใครซีเรียสเรื่องนี้ก็สามารถติดม่านเพิ่มเติมได้นะครับ

กรอบประตูเป็นอลูมิเนียมสีดำแบบด้านนะ ส่วนกระจกจะเป็นแบบใสธรรมดา แต่ข้อสังเกตของประตูห้องตัวอย่างบานนี้คือ จะไม่มีตัวล็อคหรือที่จับมาให้เลยครับ ของจริงไม่แน่ใจว่าจะมีหรือเปล่านะ ต้องลองสอบถามโครงการดูอีกทีครับ

ภายในห้องนอนมีขนาดพื้นที่กว้างขวางสามารถใช้งานได้สะดวก ซึ่งพื้นในห้องนี้จะเปลี่ยนจากพื้นกระเบื้องมาเป็นพื้นไม้ Engineering Wood ท็อปผิวไม้โอ๊คครับ ซึ่งนอกจากจะสวยงามแล้ว ก็ยังมีความแข็งแรงทนทานต่อรอยขีดข่วน และทนความชื้นได้ดีกว่าพื้นไม้ลามิเนต

ตรงกลางห้องสามารถวางเตียงขนาด 5 – 6 ฟุตได้สบายๆเลยครับ เพราะทางด้านขวามือจะเห็นได้ว่ายังมีพื้นที่เหลืออยู่อีกค่อนข้างมากเลยทีเดียว

พื้นที่ทางด้านขวานี้กว้างประมาณ 1.5 m. สามารถจัดเป็นมุมพักผ่อนอเนกประสงค์ข้างหน้าต่าง หรือวางโต๊ะทำงานก็เหมาะครับ เพราะได้แสงธรรมชาติที่ค่อนข้างเพียงพอ และ take view ไปได้ในตัวอีกด้วย ซึ่งสาเหตุหลักๆที่ห้องนอนนี้มีพื้นที่เยอะขนาดนี้ ก็เป็นเพราะห้องนี้ไม่มีระเบียงนั่นเองครับ จึงไม่ต้องเสียพื้นที่ภายนอกห้องให้กับระเบียงที่ปกติเราก็ไม่ค่อยได้ใช้งาน แต่จะเน้นพื้นที่ใช้สอยในห้องแทนนั่นเอง

โดยช่องหน้าต่างที่ได้จะเป็นแบบเต็มผนังจริงๆ สูงจากพื้นถึงฝ้า ซึ่งมีข้อดีคือช่วยเพิ่มมุมมองทั้งมุมเงยด้านบน และมุมกดด้านล่างให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งด้านซ้ายก็ยังมีหน้าต่างบานกระทุ้งที่สามารถเปิดระบายอากาศได้อีกด้วยครับ ส่วนด้านบนก็จะมีช่องซ่อนรางม่านเอาไว้ให้เรียบร้อยนะครับ แต่ไม่ได้ติดตั้งม่านหรือเดินรางไว้ให้นะ (ต้องติดเอง) แต่จะมีงานระบบของม่านไฟฟ้าฝังเอาไว้ให้ใต้ฝ้าเรียบร้อยแล้วครับ

ส่วนกรอบหน้าต่างก็จะเป็นอลูมิเนียมสีดำเหมือนเดิมนะ เพียงแต่กระจกจะเป็น Low-E หรือกระจกสะท้อนความร้อนแบบ Double Glazing ซึ่งจะมี Air Gap อยู่ตรงกลางระหว่างกระจกลามิเนตทั้ง 2 แผ่น ที่ช่วยในการลดการถ่ายเทความร้อนและเสียงรบกวนจากภายนอกสู่เข้าภายในอาคาร จึงทำให้มีส่วนในการช่วยลดการใช้เครื่องปรับอากาศ หรือลดการใช้ไฟฟ้าได้อีกด้วยครับ (ขอบคุณรูปภาพประกอบจาก pharosglass.com)

อย่างที่บอกไปแล้วว่าห้องนี้ไม่มีระเบียงนั้น จริงๆแล้วช่องหน้าต่างนี้มีการออกแบบให้ปรับฟังก์ชันเป็นระเบียงในตัวได้ด้วยนะครับ โดยช่องด้านขวาสุดนั้นจะเห็นว่ามีราวกันตกกระจกนิรภัย Tempered Glass สูง 1 m. กั้นเอาไว้อยู่ช่องหนึ่ง ซึ่งหากเราเลื่อนประตูกระจกออกแล้ว ช่องนี้ก็จะทำหน้าที่กลายเป็นระเบียงส่วนตัวได้นั่นเอง

นอกจากนี้ด้านขวาสุดยังมีช่องประตูกระจกเล็กๆอยู่อีกบานหนึ่ง สามารถเปิดออกไปยังช่องเก็บ Condensing unit ได้ครับ ซึ่งเราจะได้เป็นกระจกฝ้าแบบนี้ ทำให้เวลามองจากในห้องจะดูเรียบร้อยมากขึ้นนะ

อีกหนึ่งข้อดีของประตูแบบนี้คือจะมีแถบยางติดอยู่ที่ขอบประตู ทำให้สามารถปิดได้แนบสนิท และกันเสียงได้ค่อนข้างดีกว่าประตูกระจกบานเลื่อนครับ

ส่วนด้านนอกก็จะมีระแนงของ facade อาคาร ที่ช่วยพรางสายตาได้ ทำให้เวลามองเข้ามาจากภายนอกก็จะดูเป็นระเบียบเรียบร้อยมากขึ้น ซึ่งนอกจากประโยชน์การใช้งานแขวน Condensing unit แล้ว ก็ยังพอจะมีพื้นที่เหลือ สามารถเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาด หรือใช้ตากผ้าเล็กๆน้อยๆก็ได้นะครับ โดยพื้นที่ด้านนอกจะมีขนาดประมาณ 1.3 x 0.9 m. และปูพื้นด้วยกระเบื้องเซรามิคนะ มีท่อระบายน้ำให้เรียบร้อยไม่ต้องกลัวน้ำขัง

สุดท้ายคือพื้นที่ปลายเตียงครับ อย่างที่บอกไปแล้วว่าห้องนอนของห้องนี้จะไม่ต้องเสียพื้นที่ให้กับระเบียงภายนอก จึงทำให้มีพื้นที่อเนกประสงค์ภายในค่อนข้างเยอะ ซึ่งของจริงพื้นที่ตรงส่วนนี้เราจะได้เป็นพื้นที่โล่งๆนะครับ โดยเราสามารถจัดสรรพื้นที่นี้เป็นอะไรก็ได้ตามต้องการ จากห้องตัวอย่างจะมีการกั้นพื้นที่เป็น Walk in closet ด้านใน ทำให้มีพื้นที่วางทีวีที่ปลายเตียงได้ด้วย

สมมุติเราอยากจะจัดเป็นพื้นที่แต่งตัวแบบนี้บ้าง ก็จะได้ตู้เสื้อผ้ารูปตัว L กับโต๊ะเครื่องแป้งเล็กๆอีก 1 ชุด รวมถึงมีพื้นที่พอดีกับการใช้งานกว้างประมาณ 85 cm. แบบนี้ครับ แต่อย่างที่บอกไปในช่วงแปลนแล้วว่าห้องน้ำของห้องนี้จะอยู่ด้านนอก และถ้าจะแต่งตัวหลังอาบน้ำเสร็จ ก็จะต้องเดิน cross พื้นที่หลายฟังก์ชัน ซึ่งอาจไม่ค่อยสะดวกสำหรับบางคน (อันนี้แล้วแต่คนนะครับ ลองตัดสินใจกันดูนะ)

ห้องตัวอย่างที่ 2 คือห้อง 3 Bedrooms ขนาด 115 ตารางเมตร ฟังก์ชันห้องนี้ค่อนข้างลงตัวและเป็นสัดส่วนมากๆครับ มีพื้นที่ใช้สอยกว้างขวางให้อารมณ์ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน มี 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ เรียกได้ว่าเพียงพอและมีความเป็นส่วนตัว ไม่ต้องแย่งกันใช้งานเลยครับ เพียงแต่ห้องนอนเล็กอาจต้องใช้งานห้องน้ำส่วนกลางที่อยู่ด้านนอกนะ ซึ่งในความเป็นจริงถ้าเป็นครอบครัวขนาดไม่ใหญ่มาก อาจอยู่แบบพี่น้องหรือมีลูกคนเดียว ก็คงต้องการห้องนอนแค่ 2 ห้อง ส่วนห้องนอนเล็กอีกห้องก็สามารถปรับเป็นห้องทำงานหรือห้องอเนกประสงค์อื่นๆก็ได้ครับ

จุดเด่นของห้องนี้ที่ผมมองนอกจากเรื่องของขนาดพื้นที่ที่ใหญ่แล้ว ก็คือเรื่องฟังก์ชัน ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 4 จุดนะ จุดแรกคือบริเวณทางเข้าห้องครับ ซึ่งจากแปลนจะเห็นได้ว่ามันเปิดโถงทางเดินตรงยาวเข้ามา ไม่สามารถมองเห็นพื้นที่ทั้งหมดในห้องได้ ซึ่งก็ช่วยสร้างความเป็นส่วนตัวจากคนภายนอกได้ดีเลยครับ จุดที่ 2 คือ Common area ที่บอกได้เลยว่ากว้างมากครับ และมีพื้นที่เชื่อมต่อกันได้ เราสามารถนั่งทานอาหารหรือนั่งทำงานที่โต๊ะทานอาหารไปด้วย แล้วก็ยังดูทีวีของห้องนั่งเล่นไปด้วยได้ โดยที่พื้นที่โถงทางเดินตรงกลางก็เป็นพื้นที่เชื่อมต่อทุกฟังก์ชันจริงๆ ไม่ใช่พื้นที่สูญเปล่าเลยครับ จุดที่ 3 คือห้องครัว โดยจะอยู่บริเวณทางเข้าด้านหน้าห้อง และเป็นห้องผนังกระจกซึ่งได้ความโปร่งโล่ง ทำให้ภายในห้องไม่รู้สึกอึดอัด แต่ยังคงมีความเป็นสัดส่วนและได้เป็นพื้นที่ครัวปิด สามารถทำอาหารจริงจังได้ แถมยังมีการตัดเหลี่ยมมุมออกไปส่วนหนึ่ง เพื่อช่วยเพิ่มมุมมองสายตาให้ดูห้องกว้างมากขึ้นอีกด้วยครับ

ส่วนจุดสุดท้ายถือเป็นฟังก์ชันใหม่ล่าสุดของศุภาลัย ที่ไม่เคยทำในโครงการไหนของตัวเองมาก่อนคือ ระเบียงแบบ 2 ชั้นครับ ซึ่งเวลาที่เราไม่ได้ต้องการใช้งานระเบียงภายนอก เราก็สามารถเปิดประตูเชื่อมต่อกับพื้นที่ห้องนั่งเล่นให้กว้างขวางมากขึ้นได้นะ แต่ถ้าวันไหนอากาศดีๆ ก็สามารถปิดประตูกระจกห้องนั่งเล่น และเปิดช่องหน้าต่างภายนอก เพียงแค่นี้ก็จะกลายเป็นระเบียงภายนอกแล้วครับ โดยพื้นที่ระเบียงก็สามารถใช้งานได้เต็มที่เลยนะ เพราะว่าเค้ามีห้องเก็บ Condensing unit แยกเอาไว้ให้แล้วเช่นเคย เพียงแต่ผมมองว่าช่องแสงของระเบียงดูน้อยไปหน่อย เมื่อเทียบกับรูปแบบห้องหน้ากว้างแบบนี้ เพราะมันกว้างเพียงแค่ครึ่งเดียวของ Common area เท่านั้น ทำให้อีกครึ่งนึงอย่างโต๊ะทานอาหารและหน้าห้องนอนเล็กอาจมืดได้ครับ คงต้องเปิดไฟตลอดเวลาเลย ซึ่งของจริงจะเป็นอย่างไรนั้นเราลองไปชมกันเลยครับ

เมื่อเราเข้ามาในห้องสิ่งแรกที่เราจะเห็นคือ โถงทางเดินเป็นแนวยาวตรงเข้าไป ซึ่งเราจะยังไม่สามารถมองเห็นพื้นที่ทั้งหมดภายในห้องได้ จึงมีความเป็นส่วนตัวเพิ่มมากขึ้นนั่นเองครับ ส่วนทางด้านขวามือติดกับประตูทางเข้าจะมีช่องว่างเล็กๆเว้าเข้าไป เอาไว้ Built ตู้รองเท้าได้ครับ ซึ่งโถงทางเดินนี้กว้างประมาณ 1.5 m. สามารถวางม้านั่งตัวเล็กๆ เอาไว้สำหรับนั่งใส่รองเท้าหน้าห้องได้นะ ส่วนผนังกระจกด้านขวานั้นก็ยังส่วนทำให้โถงทางเดินนี้ไม่ดูแคบและไม่อึดอัดจนเกินไปอีกด้วยครับ

เมื่อเดินเข้ามาด้านในก็จะเจอกับพื้นที่ Common area ขนาดใหญ่ ซึ่งต้องบอกว่าใหญ่มากจริงครับ ให้อารมณ์ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้านเลย ประกอบไปด้วยพื้นที่นั่งเล่นและโต๊ะทานอาหาร โดยวัสดุในห้องนี้จะได้เหมือนห้องที่แล้วนะ พื้นปูด้วยกระเบื้อง Cotto อิตาเลีย ลายหินอ่อนสีขาว ความสูงจากพื้นถึงฝ้า 2.85 m.

แต่ที่จะแตกต่างกันคือ เครื่องปรับอากาศ ซึ่งห้อง Type นี้จะได้แอร์แบบ 1 Way Cassette หรือแอร์ฝังฝ้าแบบ 1 ทิศทาง ระบบ VRV แบบนี้นะครับ

เริ่มกันที่พื้นที่นั่งเล่นก่อนนะ ระยะดูทีวีกว้างประมาณ 3 m. สามารถใช้ทีวีขนาด 50 – 60 นิ้วเลยก็ได้ ซึ่งทีวีจอใหญ่ๆนั้นก็เอาไว้เผื่อนั่งดูทีวีจากโต๊ะทานอาหารที่อยู่ด้านหลังโซฟาไปด้วยได้นั่นเองครับ ส่วนโซฟาก็สามารถใช้ชุดโซฟาขนาดใหญ่ 3 – 4 ที่นั่ง หรือจะเป็นโซฟารูปตัว L เลยก็ได้นะ ซึ่งก็เหมาะกับครอบครัวขนาดใหญ่กำลังดีเลยครับ

ติดกันก็จะมีประตูกระจกบานเลื่อน ซึ่งจะมี 2 ชั้นนะ ชั้นแรกจะเปิดออกไปยังพื้นที่ Semi-Outdoor ก่อน ซึ่งแสงธรรมชาติจากภายนอกประตูกระจกของชั้นที่ 2 ก็ยังส่องผ่านเข้ามาได้อยู่ครับ ส่วนด้านบนก็จะดรอปฝ้าเพื่อซ่อนรางม่านไว้ให้เช่นเคยนะ

พื้นที่ระเบียงมีขนาดประมาณ 1.4 x 3.7 m. ปูพื้นด้วยกระเบื้องชนิดเดียวกับตัวห้อง แต่มีข้อสังเกตคือ ระดับพื้นของระเบียงกับพื้นห้องจะเท่ากันนะ ซึ่งมีข้อดีคือจะช่วยเพิ่มความรู้สึกว่าพื้นที่ภายในห้องและระเบียงเชื่อมต่อเป็นพื้นที่เดียวกันจริงๆ ได้มากกว่าพื้นที่ที่มีการลดระดับลงเล็กน้อยแล้วจะรู้สึกแยกออกจากกันไปเลยครับ

พื้นที่ตรงนี้เราจะจัดเป็นอะไรก็ได้นะ ถ้าเป็นชั้นสูงๆวิวสวยๆ ก็เหมาะที่จะจัดเป็นพื้นที่นั่งเล่นชมวิวแบบนี้ได้เลยครับ มีข้อสังเกตตรงช่องหน้าต่างทางด้านซ้ายสุดจะมีราวกันตกกระจกนิรภัย Tempered Glass มาให้อีกเช่นเคย สามารถเปิดออกเพื่อเชื่อมต่อกับพื้นที่ภายนอกได้ ส่วนทางขวาก็จะมีหน้าต่างบานกระทุ้งไว้เปิดระบายอากาศ และมีประตูห้องเก็บ Condensing unit อยู่ด้านข้างเหมือนเดิมครับ

ภายในห้องเก็บ Condensing unit จะมีขนาดเท่ากับห้อง 1 Bedroom เมื่อสักครู่เลยครับ ประโยชน์ใช้สอยก็เหมือนๆกับที่ได้บอกไปแล้วก่อนหน้านี้นะ ถือว่าเป็นสัดส่วนเรียบร้อยดีครับ

กลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง คราวนี้ลองเราหันหน้าออกไปทางหน้าห้องดูบ้าง ก็จะเห็นห้องครัวที่เป็นห้องกระจกขนาดใหญ่อยู่ตรงกลางห้อง มีข้อดีคือทำให้ห้องดูโปร่งโล่งไม่อึดอัด แต่ยังได้ความเป็นสัดส่วนอยู่นั่นเองครับ

ประตูกระจกบานเลื่อนเป็นแบบ 2 ตอน ทำให้เปิดออกได้กว้างถึง 1.3 m. และเมื่อปิดสนิทแล้ว ก็จะกลายเป็นพื้นที่ครัวปิด สามารถทำอาหารได้อย่างจริงจังครับ

โดยชุดประตูนี้จะมีวัสดุเหมือนกับประตูที่กั้นห้องนอนของห้อง 1 Bedroom ห้องที่แล้วนะครับ คือจะเป็นกรอบอลูมิเนียมสีดำ และกระจกใสธรรมดา เพียงแต่ประตูบานนี้จะมีร่องให้จับและเปิดปิดได้ง่ายมากขึ้นครับ

ส่วนภายในห้องครัวก็จะยังได้เป็น Smart Kitchen ครบชุดเช่นเดิม ซึ่งเราจะได้ของทุกอย่างที่เห็นในนี้ ไม่เว้นแม้แต่ตู้เย็นและเครื่องซักผ้า แต่จะยกเว้นของตกแต่งกับตู้แช่ไวน์เท่านั้นนะครับที่เราจะไม่ได้

ขนาดพื้นที่ทำครัวจะกว้างประมาณ 2 x 2.5 m. สามารถทำอาหารพร้อมกัน 2 คนได้สบายเลยครับ โดยพื้นก็เป็นกระเบื้องซึ่งสามารถเช็ดทำความสะอาดได้ง่าย และไม่กลัวน้ำเหมือนพื้นไม้ทั่วไป จึงสามารถทำครัวได้อย่างเต็มที่

ตู้ทางด้านซ้ายสุดข้างๆตู้เย็นจะสามารถเลื่อนออกมาได้แบบนี้ ด้านในเป็นที่วางแก้วน้ำหรือขวดเครื่องเทศต่างๆได้ เวลาหยิบใช้งานจึงค่อนข้างสะดวกมากๆครับ ส่วนด้านบนก็เป็นตู้เก็บของที่ Built ให้เต็มความสูงฝ้า ช่วยเพิ่มพื้นที่ใช้สอยแนวตั้งได้ดีเลยทีเดียว

ตู้ด้านล่างก็จะยังมีช่องเก็บของเยอะเหมือนห้องตัวอย่างแรกเลยครับ พร้อมด้วยเตาอบ อ่างล้างจาน และที่แขวนของต่างๆเช่นเดิมด้วยนะ เพียงแต่ว่าเตาไฟฟ้าที่ได้นั้น เราจะได้เพิ่มจาก 2 หัวเป็น 4 หัวแทน และแน่นอนว่าใต้อ่างล้างจานจะติดตั้งเครื่องบดอาหารไว้ให้แล้วด้วยนะ

ส่วนตู้เก็บของด้านบนก็จะสามารถเก็บของได้ค่อนข้างเยอะเหมือนเดิม โดยตู้ทางขวามือจะมีลูกเล่นเล็กน้อยคือ ตู้ครึ่งล่างจะเปิดแบบยกขึ้นด้านบน ส่วนตู้ครึ่งบนจะเปิดแบบบานสวิงค์ปกติครับ ซึ่งวิธีนี้ก็อาจไม่ค่อยเหมาะกับสาวไทยตัวเล็กๆเท่าไหร่นักนะ เพราะเปิด-ปิดได้ยากและค่อนข้างสูงเกินไปสักหน่อย

ส่วนตู้ทางด้านขวาสุด อย่างที่บอกไปในตอนแรกแล้วว่าเราจะได้ทุกอย่างยกเว้นตู้แช่ไวน์ตรงกลางนะครับ โดยเราสามารถทำเป็นตู้หรือชั้นวางของเพิ่มเติมได้ หรืออาจทำเป็นช่องใช้งานอย่างอื่นเช่น วางเครื่องล้างจานได้หรือเปล่า อันนี้ต้องลองสอบถามกับทางโครงการดูอีกทีนะครับว่าจะทำงานระบบมาเพื่อรองรับการ Built in อะไรบ้าง

ต่อจากพื้นที่ห้องครัวและห้องนั่งเล่นคือ พื้นที่โต๊ะทานอาหารที่อยู่ทางด้านขวามือของห้องครับ ซึ่งนอกจากนี้จะมีทางเดินเชื่อมต่อไปยังห้องน้ำและห้องนอนเล็ก 2 ห้องได้อีกด้วย

เริ่มที่โต๊ะทานอาหารกันก่อน อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่าพื้นที่นี้จะเชื่อมต่อกับส่วนนั่งเล่น ทำให้เวลาทานอาหารหรือนั่งทำงานที่โต๊ะไป ก็สามารถดูทีวีไปด้วยได้ แต่ข้อเสียคืออยู่ในมุมที่ไม่ได้รับแสงสว่างและวิวจากระเบียงภายนอก ทำให้พื้นที่ตรงนี้อาจมืดไปสักหน่อยนั่นเองครับ โดยทางโครงการได้วางโต๊ะขนาด 4 ที่นั่งมาให้ดูเป็นตัวอย่าง ซึ่งก็ยังมีพื้นที่ทางเดินด้านข้างเหลืออยู่อีก 1.4 m. ทำให้เรายังพอจะสามารถขยายโต๊ะเพิ่มอีกหน่อยเป็น 6 ที่นั่ง ก็ยังได้ครับ

ติดกับห้องครัวก็จะเป็นห้องน้ำครับ ซึ่งจะมีการแยกพื้นที่ส่วนแห้งกับส่วนเปียกออกจากกันชัดเจนนะ ทั้งนี้เพื่อรองรับการใช้งานของห้องนอนเล็กสุดที่อยู่ห้องข้างๆได้ด้วยนั่นเอง โดยขนาด วัสดุ และฟังก์ชันของห้องนี้จะเหมือนๆกับห้องน้ำของ 1 Bedroom ก่อนหน้านี้เลยครับ สุขภัณฑ์ภายในทั้งหมดก็เป็นของ Kohler เช่นเดิม

ติดกันเป็นห้องนอนเล็กสุด แต่ภายในก็มีพื้นที่กว้างขวางมากพอที่จะอยู่ได้สบายๆ โดยพื้นของห้องนอนทุกห้องก็จะเปลี่ยนเป็นพื้นไม้ Engineering Wood ท็อปผิวไม้โอ๊คเช่นเดิมครับ และอย่างที่บอกไปแล้วว่าถ้าเป็นครอบครัวที่ต้องการห้องนอนแค่ 2 ห้อง ห้องนี้ก็สามารถปรับเปลี่ยนเป็นห้องอเนกประสงค์อย่างอื่นเช่น ห้องทำงานส่วนตัวเพิ่มเติมได้นั่นเองครับ

จากห้องตัวอย่างเราสามารถวางเตียง 5 ฟุตไว้กลางห้อง แล้วยังมีพื้นที่รอบเตียงสามารถใช้งานขึ้น-ลงเตียงได้สะดวกอยู่นะ

ด้านขวาของเตียงมีพื้นที่พอที่จะวางตู้เสื้อผ้าได้ และมีพื้นที่ข้างเตียงเหลืออีกประมาณ 90 cm. สามารถยืนแต่งตัวได้พอดี

ปลายเตียงเป็นผนังทึบ ซึ่งจากห้องตัวอย่างจะมีพื้นที่ปลายเตียงเหลือประมาณ 70 cm. จึงแนะนำให้ติดทีวีแขวนผนังเพื่อจะได้ไม่เกะกะทางเดินนะครับ

ส่วนทางด้านซ้ายของเตียงจะได้เป็นช่องหน้าต่างแบบเต็มผนังสูงจากพื้นถึงฝ้า และมีหน้าต่างบานกระทุ้งให้เปิดระบายอากาศได้แบบนี้เลยครับ โดยกระจกของห้องนอนทุกห้องก็จะยังได้เป็นกระจก Low-E หรือกระจกสะท้อนความร้อนแบบ Double Glazing เช่นเดิม ซึ่งจะต่างจากกระจกตรงระเบียงภายนอกที่ห้องนั่งเล่น ตรงส่วนนั้นจะเป็นกระจกธรรมดานะครับ

ติดกันเป็นห้องนอนที่ 2 ซึ่งภายในจะมีขนาดพื้นที่ที่ใหญ่กว่าห้องนอนเล็กครับ แต่ช่องหน้าต่างที่ได้นั้นจะไม่เต็มผนังเหมือนกับห้องที่แล้วนะครับ เพราะติดเสาตรงหัวมุมนั่นเอง แต่ก็มีขนาดความกว้างพอๆกัน ให้ความรู้สึกโปร่งโล่งได้อยู่นะ

ตรงกลางห้องสามารถใช้เตียงขนาด 5 – 6 ฟุตได้ เพราะยังมีพื้นที่ด้านข้างเหลืออีกค่อนข้างเยอะเลยครับ สามารถวางโต๊ะอเนกประสงค์หรือโต๊ะแต่งหน้าเพิ่มเติมที่ข้างเตียงได้เลยนะ

เริ่มจากทางขวาของเตียง ติดกับประตูทางเข้าจะมีพื้นที่เว้าเข้าไป เหมาะสำหรับ Built ตู้เสื้อผ้าแบบห้องตัวอย่างนี้ได้ครับ

ปลายเตียงเป็นผนังทึบที่สามารถติดทีวีปลายเตียงได้เช่นเคย รวมถึงยังมีห้องน้ำในตัวด้วย แต่มีข้อสังเกตคือ ห้องน้ำห้องนี้จะอยู่คนละฟากกับตู้เสื้อผ้าเลยครับ นั่นหมายความว่า เวลาอาบน้ำเสร็จแล้วจะแต่งตัวก็จะต้องเปิดผ่านเตียงไปก่อนนั่นเอง ซึ่งพื้นที่ใช้งานดูไม่ต่อเนื่องกันเท่าไหร่ แต่ยังดีที่อยู่ในห้องส่วนตัวครับ

ภายในห้องน้ำก็จะยังมีขนาด ฟังก์ชัน และได้สุขภัณฑ์ยี่ห้อ Kohler เหมือนกับห้องอื่นๆที่ผ่านมาเช่นเคย เพียงแต่จุดที่ต่างออกไปของห้องน้ำห้องนี้ คือเรื่องของวัสดุกระเบื้องปูพื้นและผนังครับ จากเดิมที่ห้องอื่นๆจะได้เป็นกระเบื้อง Cotto อิตาเลีย ลายหินอ่อนสีขาวใช้มั๊ยครับ แต่สำหรับห้องนี้จะเป็นห้องเดียวที่เราจะได้เป็นกระเบื้องแกรนิตโต้ลายหินอ่อนธรรมดานะ

ในส่วนของระบบปรับอากาศ ซึ่งห้องนี้ใช้ระบบพัดลมดูดอากาศเหมือนกับห้องอื่นๆ ซึ่งจริงๆแล้วตำแหน่องของห้องอยู่ชิดริมอาคารแบบนี้ น่าจะทำเป็นช่องเปิดได้ โดยปรับตำแหน่งที่วาง Condensing unit กับช่องงานระบบออกไปหน่อย ก็จะได้ช่องเปิด ได้แสงธรรมชาติ และทำให้ระบายอากาศได้ดีขึ้น

ต่อไปเราจะไปดูห้อง Master Bedroom ที่อยู่อีกด้านของห้องนี้กันต่อนะครับ

สำหรับห้อง Master Bedroom นี้จะมีพื้นที่ที่ใหญ่มากๆ เป็นห้องแนวยาวที่พอวางเตียงขนาด King size ไปกลางห้องแล้ว ก็ยังมีพื้นที่ด้านข้างเหลืออยู่อีกเยอะเลยทีเดียว ถ้าแบ่งพื้นที่การใช้งานดีๆ ก็จะสามารถมีพื้นที่อเนกประสงค์ดีๆที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของตัวเองได้เลย

ปลายเตียงเป็นผนังทึบ แน่นอนว่าสามารถติดทีวีแขวนผนังได้  โดยมีพื้นที่ปลายเตียงเหลือกว้างประมาณ 90 cm. ทำให้เดินผ่านได้สะดวก ส่วนทางด้านขวาของเตียงนั้นก็จะได้เป็นช่องแสงขนาดใหญ่เต็มผนังเลยครับ

ซึ่งช่องแสงนี้จะมีความแตกต่างจากห้องอื่นๆตรงขนาดช่องครับ โดยช่องที่อยู่ตรงกลางนั้นจะเห็นได้ชัดว่ามีขนาดใหญ่กว่าช่องจองห้องอื่นๆที่มักจะกว้างแค่ประมาณ 1 m. เท่านั้นครับ แต่สำหรับห้องนี้จะใหญ่พิเศษหน่อย ซึ่งก็ช่วยในเรื่องของมุมมองเวลา take view จะได้ไม่มีเส้นสายจากกรอบหน้าต่างมาบังวิวเรานั่นเองครับ

ส่วนพื้นที่ข้างเตียงมีเหลือเฟือเลยนะ จากห้องตัวอย่างจะกว้างประมาณ 1.8 m.  สามารถวางชุดโซฟา หรือโต๊ะนั่งทำงานอ่านหนังสือแบบจริงจัง และ take view ภายนอกไปในตัวได้ครับ

ส่วนทางด้านซ้ายของเตียงจะเป็นพื้นที่แต่งตัวและห้องน้ำนะ

ซึ่งพื้นที่ส่วนนี้จริงๆแล้วเราจะได้เป็นพื้นที่โล่งๆ เพียงแต่ทางโครงการ Built กั้นเป็น Walk in closet มาให้ดูเป็นตัวอย่าง ซึ่งก็จะทำให้ห้องดูเป็นสัดส่วนเพิ่มมากขึ้น รวมถึงเรายังสามารถปิดประตูกระจกบานเลื่อน เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้ความชื้นจากห้องน้ำไหลเข้ามาในห้องนอนได้อีกชั้นหนึ่งด้วย ซึ่งหากเราทำตู้เสื้อผ้าเอาไว้ 2 ฝั่งแบบห้องตัวอย่างแล้ว ก็จะยังมีพื้นที่ยืนแต่งตัวตรงกลางเหลืออยู่ประมาณ 2.4 m. สามารถใช้งานและยืนแต่งตัวพร้อมกัน 2 คนได้สบายๆ ส่วนพื้นที่ติดกับเตียงนอนจะเหลืออยู่ประมาณ 1.4 m. สามารถทำเป็นโต๊ะเครื่องแป้งเพิ่มเติมได้ครับ

สำหรับห้องน้ำ Master จะพิเศษกว่าห้องอื่นๆที่ผ่านมาครับ คือจะค่อนข้างกว้างขวางมาก และมีการแบ่งพื้นที่ที่ต่างออกไป โดยจะมีอ่างอาบน้ำเพิ่มเข้ามา ส่วนโถสุขภัณฑ์ก็จะมีฉากกั้นแยกออกไปเป็นของตัวเองอย่างสัดส่วนครับ

เริ่มจากพื้นที่ส่วนแห้งก่อน จะมีขนาดใช้งานกว้างประมาณ 1.7 x 1.6 m. สามารถใช้งานได้แบบสบายๆเลยครับ

ทางด้านซ้ายมือเป็นเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้า ซึ่งเราจะยังได้วัสดุและยี่ห้อสุขภัณฑ์ต่างๆเหมือนเดิม ที่เพิ่มเติมมาคือขนาดของเคาน์เตอร์ที่ใหญ่เต็มพื้นที่แบบนี้เลยครับ

อ่างล้างหน้าของ Kohler จะเป็นแบบฝังลงไปในเคาน์เตอร์จนมิดเลย ดูเรียบร้อยมากขึ้น จากเดิมที่ห้องอื่นๆจะเป็นแบบฝังแค่ครึ่งอ่างเท่านั้นครับ ส่วนพื้นที่เคาน์เตอร์ด้านข้างจะกว้างมากถึง 60 cm. สามารถวางของพวกอุปกรณ์แต่งตัวหรือครีมต่างๆได้เยอะเลยครับ รวมถึงกระจกด้านบนและตู้ด้านล่างเองก็จะยังมีพื้นที่เก็บของได้เยอะกว่าเก่าอีกด้วยนะ

ติดกันเป็นโถสุขภัณฑ์แบบอัตโนมัติของ Kohler เช่นเดิมครับ เพียงแต่คราวนี้จะมีฉากกั้นปิดแยกพื้นที่เป็นสัดส่วนมากขึ้น ที่ทำแบบนี้สาเหตุหลักๆคือ ต้องการให้ห้องน้ำห้องนี้สามารถใช้งานพร้อมกัน 2 คนได้นั่นเอง แต่ก็ไม่ได้เหมาะมากนัก เพราะมันเป็นกระจกใสอยู่ดีครับ

รวมถึงจุดที่แปลกอีกอย่างคือประตูกระจกเนี่ยแหละครับ ที่แปลกไม่ใช่การเปิดออกมาด้านนอกแบบนี้นะ (มันถูกแล้ว) เพราะถ้าเปิดเข้าไปด้านในก็จะติดคนเวลาใช้งานโถสุขภัณฑ์แล้วทำให้เปิดไม่ได้ โดยทางโครงการเว้นพื้นที่หน้าโถเอาไว้ให้ใช้งานประมาณ 75 cm. ได้แบบพอดีๆ ส่วนตรงบริเวณประตูเวลาเปิดออกมาด้านนอกประตูจะไปชนกับเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้าพอดี เวลาใช้งานจึงต้องระมัดระวังกันหน่อยนะ

ส่วนอีกด้านเป็นพื้นที่อาบน้ำครับ ภายในก็มีขนาดพื้นที่และฟังก์ชันอื่นๆ เหมือนกับห้องน้ำที่ผ่านๆมาครบ ส่วนประตูกระจกจะมี Stopper ป้องกันการกันกระแทกระหว่างประตูกระจกและผนังกระจกกั้นกลางเอาไว้เรียบร้อยครับ

สุดท้ายคืออ่างอาบน้ำก็จะได้เป็นของ Kohler อีกเช่นกันครับ มีขนาดประมาณ 1.6 x 0.8 m. ลึก 40 cm. สามารถแช่ทั้งตัวได้นะ โดยที่ฝักบัวสามารถดึงออกมาใช้งานได้จากด้านข้างแบบนี้ และยังมีพื้นที่ขอบผนังเหลืออีกประมาณ 18 cm. สามารถใช้วางสบู่หรือครีมอาบน้ำได้ครับ มีข้อแนะนำสำหรับใครที่กลัวว่าถ้าใช้งานอ่างอาบน้ำที่อยู่ด้านนอกแบบนี้ แล้วจะทำให้พื้นที่ส่วนแห้งเปียก เราสามารถแก้ปัญหาได้โดยการติดม่านพลาสติก เพื่อกันน้ำกระเด็นออกมากได้ครับ

ส่วนสวิตซ์และปลั๊กไฟภายในห้องทั้งหมดจะเป็นของ Schneider สี Copper หน้าตาแบบนี้เลยครับ

บรรยากาศห้องตัวอย่างในตึกเสร็จโครงการ Supalai Icon สาทร Update วันที่ 9/5/2024

Image 1/8
บรรยากาศในห้อง 1 Bedroom

บรรยากาศในห้อง 1 Bedroom

Image 1/13
บรรยากาศภายในห้อง 3 Bedrooms

บรรยากาศภายในห้อง 3 Bedrooms

Image 1/15
บรรยากาศภายในห้อง 3 Bedrooms Duplex

บรรยากาศภายในห้อง 3 Bedrooms Duplex

Image 1/22
บรรยากาศภายในห้อง 4 Bedrooms Duplex

บรรยากาศภายในห้อง 4 Bedrooms Duplex

**รายละเอียดของวัสดุต่างๆเช่น ยี่ห้อ และรุ่น ของจริงอาจจะเป็นรุ่นนี้หรือเทียบเท่านะครับ

ราคา

ราคาและเงื่อนไขการขาย @ 19 April 2019

  • ห้อง 1 Bedroom ขนาด 42 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 8.2 ล้านบาท
  • ห้อง 3 Bedrooms ขนาด 115 ตารางเมตร ราคาประมาณ 20 กว่าล้านบาท
  • ห้อง Penthouse ขนาด 970 ตารางเมตร ราคา 280 ล้านบาท

  • รูปแบบการขาย Fully Fitted สำหรับห้องปกติ และแบบ Bare Shell สำหรับห้อง Penthouse
  • ความสูงจากพื้นถึงฝ้าเพดาน 2.85 เมตร
  • Kitchen & Sink / ท็อปหินเทียม
  • Hob & Hood / ของยี่ห้อ Kuppersbusch
  • จอง n/a บาท
  • ทำสัญญา n/a บาท
  • ดาวน์ n/a% ผ่อนดาวน์ n/a งวด
  • ค่ากองทุน n/a บาท/ตร.ม.
  • ค่าส่วนกลาง n/a บาท/ตร.ม./เดือน

**ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ครับ

บทสรุป

ทำเล : โครงการ Supalai Icon สาทร ตั้งอยู่ติดกับถนนสาทรฝั่งใต้ เป็นทำเลสาทรตอนต้นที่สามารถเข้า-ออกเมืองได้สะดวก และถือเป็น CBD ที่สำคัญของกรุงเทพฯ แวดล้อมไปด้วยอาคารสำนักงานใหญ่ๆมากมาย สถานศึกษาชื่อดัง ร้านอาหารระดับ Hi-End ห้างสรรพสินค้า และโรงแรมระดับ 5 ดาว รวมถึงมีสวนสาธารณะขนาดใหญ่ อย่างสวนลุมพินีและสวนพลูอีกด้วย ถือเป็นทำเลที่สะดวกครบครัน รวมถึงยังสามารถใช้ประโยชน์จากซอยถนนสวนพลูที่อยู่ข้างๆ เพื่อลัดออกไปยังถนนเส้นสำคัญต่างๆ เพื่อเลี่ยงรถติดได้อีกครับ

การเดินทางโดยใช้รถ : ค่อนข้างสะดวกและตอบโจทย์คนในเมืองมากครับ โดยถนนสาทรฝั่งใต้นี้จะมีทางลัดจากซอยถนนสวนพลูเพื่อไปออกยังถนนเส้นสำคัญต่างๆ ทั้งถนนพระราม 4, ถนนนราธิวาสราชนครินร์ และถนนพระราม 3 ได้ หรือจะเข้าเมืองไปทางสุขุมวิท สยาม ราชเทวี หรือพญาไท จากถนนเส้นต่างๆ ที่เชื่อมต่อกับถนนพระราม 4 ก็ทำได้ง่ายมากๆ รวมถึงยังมีทางด่วนให้เลือกใช้เพื่อเข้า-ออกเมืองได้ถึง 2 เส้นทางคือ ทางพิเศษฉลองรัช และทางพิเศษศรีรัชครับ ซึ่งจุดที่ใกล้ที่สุดคือทางพิเศษฉลองรัช (ด่านบ่อนไก่) ที่อยู่ห่างจากโครงการไปประมาณ 2.4 km. เท่านั้นเอง ส่วนที่จอดรถของโครงการคาดการณ์ว่าจะมีถึง 100% ครับ

การเดินทางโดยไม่ใช้รถ : นับว่าเป็นทำเลที่มีตัวเลือกในการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าได้ถึง 2 เส้นทาง โดยเส้นทางแรกคือ MRT สถานีลุมพินี ที่จะอยู่ห่างจากโครงการประมาณ 850 m. ยังพอจะเดินได้อยู่ครับถ้าขยันเดิน ส่วนอีกเส้นทางคือ BTS สถานีช่องนนทรี จะอยู่ห่างจากโครงการประมาณ 1.6 – 1.8 m. ทางนี้ต้องใช้รถเพื่อเดินทางต่อหนึ่งก่อนนะ นอกจากนี้ยังมีตัวเลือกอื่นๆอีกเช่น วินมอไซค์ที่มีอยู่ทั้งด้านหน้า MRT และอยู่หน้าเซเว่นหน้าโครงการ รวมถึงยังมีป้ายรถเมล์อยู่ติดกับโครงการอีกด้วยครับ

การออกแบบอาคาร : เนื่องจากว่า ณ วันที่ผมได้เข้าทำรีวิวนั้น ยังไม่มีข้อมูลผังโครงการหรือโมเดลให้เห็นอย่างเป็นทางการ จึงยังไม่มีการวิเคราะห์ในส่วนนี้ว่าจะเป็นอย่างไร  แต่จะพอวิเคราะห์และแสดงความคิดเห็นได้จากภาพ perspective ของโครงการได้คร่าวๆคือ

โครงการนี้ออกแบบให้มีลักษณะกลิ่นอายความเป็นออสเตรเลีย และเป็นโครงการ Mixed-use ที่ประกอบไปด้วยพื้นที่พาณิชยกรรม อาคารสำนักงาน และพื้นที่พักอาศัย มีความสูงถึง 56 ชั้น ซึ่งถือว่าสูงกว่าอาคารเพื่อนบ้านที่อยู่ติดกันเป็นส่วนใหญ่ ห้องชั้นสูงๆ จึงจะ take view ไปได้ค่อนข้างไกล ผังอาคารเท่าที่เห็นจะมีลักษณะเป็นรูปตัว L ซึ่งก็ได้มีการจัดวางทิศทางของผังได้เหมาะสม มีการเลี่ยงการบังวิวในระยะกระชั้นชิดกับอาคารเพื่อนบ้าน ส่วนกลางก็กระจายตัวอยู่ในชั้นต่างๆ และได้ความเป็นส่วนตัวจากตำแหน่งที่อยู่ด้านหลังของอาคารพักอาศัย ซึ่งจะไม่วุ่นวายเท่ากับฝั่งด้านหน้าติดถนนสาทร และถึงแม้ว่าจะไม่มีส่วนกลางที่ชั้นดาดฟ้า แต่ก็มี Sky Lounge ให้ได้ขึ้นไปชมวิวในระยะไกลได้อีกด้วย

การออกแบบห้องพักอาศัย : ถือว่าทำออกมาได้ค่อนข้างดี ห้องพักเน้นพื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่ และมีรูปแบบหรือขนาดให้เลือกค่อนข้างหลากหลาย เริ่มต้นที่ห้อง 1 Bedroom 45 ตารางเมตร เป็นห้องหน้าแคบก็จริง แต่ช่องแสงก็กว้างมากพอที่จะไม่ทำให้บริเวณหน้าห้องมืดจนเกินไป จุดเด่นอยู่ที่ไม่มีระเบียง จึงไม่ต้องเสียพื้นที่ให้กับภายนอกมากนัก แต่จะเน้นพื้นที่ใช้สอยภายในมากกว่า รวมถึงมีห้องเก็บ Condensing unit เรียบร้อยดีอีกด้วย แต่สิ่งที่แปลกหรือยังรู้สึกขัดๆอยู่คือ ห้องครัวที่อยู่ตรงกลางนั้นจะไม่สามารถกั้นเพื่อทำครัวปิดเพื่ออาหารจริงจังได้ รวมถึงลักษณะการเดินมาใช้งานห้องน้ำจากห้องนอน ซึ่งจะต้องเดินผ่านฟังก์ชันอื่นๆมาก่อน ซึ่งอาจไม่สะดวกสำหรับบางคนนะ

ส่วนห้อง 3 Bedrooms 115 ตารางเมตร ห้องนี้กว้างขวางและให้อารมณ์ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้านมากๆ มีความเป็นส่วนตัวจากโถงทางเดินหน้าห้องที่บังสายตาจากคนภายนอกได้ ครัวก็เป็นผนังกระจกทั้ง 2 ด้าน มีความโปร่งโล่งสูง ห้องนอนมีห้องน้ำในตัว และยังได้ระเบียงแบบ 2 ชั้น ที่เป็นฟังก์ชันใหม่ของศุภาลัยเพิ่มเข้ามาเป็นโครงการแรก ทำให้เกิดการเชื่อมต่อพื้นที่ในห้องให้ใหญ่มากขึ้นได้ เพียงแต่ตำแหน่งโต๊ะทานอาหารจะไม่ได้วิวและแสงธรรมชาติ จึงทำให้ของจริงอาจมืดไปสักหน่อย ซึ่งห้องนี้จะเหมาะกับครอบครัวขนาดใหญ่ 3 – 4 คน หรืออาจมีลูกแค่คนเดียวแล้วให้นอนห้องที่สองไป ส่วนที่เหลืออีกห้องก็สามารถปรับแต่งเป็นห้องทำงานก็ได้นะ

วัสดุ : ถือว่าให้มาค่อนข้างคุ้มค่าเมื่อเทียบกับราคา มีระบบ Home Automation, พื้นกระเบื้อง Cotto อิตาเลีย ลายหินอ่อนสีขาว, พื้นในห้องนอนเป็นพื้นไม้ Engineering Wood ท็อปผิวไม้โอ๊ค, แอร์แบบ 4 Way Cassette, สปริงค์เกอร์ดับไฟแบบฝังในฝ้า, เคาน์เตอร์ครัว Smart Kitchen, Top เคาน์เตอร์หินเทียม, หน้าบานตู้ไม้ลามิเนต สีอลูมิเนียม Copper, เตาอบและเตาไฟฟ้าของ Kuppersbusch, อ่างล้างจานของ Franke, กรอบประตูหน้าต่างเป็นอลูมิเนียมสีดำ, กระจกด้านในห้องเป็นในธรรมดา, กระจกด้านนอกหรือในห้องนอนเป็น Low-E แบบ Double Glazing, สุขภัณฑ์ต่างๆในห้องน้ำของ Kohler, โถสุขภัณฑ์แบบอัตโนมัติของ Kohler รุ่น Veil (เวล), ฉากกั้นอาบน้ำกระจกนิรภัย Tempered Glass, Hand Shower & Rain Shower และอ่างอาบน้ำห้อง Kohler สำหรับห้อง Master Bedroom

สาธารณูปโภค : มีค่อนข้างครบและหลากหลาย สวยงามน่าใช้งาน โดยเฉพาะสวนและสระว่ายน้ำ ที่ออกแบบมาโดยต้องการจะสื่อถึงเมืองชายทะเลของออสเตรเลีย มีฟังก์ชันใหม่ที่ไม่เคยมีที่ไหนของศุภาลัยมาก่อนแล้วมาใช้กับที่นี่เป็นที่แรกอย่าง Hydrotherapy ซึ่งนอกนั้นส่วนอื่นๆ จะประกอบไปด้วย EV Charger, Movie Club, Board Room, Fitness, Roof Garden, Boxing, Co-living Space, Table tennis Room, Kid’s Room, Aerobic & Yoga, Playground, Yoga Fly, Mini Climbing Simulation, Sauna & Steam, Group Cycling และ Sky Lounge ชั้น 53, 54 ซึ่งค่อนข้างมีความสำคัญในเรื่องของการชมวิว และยังช่วยเพิ่ม Value ให้กับโครงการอย่างมากเลยครับ

Judgement

เนื่องจากรีวิวฉบับนี้เป็นการพาชมแบบฉบับย่อเท่านั้น จึงยังมีข้อมูลไม่เพียงพอ ทาง Think of Living ขอไม่ให้คะแนนฟันธงในรีวิวเจาะลึกนะครับ

BOTTOM LINE

Supalai ICON Sathorn เหมาะกับคนที่กำลังมองหาคอนโดติดถนนสาทร เป็นโครงการ Mixed-use ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ เน้นพื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่ และได้วัสดุภายในห้องค่อนข้างคุ้มค่าเมื่อเทียบกับราคา มีงบประมาณระดับ 8.2 ล้านบาทขึ้นไป หรือมีกำลังผ่อนประมาณ 57,000 บาท/เดือนขึ้นไป