รีวิวโครงการ
คิด.เรื่อง.อยู่ Ep.80 – รีวิว คอนโด Canapaya Residences
1 มิถุนายน 2014
รีวิวฉบับที่ 555 … ในรอบหลายปีที่ผ่านมา โปรเจคที่อยู่อาศัยระดับ Super Luxury ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ก็มีเกิดขึ้นมาให้พวกเราชมกันอยู่เรื่อยๆนะครับ ก่อนหน้านี้ที่ใกล้เคียงกันใน Segment นี้และทำเลใกล้เคียง ก็จะมี Menam Residences ที่เปิดขายไปปีที่แล้ว และ The Pano ที่พึ่งจะสร้างเสร็จไปไม่กี่ปีมานี้ มาวันนี้ผม Mr.Boom จะขอพาไปดูโปรเจคหรูระดับใกล้เคียงกัน กันอีกสักหนึ่งโปรเจค นั่นคือ Canapaya Residences คอนโด High Rise 57 ชั้น บนที่ดินรวมขนาด 12 ไร่ (เฟสแรก 4 ไร่) หน้าติดถนนพระราม 3 หลังติดแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งทำเลตรงนี้เป็นจุดที่แม่น้ำเจ้าพระยามีความกว้างระดับ 500-600 เมตร จนทำให้โครงการสามารถขออนุญาตสร้างท่าจอดเรือยอร์ชได้ ซึ่งจะเป็นมารีนาอันแรกในกรุงเทพมหานครเลยทีเดียว ไปดูกันว่าโปรเจคระดับ 3 พันล้าน ณ บ้านเลขที่ 888 บนถนนพระราม 3 นี้ จะมีอะไรมาให้พวกเราชมกันบ้าง
Fact @ 4 April 2014
- Canapaya Residences (คณาพญา เรสซิเดนซ์)
- Canapaya Property Co., Ltd.
- SUPER LUXURY CLASS (อ่านรายละเอียดของ Segment คอนโดได้ที่นี่)
- โครงการตั้งอยู่ในเขตบางคอแหลม
- คอนโด High Rise 57 ชั้น 1 อาคาร 224 ยูนิต (เฉพาะเฟส 1 ที่เป็นคอนโดมิเนียม)
- ยูนิตต่อชั้นสูงสุด 7 ยูนิต
- ที่จอดรถประมาณ 320 คัน รวมซ้อนคัน คิดเป็น 140% (Fixed ที่จอดรถ สำหรับห้อง 2-Bedroom ขึ้นไป)
- ที่ดินประมาณ 4-0-51 ไร่ เฉพาะเฟส 1 ที่ดินรวม 2 เฟสประมาณ 12 ไร่
- คาดว่าจะแล้วเสร็จ : ไตรมาศที่ 2 พ.ศ. 2560
- 1 Bedroom 45 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้นประมาณ 7.5 ล้านบาท
- 2 Bedrooms 77-93 ตารางเมตร ราคาประมาณ 13.1 – 16.4 ล้านบาท
- 3 Bedrooms+ 92-147 ตารางเมตร ราคาประมาณ 17 – 33 ล้านบาท
- Penhouses 192-420 ตารางเมตร ราคาประมาณ 50-126 ล้านบาท
- Penthouse ยูนิตพิเศษ 500 ตารางเมตร 5 ห้องนอน Duplex
- ฝ้าเพดานสูง 3.00 เมตรสำหรับห้องปกติ และ 3.50 เมตรสำหรับห้อง Penthouse
- ราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรประมาณ 240,000 บาท (UPDATE: Nov 2015)
- http://www.canapaya.com
- โทร. 02-291-9499
เพียงแค่การกด Like ก็เท่ากับการสนับสนุนข้อมูลเชิงลึกจาก Think of Living แล้วครับ
เจาะลึกเรื่องทำเลที่ตั้ง
พิกัด : 13.688427,100.514162
เราไปดูรายละเอียดของโปรเจคกันทีละส่วนแล้วกันนะครับ เริ่มจากทำเลที่ตั้งกันก่อน
ภาพ: แผนที่โครงการ
ตำแหน่งที่ตั้งของโครงการ Canapaya ตั้งอยู่บนถนนพระราม 3 ครับ ติดถนนใหญ่เลย อยู่ระหว่างถนนเจริญราษฎร์ และ สะพานพระรามเก้า ใกล้ๆกับ สถานีรถบัส BRT ป้ายสะพานพระรามเก้าครับ
การเดินทางโดยใช้รถ
ถนนพระราม 3 นี้จะเป็นถนนที่มีลักษณะเฉพาะตัวสูงครับ โดยจะเป็นถนนที่เลียบขนานไปกับแม่น้ำเจ้าพระยา ตามส่วนโค้งของแม่น้ำเลย ถ้าสังเกตจากในภาพด้านบน ถนนพระราม 3 ก็คือเส้นสีแดงนี้เองครับ ซึ่งจะเป็นถนนที่ยาวพอสมควรทีเดียว และจะมีถนนเส้นอื่นๆมาเชื่อมกับถนนพระราม 3 นี้เป็นระยะๆ ไล่มาตั้งแต่ส่วนที่ติดแม่น้ำด้านทิศตะวันตกของถนนก็จะมี
- ถนนเจริญกรุง เป็นถนนที่ตัดจากพระราม 3 วิ่งขนานแม่นำ้เจ้าพระยา ทะลุไปเรื่อยเลยครับ ไปเจอถนนจันทน์, สาทร, สีลม, สุรวงศ์, สี่พระยา จนไปถึง พระราม 4 แถวๆหัวลำโพง และต่อไปทางเยาวราช เส้นนี้รถติด ถนนแคบ แต่มีประโยชน์สำหรับคน Local เพราะผ่านสถานที่สำคัญๆหลายอย่าง เช่น Asiatique, วัด, โรงแรมหรูริมน้ำ และ โรงเรียนดัง อีกหลายแห่ง
- ถัดมาเป็น ถนนเจริญราษฎร์ เป็นถนนเส้นสั้นๆที่ตัดจากพระราม 3 ไปยังถนนสาทร โดยจะผ่านถนนจันทน์ ถนนเส้นนี้จะมีความสำคัญตรงที่มีจุดขึ้น-ลงทางด่วนถนนจันทน์ด้วย แถมรถไม่ค่อยติด เมื่อเทียบกับเจริญกรุงหรือรัชดา และถ้าจะไปขึ้นสะพานสาทร(ตากสิน)ก็ต้องใช้เส้นนี้แหละ
- ถนนรัชดาภิเษก (สีฟ้า) ซึ่งจะเป็นถนนที่มีทางด่วนและสะพานพระราม 9 อยู่คู่ขนานทางด้านบน ถนนรัชดานี้จะอำนวยความสะดวกให้กับโครงการมาก เพราะจะตัดผ่านถนนหลายเส้น ทั้งถนนสาธุประดิษฐ์, ถนนนราธิวาสฯ, ถนนนางลิ้นจี่, ผ่านถนนเชื้อเพลิง, ห้าแยก ณ ระนอง, แยกคลองเตย วิ่งไปจนถึงอโศกได้ แถมยังผ่านจุดขึ้นลงทางด่วนอีกถึง 3 จุดด้วยกัน คือ ด่านบางโคล่ กับ ด่านสาธุประดิษฐ์ และ ด่านพระราม 3 การเข้าออกถนนเส้นนี้สามารถทำได้หลายทาง แต่ก็เป็นเส้นที่รถติดพอสมควรทีเดียวและที่ถัดจากถนนรัชดามา ก็จะมีถนนใหญ่ๆอีกสองเส้นคือ
- ถนนสาธุประดิษฐ์ ที่ตัดมาจากถนนจันทน์ (จริงๆใกล้ๆกันจะมีถนนยานนาวาหรือสาธุฯตัดใหม่อีกเส้นหนึ่ง) เส้นนี้ส่วนใหญ่จะใช้สำหรับคน Local เป็นหลัก แต่แถวๆแยกสาธุฯตัดถนนจันทน์ ของกินเพียบเลย
- และเส้นสุดท้าย คือ ถนนนราธิวาสราชนครินทร์ ที่ตัดมาจากสาทร โดยจะอยู่ไกลสุดของถนนพระราม 3 ผ่านโค้งเกือกม้าไปแล้ว อันนี้อาจจะไม่ได้ใช้บ่อยนัก เพราะอยู่ค่อนข้างไกลจากโครงการนอกเหนือจากนี้ ยังมี ถนนวงแหวนอุตสาหกรรม (สีส้ม) ที่เป็น “ถนน” พิเศษ ที่ตัดจากถนนพระราม 3 ไปเชื่อมกับสะพานวงแหวนอุตสาหกรรม หรือ สะพานภูมิพล 1-2 เป็นเส้นทางลัด ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ผ่านบางกระเจ้า ไปลงสมุทรปราการได้ และสามารถวิ่งต่อไปยังถนนวงแหวนรอบนอกด้านใต้ ออกนอกเมืองไปได้เลย ถือเป็นเส้นทางพิเศษเฉพาะตัวสำหรับถนนเส้นนี้ ที่สะดวกในการไปสมุทรปราการ แบบที่ by-pass ทุกอย่าง ไม่ต้องไปรถติดบนเส้นสุขุมวิทเลย
การที่ถนนพระราม 3 นี้มีถนนเส้นอื่นๆวิ่งมาชนหลายเส้น ทำให้โครงการจะมีตัวเลือกในการเดินทางค่อนข้างเยอะ สามารถมีทางเลี่ยงทางลัดในการหนีรถติดได้ค่อนข้างดี และถ้าใครวิ่งเส้นพระราม 3 บ่อยๆจะพบว่าเป็นถนนที่รถไม่ค่อยติด เนื่องจากรถจะถูกระบายออกไปทางถนนเส้นอื่นอย่างที่กล่าวมา แต่ส่วนที่รถติดก็มีเหมือนกัน คือช่วงปลายสุดของถนนเส้นนี้ทั้งสองฝั่ง ฝั่งตะวันตกจะติดแถวๆคอสะพานกรุงเทพ ที่รถจะมาจ่อคิวรอขึ้นสะพาน ข้ามไปรัชดาฝั่งท่าพระนั่นแหละครับ และอีกจุดหนึ่งก็จะเป็นฝั่งตะวันออกใกล้ๆกับห้าแยก ณ ระนอง
สำหรับจุดขึ้น-ลงทางด่วนที่อยู่ใกล้โครงการ Canapaya มีอยู่ 3 จุดด้วยกัน นั่นคือ
- ทางด่วนถนนจันทน์ อยู่ใกล้ๆกับสี่แยกถนนเจริญราษฎร์ตัดถนนจันทน์ จุดนี้จะใช้เป็นทางขึ้น สำหรับออกจากบ้านเป็นหลัก วิ่งไปทางแจ้งวัฒนะ, พระราม 9
- ทางด่วนสาธุประดิษฐ์ อยู่บริเวณสี่แยกรัชดาตัดสาธุประดิษฐ์ ใกล้ๆเซ็นทรัลพระราม 3 ใช้เป็นทั้งทางขึ้นและทางลง โดยจะใช้วิ่งไปบางนา, ดินแดง หรือจะแยกไปพระราม 9 ก็ได้ … และถ้ามาจากทางด่วนขั้นที่ 1 จะกลับบ้านก็วิ่งมาลงที่ด่านนี้เหมือนกัน โดยจะเป็นด่านสุดท้ายก่อนจะวิ่งข้ามสะพานพระราม 9 ไปสุขสวัสดิ์, พระราม 2
- ทางด่วนบางโคล่ จุดนี้หลักๆจะใช้เป็นทางลง สำหรับวิ่งขากลับบ้านเป็นหลัก โดยมาจากทางด่วนขั้นที่ 2 … จุดนี้จริงๆแล้วก็มีทางขึ้นเหมือนกัน แต่ถ้ามาจากโครงการ แนะนำว่าไปขึ้นด่านถนนจันทน์จะสะดวกกว่า ไม่ต้องกลับรถ
การเดินทางโดยไม่ใช้รถ
ดูจากลักษณะของทำเลของ Canapaya นี้ตัวโครงการจะเหมาะกับการเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวมากกว่าครับ (และคงเดาไม่ยากว่าคนที่อยู่คอนโดระดับนี้คงจะมีรถกันทุกคน) แต่ถ้าวันไหนเกิดไม่มีรถขึ้นมา จำเป็นต้องเดินทางด้วยอย่างอื่น ก็พอทำได้ครับ โดยที่ดินของโครงการจะอยู่ติดถนนใหญ่พระราม 3 ดังนั้นการเดินออกมาเรียกรถที่ถนนจะค่อนข้างสะดวก เพราะไม่ต้องเดินเข้าไปในซอยลึกๆ
ด้านหน้าโครงการมีจุดจอดรถ Taxi ด้วยครับ ซึ่งอาจจะมีประโยชน์สำหรับคนที่อาจจะไม่ชอบขับรถเอง เดินทางด้วย Taxi บ่อยๆ
จุดจอด Taxi ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ แค่เป็นเลนเว้าเข้ามาให้จอดรถง่ายๆแค่นี้เอง แต่ก็ดีกว่าไม่มีนะ
ที่หน้าโครงการ มีป้ายรถบัส BRT อยู่ครับ เป็นสถานี BRT สะพานพระราม 9 โดยจะอยู่ห่างจากหน้าโครงการไปประมาณ 150 เมตร เดินย้อนไปหน่อย
รถบัส BRT นี้จะเริ่มต้นที่ถนนสาทรที่ BRT สาทร ซึ่งจะเป็นสถานีเชื่อมต่อ BTS ช่องนนทรี วิ่งเส้นนราธิวาสราชนครินทร์ มาเข้าถนนพระราม 3 และวิ่งเลียบถนนพระราม 3 ข้ามสะพานกรุงเทพ ไปสุดที่แยกรัชดาตัดราชพฤกษ์ ที่สถานี BRT ราชพฤกษ์ ครับ (ใกล้ๆเดอะมอลล์ท่าพระ) ซึ่งที่ปลายทางจะเป็น BTS ตลาดพลู การนั่ง BRT จนสุดสาย ไม่ได้มีประโยชน์อะไรครับ เพราะเราสามารถนั่ง BTS แทนได้ ใกล้กว่าด้วย และใช้เวลาเร็วกว่ามาก ถึงจะแพงกว่า 20-30 บาท แต่ BRT มีไว้สำหรับคนที่อาศัยอยู่ในโซนพระราม 3 จริงๆ และเหมาะสำหรับนั่งในระยะทางใกล้ๆมากกว่าครับ
ราคาของรถบัส BRT เริ่มต้นที่ 12 บาทครับ นั่งจากต้นสายไปจนสุดสาย แค่ 20 บาทเอง ถือว่าราคาไม่แพงเลย แต่อาจจะมีข้อเสียตรงที่อาจจะใช้เวลานานสักหน่อย เพราะเป็นการวิ่งเกาะเส้นพระราม 3 และถึงจะมี Bus Lane เป็นของตัวเอง แต่ในบางช่วงบางตอนของถนนก็จะต้องไปรถติดรวมกับรถที่วิ่งอยู่บนถนนปกติด้วยครับ (เช่นบนสะพานกรุงเทพ) ถ้ากำลังรีบก็ไม่ค่อยแนะนำเท่าไหร่ครับ
ป้ายรถเมล์ที่ใกล้ที่สุด อยู่เลยโครงการไปประมาณ 80 เมตรครับ เดินไปหน่อยก็ถึง
วินมอเตอร์ไซค์ มีประจำอยู่ใกล้ๆป้ายรถเมล์ครับ ราคาเท่านี้ครับ เดอะมอลล์ท่าพระ นั่งมอไซค์ไป ราคา 60 บาท แต่ถ้านั่ง BRT ไปราคา 14 บาทเองนะ
สภาพแวดล้อมรอบโครงการ
ถัดมาเราจะไปดูสภาพแวดล้อมรอบโครงการกันครับ ภาพที่เห็นด้านบนนี้คือหน้าตาที่ดิน ที่เป็นที่ตั้งของตัวโครงการครับ หน้ากว้างติดถนนใหญ่ประมาณ 85-90 เมตรครับ (วัดจาก Google Maps) ที่ดินรวมทั้งหมด 12 ไร่ โดยเขาจะแบ่งที่ดินออกเป็น 2 แปลง ทางขวามือ 4 ไร่เป็นที่ดินของ Canapaya เฟสที่ 1 ที่เป็นส่วนของคอนโดมิเนียมที่เราจะพาไปดูกัน ส่วนซ้ายมืออีก 8 ไร่จะเป็น Canapaya เฟสที่ 2 ซึ่งจะเป็นส่วนที่เป็นอาคาร Mixed-Use ประกอบไปด้วย Shopping Mall และ โรงแรมห้าดาว (คาดว่าน่าจะเป็น Hyatt Regency นะครับ แต่ยังไม่คอนเฟิร์มนะ)
ทางเข้าโครงการหน้าตาแบบนี้ครับ ซึ่งหน้าตาทางเข้าอาจจะยังมีการปรับ Landscape เพิ่มเติมได้อีก
บ้านเลขที่ของโครงการ เลขที่ 888 ถนนพระราม 3 ครับ
สภาพหน้าโครงการเป็นแบบนี้
ซอยที่อยู่ติดกับโครงการคือ พระราม 3 ซอย 22/1
ดูจากมุมสูง จะเห็นตัวซอย 22/1 เป็นแบบนี้ ข้างๆซอยมีอาคารสำนักงาน 8 ชั้นอยู่ 1 ตึก ไม่ต้องห่วงเรื่องกลัวจะโดน Block วิวนะครับ เพราะที่พักอาศัยของโครงการ Canapaya เริ่มต้นที่ชั้น 8 และตัวตึกมีระยะ Set-Back ถอยร่นเข้าไปในที่ดินอีก
ในซอย 22/1 นี้จะเป็นทางเข้าของสำนักงานข้างๆครับ
หน้าปากซอย 22/1 มีสะพานลอยอยู่ 1 จุด สามารถเดินข้ามไปฝั่งตรงข้ามได้ … ถนนพระราม 3 นี้เดินข้ามถนนไม่ได้นะครับ เพราะเป็นถนน 8 เลน นอกจากจะอันตรายแล้ว ตรงกลางถนนยังถูกคั่นด้วยคลองด้วยครับ ต้องพึ่งสะพานลอยเท่านั้น
ถัดจากอาคารสำนักงานเมื่อกี๊ จะมีอู่รถยนต์อยู่จุดนึง
ถัดมาเป็นซอยวัดบางโคล่ครับ ซึ่งก็คือ พระราม 3 ซอย 22 นั่นเอง ด้านในซอยก็จะเป็นที่ตั้งของ วัดบางโคล่นอก
มีป้ายซอยแปะอยู่ด้านหน้า
ด้านหน้าซอยมีป้ายรถเมล์อย่างที่บอกไปตอนต้น
ริมถนนโซนนี้ก็จะเป็นลักษณะตึกแถวเรียงๆกันไปแบบนี้ ส่วนใหญ่เป็นลักษณะ Home Office ครับ ไม่ค่อยคึกคักเท่าไหร่ ไม่ค่อยมีของกินขาย ไม่มีตลาด เดิมทีตรงใกล้ๆโครงการจะมี 108 Shop อยู่สาขาหนึ่ง แต่ปัจจุบันตอนที่ไปสำรวจทำเล ก็หายไปแล้วครับ
สภาพถนนพระราม 3 ฝั่งมุ่งหน้าไปทางสะพานกรุงเทพ ก็จะประมาณนี้ครับ
เราเดินย้อนกลับไปอีกทางหนึ่งบ้าง
เดินย้อนทางเข้าโครงการมา ก็จะเจอกับที่ดินส่วนของเฟส 2 ที่กั้นแยกเอาไว้นะครับ ตั้งรั้วสูง ติดป้ายโฆษณาโครงการใหญ่โตเลย
ถัดจากที่ดินโครงการมาก็จะเจอกับเวิ้งอาคารสำนักงานเตี้ยๆอีก 3-4 ตึกเรียงๆกัน
ด้านหน้าสำนักงานเหล่านี้ จะมีป้าย BRT สถานีสะพานพระราม 9 ตั้งอยู่ด้านหน้าครับ ห่างจากโครงการประมาณ 150 เมตร
ติดกับสถานี BRT เป็นอาคารของโชว์รูม Benz พระราม 3 (มีทั้ง 2 ฝั่งถนนเลยครับ เบนซ์เจ้านี้ใหญ่มาก)
เป็นโชว์รูมเบนซ์ที่ใหญ่และจริงจังมากๆ ถ้าใครขับเบนซ์แล้วพักอยู่ที่คณาพญานี่คือ เอารถมาเข้าอู่ แล้วเดินมารับรถได้เลย
ข้างๆโชว์รูมเบนซ์ จะมีซอยเล็กๆอีกหนึ่งซอย คือ พระราม 3 ซอย 24
สุดซอยเป็นทางเข้าของ Riverside Villa ที่เป็นคอนโด High Rise ริมน้ำ มีอายุพอสมควร ที่ดินของโครงการนี้เข้าไปบานอยู่ข้างใน ติดแม่น้ำด้วย มีอยู่ 2 ตึก อยู่ข้างๆโครงการของเรานี่เอง (มีโอกาส Block วิวแม่น้ำของโครงการด้วย เดี๋ยวจะเอา Mapsให้ดูนะครับ)
และนี่ก็คือถนนพระราม 3 มุมมองจากบนสะพานลอย อีกฝั่งหนึ่ง
ตึกที่กำลังก่อสร้างอยู่นี้คือ StarView คอนโดของ Eastern Star ที่เราเคยไปรีวิวกันมาก่อนหน้านี้แล้ว กำลังก่อสร้างอยู่
ที่จะให้ดูจริงๆคือ ใกล้ๆกับ StarView จะมีปั๊มบางจากอยู่ ซึ่งในปั๊มมี mini Big-C อยู่ด้วย สามารถขับรถไปซื้อของได้ อยู่เยื้องๆกับโครงการ
ในแง่ของความอุดมสมบูรณ์ แนะนำให้เราดูภาพใหญ่ขึ้นมาหน่อย เพราะรอบๆโครงการไม่ค่อยมีร้านค้าหรือร้านอาหารเลย ต้องอาศัยการขับรถออกไป ในรัศมีประมาณ 5 กิโลเมตร ถ้าเป็นห้างสรรพสินค้า ก็จะมี เซ็นทรัลพระราม 3 อยู่บนถนนรัชดา ใกล้ๆสาธุประดิษฐ์ครับ และ เดอะมอลล์ท่าพระ อยู่ฝั่งธน ข้ามสะพานกรุงเทพไปแล้ว … ส่วนพวก Community Mall ก็จะมีอยู่บนถนนพระราม 3 เช่น “INT” ที่เป็นคอมฯมอลล์ (คล้ายๆคอมฯแอร์ :P) เปิดใหม่ มีร้านค้า ร้านอาหาร ร้านกาแฟ Starbucks ให้ช้อป+ชิม กันได้บ้าง (อยู่ระหว่างสำนักงานใหญ่ธนาคารกรุงศรีฯ กับตึก SV City ที่มีร้านอาหารบัวครับ) แล้วก็จะมี “Bangkok Square” ที่เป็นศูนย์การค้าอยู่ติดกับวัดปริวาส อันนี้จะบอกว่าเป็น Mall ก็ฟังดูแปลกๆ เพราะมาเดิน Shopping ไม่ได้ ส่วนใหญ่เป็นร้านค้า+สำนักงานที่ค่อนข้างเฉพาะเจาะจงหน่อย แต่ด้านในนี้ก็มีร้านอาหารริมน้ำอยู่ อาจจะใช้เป็นที่พึ่งพิงได้บ้าง … และสุดท้ายคือ Asiatique the Riverfront อันนี้ไม่บอกก็คงจะรู้ว่าเป็นอะไรนะครับ เพราะเป็นศูนย์การค้าริมน้ำ สำหรับ กิน+ดื่ม+ช้อป (+เที่ยว+ถ่ายรูป+นั่งชิงช้าสวรรค์) ชื่อดังของไทยอยู่แล้ว รวมๆสถานที่ทั้งหมดที่กล่าวมาก็อาจจะมีอีกนะครับ แต่ขอยกตัวอย่างไว้เท่านี้ละกัน และยังไม่รวมร้านอาหารเล็กๆน้อยๆ บนถนนจันทน์, สาธุฯ, ถนนตก, เจริญกรุงอีกเพียบ ก็จะเห็นว่าในระยะขับรถจะมีความอุดมสมบูรณ์ค่อนข้างโอเคเลยครับ
ที่ดินของโครงการ
ส่วนต่อไปเราไปดูที่ดินเลขที่ 888 ถนนพระราม 3 กันครับว่า เค้ามีอะไรเด็ดๆมาขายเราบ้าง
เริ่มจากมาดูแผนผังที่ดินของโครงการก่อนครับ ที่ดินรวมของโครงการมีขนาด 12 ไร่ ทิศเหนือติดถนนใหญ่พระราม 3 ทิศใต้ติดแม่น้ำเจ้าพระยา โดยลักษณะกายภาพของที่ดินจะมีคลองสาธารณะอยู่ 2 จุด จุดแรกจะเป็นคลองเล็กๆอยู่ทางทิศตะวันตกสุดของโครงการ กั้นระหว่างที่ดินของโครงการกับที่ดินข้างๆ จุดที่สองจะเป็นคลองที่ใหญ่กว่าและจะพาดผ่านกลางที่ดินรวมของโครงการ คลองทั้งสองเส้นนี้เป็นคลองที่ถูกใช้งานอยู่ตลอดเวลาเพื่อดึงน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาเข้าไปในเมือง มีประตูระบายน้ำกั้นเพื่อเปิด-ปิดควบคุมระดับน้ำ
คลองที่ตัดผ่านตรงกลางจะแบ่งที่ดินออกเป็นสองส่วน เค้าก็เลยแบ่งโครงการออกเป็นสองเฟสเลยตามลักษณะที่ดิน ด้านทิศตะวันตกจะเป็นส่วนของคอนโดมิเนียม (4 ไร่) และ ทิศตะวันออกจะเป็นส่วนของอาคาร Mixed-Use (8 ไร่) ซึ่งสาเหตุที่โครงการนี้ชื่อว่า คณาพญา (Canapaya) ก็มีที่มาจากคำว่า Canal (คลอง) + เจ้าพระยา (Chao Praya) นั่นเองครับ
ถ้าลองเอาแผนผัง Master Plan มาเทียบกับตัวที่ดินจริง จะได้ประมาณนี้ครับ (บอกก่อนนะว่าไม่เป๊ะๆ แค่ลองเทียบดูเฉยๆ) ส่วนของคอนโดมิเนียมจะอยู่ตรงกลางของที่ดินของเฟส 1 (ส่วนที่ผมวงสีเหลืองเอาไว้) ทางใต้ของคอนโดจะเป็นส่วน Club House ที่อยู่ติดแม่น้ำเจ้าพระยา
ทางทิศตะวันตกของโครงการจะมีอาคารสำนักงานสูง 8 ชั้น อยู่ 2 ตึก ติดกับที่ดินของโครงการ เป็นของสำนักงานข้างๆ ซึ่งทางโครงการก็ได้ระวังเรื่องนี้เอาไว้ จึงวางตำแหน่ง Condo ให้หลบกันครับ และให้ห้องพักอาศัยชั้นแรก เริ่มต้นที่ชั้น 8 เพื่อไม่ให้เกิดการ Block วิวกันเกิดขึ้น และเพื่อไม่ให้ตัวคอนโดอยู่ชิดกับตึกข้างๆเกินไป
ส่วนของที่ดินเฟส 2 จะเป็นอาคาร Mixed-Use เรียกว่า “Canapaya Riverfront” ที่ประกอบด้วยห้างสรรพสินค้าด้านล่าง 4 ชั้น (แต่ในแต่ละชั้นจะมีระยะค่อนข้างสูงนะ ไม่ได้เท่ากับ 4 ชั้นแบบคอนโด) และมีโรงแรมเป็น Tower สูงขึ้นมาอยู่ด้านบนอีกประมาณ 20-30 ชั้น++ (ประมาณเอาจากโมเดลนะครับ) โดยตัวตึกสูงของโรงแรมจะถูกวางให้เหลื่อมๆกับตัวคอนโดด้วย ด้วยเหตุผลเดียวกัน คือไม่ให้บังวิวกันเอง
ทางทิศตะวันออก (เฉียงใต้นิดๆ) ของโครงการที่อยู่ติดกับส่วน Plaza จะมีอาคารคอนโด High Rise สูงประมาณ 20 กว่าชั้นอีกตึกหนึ่ง ตึกนี้มีระยะห่างจากคอนโดพอสมควร แต่อยู่ในตำแหน่งที่อาจจะบังวิวสะพานพระราม 9 ไปบ้าง สำหรับห้องทิศตะวันออกเฉียงใต้ที่อยู่ไม่สูงมาก
Master Plan แบบชัดๆ
พักเรื่อง Plan เอาไว้แค่นี้ก่อน ลองเดินเข้าไปดูในที่ดินของโครงการ Canapaya บ้าง ว่าสภาพแวดล้อมที่มองจากภายในจะเป็นอย่างไร
ทางเข้าโครงการ มีป้อมรปภ.เฝ้าอยู่ตรงนี้หนึ่งจุด อันนี้น่าจะเป็นป้อมชั่วคราวนะครับ
ด้านหน้ามีการจัด Landscape เอาไว้ส่วนหนึ่ง
เข้ามาในโครงการปุ๊บจะเจอถนนริมรั้วโครงการแบบนี้ครับ มองไปทางขวาจะเห็นอาคารสำนักงาน 8 ชั้นตึกหนึ่งที่บอกไว้ใน Plan ข้างบนนะครับ ส่วนทางด้านซ้ายที่ล้อมรั้วอยู่นี้จะเป็นจุดที่ขึ้นอาคารของโครงการ
ระหว่างที่ดินของโครงการ กับที่ดินข้างๆ จะมีลำคลองเล็กๆอยู่เส้นหนึ่งครับที่ตอนนี้เขาปลูกรั้วต้นไม้บังสายตาเอาไว้ เป็นคลองที่ยังมีการใช้งานอยู่ตลอด เพราะเป็นคลองที่ส่งน้ำจากแม่น้ำเข้าไปในเมืองครับ
ถ้าไม่ได้สังเกตจริงๆก็จะไม่เห็นหรอกครับ เพราะมันเล็ก จะมีส่วนปลายๆก่อนที่จะไหลออกแม่น้ำ จะบานออกหน่อย เท่าที่ผมไปเดินดูไม่มีกลิ่นอะไรพิศดาร เพราะน้ำจากลำคลองเป็นน้ำเดียวกันกับแม่น้ำเจ้าพระยา ถ้าดูจากในรูปจะเห็นทางเดินเล็กๆ(มากๆ)เลียบคลอง ซึ่งเอาไว้เดินออกไป Maintenance ตัวประตูระบายน้ำครับ เป็นทางเดิน “สาธารณะ” นะครับ คือไม่ใช่ของที่ดินของใคร
และนี่คือประตูระบายน้ำครับ อันนี้มาหลบอยู่ด้านข้างของอาคารสำนักงานขาย ถ้าไม่ชะเง้อลงไปดู (แบบที่ผมสาระแนถ่ายรูปให้ดูนี้) ก็มองไม่เห็นหรอกครับ เพราะเขาวางรั้วต้นไม้หนาๆบังตาเอาไว้ แถมหลบอยู่ตรงมุม สุดขอบที่ดินอีกต่างหาก (แต่ถ่ายรูปมาให้ดู กลัวว่าจะมีคนหาว่ารู้แล้วไม่บอก) ตัวประตูนี้จะมีเจ้าหน้าที่จากรัฐมาดูแลบางครั้งบางคราวครับ ซึ่งด้วยความที่เป็นทางสาธารณะ แต่ดันเป็นที่ตาบอด ก็เลยต้องอาศัยทางเข้าจากที่ดินของเอกชน คือ เข้าจากทางที่ดินของเรา หรือไม่ก็เข้าไปจากที่ดินข้างๆเนี่ยแหละ ช่วยกันดูแลคนละครึ่ง
ในระดับสายตาด้านล่าง เขาก็ปลูกรั้วต้นไม้มาบังสายตาเราจากลำคลองนี้อยู่แล้ว ถือว่าดีครับ เพราะก็ช่วยพัฒนาทัศนียภาพรอบๆให้ดูดีขึ้น ไม่งั้นบางคนเห็นคลองอาจจะไม่สบายใจ
เข้ามาถึงส่วนลึกสุดของที่ดิน เราก็จะเจออาคารสำนักงานขายของโครงการครับ ซึ่งในอนาคตอาคารหลังนี้จะถูกใช้เป็น Club House ของโครงการด้วยครับ ก่อนที่เราจะเข้าไปดูข้างใน เราไปเดินดูที่ดินของโครงการกันซักหน่อย
ดูจากภาพในมุมสูงจะเห็นภาพรวมของที่ดินเป็นลักษณะนี้ครับ อันนี้ผมหันหน้าไปทางทิศเหนือ คือ ทางถนนพระราม 3 ทางซ้ายเป็นที่ดินของคอนโด ส่วนทางขวาเป็นที่ดินส่วน Plaza และโรงแรมครับ
รูปนี้ให้ดูที่ดินส่วนของเฟส 2 แบบเต็มๆ ระหว่างเฟส 1-2 มีลำคลองอีกสายหนึ่งคั่นกลางนะครับ
มองไปทางทิศตะวันออก เราจะเห็นคอนโดสูงประมาณ 20 กว่าชั้นตั้งอยู่ด้านข้าง ติดกับที่ดินเราเลยครับ ซึ่งถ้าดูจากตำแหน่งใน Master Plan แล้ว ตึกนี้อาจจะบังวิวของห้องที่อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้บางห้องไปบ้าง แต่ด้วยความที่ระยะห่างระหว่างตึกค่อนข้างไกล ก็จะดีหน่อย ไม่ประชิดเกิน
ถัดมาเป็นส่วนที่ติดแม่น้ำ
วิวฝั่งนี้สวยเลยแหละ ทิศนี้เป็นทิศตะวันออกเฉียงใต้นะครับ
เดินเข้าไปดูในที่ดินที่สำหรับปรับพื้นที่กันอยู่
ตอนนี้ยังไม่ได้เริ่มก่อสร้างอะไร (มี.ค.57)
มองไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ในรูปตึกที่กำลังก่อสร้างอยู่คือคอนโด StarView ครับ เห็นในรูปแบบนี้ แต่ของจริงอยู่ห่างออกไปกิโลนึงได้เลย ส่วนตึกทางขวาก็เป็นคอนโดสูง 20 กว่าชั้นอีกแท่งหนึ่ง
เดินมาดูสภาพลำคลองที่พาดผ่านกลางที่ดิน ที่หลายๆคน Concern
สภาพลำคลองผมถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีเลยนะ ด้วยความที่น้ำในลำคลองนี้เรียกว่าเป็นน้ำเดียวกันกับแม่น้ำเจ้าพระยาเลยก็ได้ ไม่เน่าเสีย และคงจะไม่ได้เน่าเสียเร็วๆนี้แน่ ไม่มีกลิ่นเหม็น แต่เป็นกลิ่นปกติของแม่น้ำ สภาพอาจจะมีเปลี่ยนแปลงบ้าง ช่วงเวลาที่มีฝนตกนะครับ แต่ก็แค่ชั่วคราว
ในอนาคต ตัวโครงการ Canapaya นี้จะมีการปรับ Landscape ส่วนที่เป็นลำคลองเชื่อมระหว่างคอนโดกับ Mall นี้ เพื่อให้เกิดทัศนียภาพที่สวยงามขึ้น ซึ่งถ้าทำได้ตามที่เห็นใน Perspective นี้ก็น่าจะดูโอเคเลย และถ้าดูแลดีๆการมีคลองนี้อาจจะเป็นผลดีเสียอีก ก็ต้องรอดูกันต่อไปครับว่าจะทำออกมาแบบไหน
ลักษณะของตัวลำคลอง จะมีทางเดินเลียบด้านข้าง มีราวกันตกอยู่ก่อนแล้ว
มีประตูระบายน้ำอยู่ที่ปลายสุด (สังเกตดีๆ มีคนนั่งเฝ้าด้วยนะ)
อันนี้ก็คือประตูระบายน้ำครับ คาดว่าโครงการก็น่าจะต้องตกแต่งเพิ่มตรงนี้อีกเหมือนกันแหละ จะเป็นยังไงรอดูกันต่อไป
เรื่องของทำเลโครงการยังไม่จบแค่นี้ เพราะยังมี Highlight เรื่องของแม่น้ำเจ้าพระยาที่อยู่ด้านหลังโครงการอีก แต่เราเข้าไปดูพร้อมๆกับตัวรายละเอียดของโครงการเลยดีกว่า จะเข้าใจและเห็นภาพมากกว่า อยู่ในสำนักงานขาย/Club House ของโครงการนี่แหละครับ
เจาะลึกตัวโครงการ
อาคารที่เป็นสำนักงานขายของโครงการ ในอนาคตจะถูกใช้เป็นอาคาร Club House ที่จะเป็นศูนย์รวม Facilities ต่างๆของโครงการไว้ที่นี่ครับ ประกอบด้วย สระว่ายน้ำ, ห้องสมุด และ Lounge ที่อยู่ชั้นล่าง และ ห้องฟิตเนส, ห้องเอนกประสงค์ อยู่ที่ชั้นบน คงต้องบอกว่าน่าจะมีการ Renovate กันอีกครั้งก่อนที่จะเปิดให้ลูกบ้านเข้าอยู่จริงครับ ไม่งั้นกว่าตึกจะสร้างเสร็จ อาคารหลังนี้อาจจะโทรมไปซะก่อน เพราะยังไงทางโครงการต้องรื้อห้องตัวอย่างอยู่แล้ว 🙂
ด้านหน้าก่อนเดินเข้าตัวอาคารจะเจอสระว่ายน้ำที่ยาวมาจากทางด้านหลังอาคาร
เดินเข้ามาดูในสำนักงานขาย ข้างในตกแต่งจัดเต็มมาก เน้นใช้สีทอง Pink Gold เป็นหลัก วางหลังคากระจกดำ
ด้านหน้าทางเข้า วางกล่องโมเดลเอาไว้ และมีชั้นวางทีวี แปะบนหินอ่อน … จะบอกว่าโซนนี้เดี๋ยวจะรื้อออกตอนตึกเสร็จนะครับ ไม่เก็บไว้ …
มีโซนที่นั่งสำหรับปิดการขาย และใช้เป็นสำนักงาน “ชั่วคราว”
แบ่ง Space ออกเป็นหลายๆ Party ครับ อันนี้แต่งให้ดูเป็นแนวทางเฉยๆนะครับ เดี๋ยวของจริงมีเปลี่ยนอีก
ตรงกลางนี้ทำเป็นสำนักงานขายอยู่ ก็จะวางโต๊ะ เก้าอี้ไว้รับแขก ในอนาคตจะกลายเป็น Lounge+Library สำหรับลูกบ้านมานั่งพักผ่อน อ่านหนังสือ เล่นอินเตอร์เน็ต ฯลฯ
โซนนี้จะเป็นโซนนั่งรับวิวแม่นำ้
ขึ้นมาชั้น 2 ตอนนี้ทำเป็นห้องตัวอย่าง แต่ตอนนี้ยังไม่เข้าไป
โถงทางเดินบนชั้น 2
ทางเดินเข้าห้องต่างๆ
ขึ้นมาชั้น 3 มีหน้าต่างช่องแสงขนาดใหญ่อยู่ที่โถงบันได
ขึ้นมาชั้น 3 จะเปิดออกมาเป็น Sun Deck ด้านนอก ในอนาคตพื้นที่ชั้น 3 ตรงนี้ยังไม่ได้สรุปครับว่าจะเอาไว้ทำอะไร
วางโต๊ะเก้าอี้หวายเอาไว้ Hint ว่าเอาไว้นั่งพักผ่อนได้
ด้านหลังเป็นส่วน Riverfront Deck สำหรับนั่งพักผ่อนรับวิวแม่น้ำเจ้าพระยา
มองลงไปด้านล่างเห็นสระว่ายน้ำ
และส่วนของท่าจอดเรือที่ยื่นออกไปในแม่นำ้
ลงมาดูด้านล่างเลย นี่คือสระว่ายน้ำของ Club House ที่อยู่ขนานแม่น้ำ
มุมมองจากสระว่ายน้ำมองไปที่คลับเฮาส์
สระน้ำจะยาวไปจนถึงด้านหน้า สำหรับคนที่อยากออกกำลังกายอย่างจริงจัง
พื้นที่ด้านข้างสระวางชุดโต๊ะเก้าอี้ และ Daybed เอาไว้ ใช้สินค้า Designer ทั้งหมด
นั่งริมสระ ชมวิวสระน้ำและแม่น้ำไปพร้อมๆกันได้
ด้านข้างสระอีกฝั่งหนึ่งก็จะวางชุดนั่งเล่นแบบ Outdoor เอาไว้อย่างนี้ ถ้ามากันเป็นกลุ่ม จะจัดเป็น Pool Party ก็ได้ รองรับการใช้งานได้หลายแบบ ซึ่งการจัดเฟอร์นิเจอร์ตรงนี้ก็ยังไม่ได้ Final นะครับ คงจะมีเปลี่ยนแปลงหลังตึกเสร็จอีกทีแน่ๆ
ทางเดินลงไปยังท่าเรืออยู่ด้านนี้
ท่าเรืออันนี้ยังเป็นแบบชั่วคราวอยู่นะครับ เพราะกระบวนการขออนุญาตสร้างท่าจอดเรือยอร์ชยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ได้แบบชั่วคราวมาแล้ว แต่ยังไม่ได้แบบถาวร ตอนนี้เค้าก็เลยสร้างให้ดูเป็นไอเดียก่อน
ตอนแรกจะเป็นทางเดินคอนกรีต ต่อมาจะเป็นท่าแบบลอยน้ำ สำหรับใช้ชั่วคราว เพราะเดี๋ยวจะมีการต่อเติมยื่นลงไปในแม่น้ำอีก และจะมีอีกชุดหนึ่งอยู่ที่ฝั่ง Plaza รวมเบ็ดเสร็จในอนาคตวางไว้ว่าจะให้จอดเรือได้สูงสุดประมาณ 30 ลำ
ส่วนนี่ทางทิศตะวันตก คอนโดที่เห็นนั่นจะอยู่ไกลออกไปพอสมควร
ฝั่งตะวันตกไกลๆนี้ จะมีวัดบางโคล่อยู่ครับ อยู่ห่างออกไปจากที่ดินโครงการพอสมควร แต่อาจจะมองเห็นบ้างในห้องชั้นเตี้ยๆ ด้านหลังวัดจะมีโซนที่เป็นชุมชนแออัดอยู่ด้วย ซึ่งจริงๆแล้วคงจะไม่ได้มีผลกับการอยู่อาศัยหรอก แต่อาจจะมีผลในเรื่องของวิวที่จะมองเห็น ทางโครงการก็คิดไว้เหมือนกันที่จะไปปรับปรุงทัศนียภาพของชุมชนตรงนี้ แต่ยังไม่มีแผนออกมาชัดเจน ต้องรอดูกันต่อไปครับ
มองไปทางทิศตะวันออก…จะเห็นสะพานพระราม 9
ถ้าออกมายืนกลางน้ำแบบนี้ จะมองเห็นวิวสะพานพระราม 9 และตึกสำนักงานใหญ่ของธนาคารกสิกรแบบเต็มๆเลย ทางโครงการก็เลยเอาเรือยอร์ชมาจอดโชว์ไว้หนึ่งลำ ลำที่เห็นนี้ถือเป็นเรือขนาดเล็กครับ
แอบเข้าไปดูในเรือซะหน่อย
มีแต่ส่วนนั่งเล่นชมวิวในเรือ แต่ไม่มีห้องนอน
ล่องเรือชมวิว … งานอดิเรกของคนมีตังค์…
ในแต่ละวันก็จะมีเรือลำใหญ่ๆแล่นผ่านมาในช่วงโค้งแม่น้ำบริเวณนี้ครับ เพราะแม่น้ำเจ้าพระยาส่วนนี้ เป็นส่วนที่มีความกว้างค่อนข้างมาก ประมาณ 500-600 เมตร เทียบกับแถวๆเจริญกรุง-เอเชียทีค จะประมาณ 300-400 เมตรเอง ทำให้เป็นส่วนที่มีเรือลำใหญ่แล่นผ่านได้ และสามารถขออนุญาตสร้างท่าจอดเรือของตัวเองได้ครับ
วิวนี้มองไปไกลๆจะเห็นสะพานภูมิพล 1-2 ด้วยนะครับ อยู่เลยสะพานพระราม 9 ไปไกลๆหน่อย
Project Details
มาดูรายละเอียดของโครงการกันบ้างครับ ตัวอาคารคอนโดมิเนียมของ Canapaya Residences นี้ จะเป็นอาคารสูง 57 ชั้นครับ ซึ่งก็ถือว่าสูงพอสมควรเลย แม้ว่าจะเทียบกับคอนโดระดับ Super Luxury ด้วยกันก็ตาม มีจำนวนห้องพักทั้งหมด 224 ยูนิต ซึ่งน้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนชั้นกว่า 50 ชั้น และมีจำนวนยูนิตต่อชั้นสูงสุดอยู่ที่ 7 ห้องเท่านั้น ยิ่งชั้นบนๆนี่เหลือแค่ 1-3 ยูนิตเท่านั้นเอง
การแบ่งชั้นของคอนโด จะมีส่วนจอดรถอยู่ที่ชั้น 1-6 และมี Lobby แบบ Triple Volume ด้านหน้า ขึ้นมาที่ชั้น 7 จะมีส่วนที่เป็น Lobby Lounge นั่งพักผ่อน และจะอยู่คั่นระหว่างชั้นจอดรถกับชั้นพักอาศัย ซึ่งเริ่มต้นที่ชั้น 8 ไปจนถึงชั้น 49 ครับ และที่ชั้น 50 จะมีคั่นด้วย Sky Pool อีกทีหนึ่ง เป็นชั้นสระว่ายน้ำรับวิว ก่อนที่จะเป็นโซน Penthouse ที่อยู่ชั้น 51-57 ครับ
ส่วน Facilities อื่นๆของโครงการจะตั้งอยู่แยกออกไป ไปอยู่ที่ Club House ครับ และจะอยู่ใกล้แม่น้ำและท่าเรือ ข้อดีของการที่เอา Club House แยกไว้ ก็คือแยกการใช้งานสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆออกจากส่วนพักอาศัย จะได้ไม่วุ่นวายครับ ทุกคนเท่าเทียมกัน ลงมาใช้ตรงนี้ทั้งหมด และพออยู่ใกล้แม่น้ำ ก็จะทำให้ได้บรรยากาศของการพักอาศัยริมน้ำที่ดีกว่าด้วย ถ้าเกิดจะจัด Private Party ก็อาจจะขออนุญาตนิติบุคคล ปิด Zone แยกไปเลยก็มีสิทธิ์ที่จะทำได้ แต่ข้อเสียของมันคือ จะไม่ได้เห็นวิวสวยๆ เท่ากับการเอา Facilities ขึ้นไปอยู่บนชั้นสูงๆของคอนโดครับ
ดูจาก Unit Matrix ก็จะเห็น Layout การวางฟังก์ชั่นของตึกในแนวดิ่งครับ ชั้นล่างๆที่เป็นสีเทาจะเป็นที่จอดรถ จะเห็นว่าชั้น 7 ที่เป็น Lounge จะมีการยกตัวชั้นให้สูงกว่าเพื่อน เพื่อดันฝ้าเพดานให้สูงกว่าปกติครับ ห้องพักอาศัยจะแบ่งสีให้ดู สีฟ้าเป็นแบบ One-Bed ซึ่งดูจากผังจะอยู่ฝั่งทิศเหนือทั้งหมด จะไม่ค่อยได้วิวแม่น้ำนะครับ ถ้าอยากได้วิวแม่น้ำต้องเป็นห้อง 2-Bed (สีเทาเข้ม) หรือห้อง 3-bed (สี Turquoise) ครับ ส่วนห้องแบบ Penthouse จะอยู่เลยชั้น Sky Pool ขึ้นไปเป็นสีน้ำตาลอยู่ทางด้านบน
จะมีจุดสังเกตอีกอย่างหนึ่งคือ ที่ชั้น 8 และชั้น 29 จะมีส่วนที่เป็น Pocket Garden ด้วยครับ ซึ่งเหนือพื้นที่ของ Pocket Garden จะถูกเปิดออก เป็นช่องว่าง (Void) และไม่มีห้องพักอาศัยอยู่เหนือจากนั้นขึ้นไปประมาณ 10 ชั้น ประโยชน์เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับตัวอาคาร และเปิดเป็นพื้นที่รับแสงธรรมชาติด้วยครับ
ด้านหน้าทางเข้าโครงการ ฝั่งที่ติดกับถนนพระราม 3 ก็จะแบ่งเป็น 2 ส่วนครับ ส่วนของ Riverfront ที่เป็น Mall&Hotel จะแยกจากส่วน Residences อย่างชัดเจน รถที่ขับมาที่ Riverfront จะได้แยกไปจอดส่วนหนึ่ง รถของ Residences ก็จะได้ขับเข้ามาอีกทาง มี Privacy ที่ดีกว่าการใช้ทางเข้าร่วมกัน
ภาพกราฟฟิก จำลองบรรยากาศ จุด Drop-off Area
ภาพกราฟฟิก จำลองบรรยากาศ ส่วน Entrance ของฝั่ง Riverfront
บรรยากาศจำลอง Lobby ของโครงการ ที่เปิดเพดานสูงแบบ Triple Volume
ทำ Lobby แบบ Semi-Outdoor ให้ลมพัดผ่านได้ เพราะอยู่ใกล้แม่น้ำ
มาดูด้านหลัง ฝั่งที่ติดแม่น้ำ ดูจากโมเดลก็จะเป็นลักษณะนี้
Club House, สระว่ายน้ำ และส่วนท่าจอดเรือด้านหลังโครงการ
ภาพจำลอง บรรยากาศ Lounge+Lobby ภายใน Club House ด้านล่าง
ภาพจำลอง ห้อง Fitness ที่ชั้น 2 ของ Club House
ชั้น 50F จะมีส่วนที่เป็นสระว่ายน้ำ Sky Pool ยื่นออกมาแบบนี้
สระข้างบนจริงๆแล้วขนาดไม่ใหญ่มาก เอาไว้สำหรับพาแฟน+เพื่อนมาแช่น้ำผ่อนคลาย รับวิวแม่น้ำเจ้าพระยาจากชั้นบน แต่ถ้าอยากว่ายจริงๆจังๆให้ลงไปใช้ข้างล่าง
ภาพกราฟฟิก จำลองบรรยากาศสระว่ายน้ำชั้น 50
รับวิวแม่น้ำประมาณนี้
ส่วนที่เป็นเฟส 2 ของโครงการ หลักๆก็คือส่วนที่เป็น Mall&Retail ด้านล่าง 4 ชั้น เต็มพื้นที่ของที่ดิน และถัดขึ้นมาเป็นส่วนของโรงแรม ยังไม่ทราบความสูงว่ากี่ชั้นครับ ซึ่งโซนโรงแรมจะแบ่งเป็นสองส่วนอีก คือโซนด้านล่างที่เป็น Event Hall & Ballroom สำหรับจัดงานต่างๆ และโซนที่เป็นห้องพักที่จะอยู่สูงขึ้นไปครับ
การวางตัวของตึกส่วนห้องพักอาศัยนี้ เค้าจะวางให้เหลื่อมๆกัน จะได้ไม่เกิดการ Block วิวกันเกิดขึ้นครับ และตัวตึก Residences จะอยู่ลึกเข้ามาใกล้แม่น้ำมากกว่าก็คิดว่าน่าจะอุ่นใจได้ระดับหนึ่งครับ แต่ทางที่ดีเราเลือกห้องที่อยู่โซนทิศใต้ไปเลย จะปลอดภัยสุดครับ
ภาพจำลองบรรยากาศโซนที่เป็นสวน ฝั่ง Riverfront
โซน Riverfront จะมีท่าเรือแยกไปอีกชุดหนึ่ง และจะมี Retails, ร้านอาหาร ริมน้ำด้วย
ภาพจำลองบรรยากาศริมน้ำ ฝั่ง Retails
บริเวณ Event Hall ของโรงแรมจะมีพื้นที่จัดงานแบบ Out-Door ริมน้ำได้ด้วย
ตัวตึกฝั่งโรงแรมหน้าตาประมาณนี้
ชั้นพักอาศัยของโครงการเริ่มต้นที่ ชั้น 8 ครับ ตัวอาคารถูกวางให้ Facing อยู่ทางด้าน ตะวันตกเฉียงเหนือ-ตะวันออกเฉียงใต้ ครับ การวางผังของโครงการจัดให้มีห้องอยู่ 3 ด้าน คือ ห้องทิศตะวันตกเฉียงเหนือ (1,2,3 และ 7 บางชั้น) ห้องทิศตะวันตกเฉียงใต้ (4) และ ห้องทิศตะวันออกเฉียงใต้ (5,6) โดยแม่น้ำเจ้าพระยาจะโอบล้อมตึกเป็นแนวโค้งอยู่ทางด้านทิศใต้ครับ ห้องของตึกนี้เกือบทุกห้องจะมีมุมที่มองเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยา เพราะแต่ละห้องจะมีส่วนของระเบียงที่ยื่นออกมารับวิวแม่น้ำได้หมด จะมียกเว้นก็เฉพาะห้องเบอร์ 1,2, ชั้นล่างๆเท่านั้น ที่อาจจะมองเห็นแม่น้ำยากหน่อย แต่ถ้าเลยชั้น 20 ขึ้นไปนี่เรียกว่าน่าจะมีมุมที่มองเห็นแม่น้ำได้หมด
ห้องเบอร์ 4 จะเป็นห้องที่อยู่ริมสุดทิศตะวันตกเฉียงใต้ ได้รับวิวแม่น้ำได้ทั้ง 3 ด้าน, ส่วนห้องเบอร์ 6 อยู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือรับวิวได้ 3 ด้านเหมือนกันแต่จะมีวิวแม่น้ำแค่ด้านเดียวครับ เพราะทิศเหนือเป็น City-View และห้องเบอร์ 6 นี้จะมีข้อเสียอยู่จุดหนึ่งตรงที่ประตูทางเข้าจะอยู่ใกล้กับโถงลิฟท์ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรื่องเสียงรบกวน เพราะเขาไม่ได้เอาผนังห้องไปติดกับผนังลิฟท์ แต่หลายๆคนจะกังวลเรื่อง Privacy มากกว่า เพราะประตูทางเข้ามันมองเห็นได้ง่าย, ส่วนห้องเบอร์ 5 จริงๆแล้วเกือบจะไม่เห็นวิวแม่น้ำแล้ว แต่เขาทำระเบียงยื่นออกไปด้านนอก ทำให้รับวิวแม่น้ำจากที่ระเบียงได้ และห้องเบอร์ 1,2,3 ก็จะเป็นลักษณะเดียวกัน ส่วนห้องเบอร์ 7 นี้จะแปลกหน่อยตรงที่ปกติจะเป็นพื้นที่สำหรับ Pocket Garden ในบางชั้น แต่บางชั้นจะมียูนิตพักอาศัยมาแทนครับ
ในเรื่องของความหนาแน่นในการพักอาศัย จำนวนยูนิตสูงสุดต่อชั้นมีแค่ 7 ห้องเท่านั้น จัดว่า Private ดีมากในแต่ละชั้น แต่ก็คืออยู่ในเกณฑ์มาตรฐานของคอนโดระดับ Super Luxury อยู่แล้ว ลิฟท์ที่นี่มีลิฟท์โดยสาร 3 ตัว ใช้ร่วมกัน 221 ยูนิต หารออกมาแล้วได้อัตราส่วนลิฟท์ 74:1 ซึ่งจัดว่าอยู่ในเกณฑ์ที่โอเคเลย แต่อย่าลืมว่านี่คืออาคารสูง 57 ชั้น ต้องบวกระยะเวลารอให้ลิฟท์ขึ้น-ลงนานหน่อยนะครับ แต่ถ้าใครซื้อ Penthouse Duplex ของที่นี่ เขาจะมีลิฟท์ส่วนตัวแยกไว้เฉพาะสำหรับ 3 ยูนิตทิศใต้ ที่อยู่ Top-Floor ตั้งแต่ชั้น 52 เป็นต้นไปครับ ซึ่งจะใช้ลิฟท์ส่วนตัวก็ได้ หรือจะกดลิฟท์ธรรมดาลงมาก็ได้ กรณีที่มีการ Maintenance ครับ ส่วน Service Elevator จะอยู่แยกออกมา ติดกับห้องทิ้งขยะครับ
ที่ชั้น 50 จะเป็นส่วนของ Sky Facilities สำหรับลูกบ้านขึ้นมาใช้งานทางด้านบน หลักๆคือสระว่ายน้ำที่สามารถมองเห็นวิวแม่น้ำจากมุมสูงได้ เป็นสระโค้งรูปครึ่งวงกลม มี Deck อยู่ด้านข้างสำหรับนั่งพักผ่อน และมีเคาน์เตอร์บาร์ มีที่นั่งริมสระ และยังมีส่วนที่เป็น Lounge อยู่ถัดเข้ามาในตัวอาคาร สำหรับนั่งพักผ่อนได้ พื้นที่ตรงนี้อาจจะยังมีการปรับเปลี่ยน Function ให้ใช้ทำอย่างอื่นได้อีกในอนาคตครับ
และที่ชั้นนี้ยังมีอีกหนึ่งยูนิตพิเศษ ที่เป็น Penthouse Duplex 5 ห้องนอน ขนาด 500 ตารางเมตร หนึ่งเดียวในตึก อยู่ที่ชั้นนี้ด้วยครับ ซึ่งจะกินพื้นที่ 2 ชั้น ทั้ง 50 และ 51
ตั้งแต่ชั้น 51 ขึ้นมา คนทั่วๆไปก็จะกดลิฟท์ขึ้นมาไม่ได้แล้ว เพราะเป็นส่วนของชั้น Penthouse
จากชั้น 51 ขึ้นมาจนถึง 57 ก็จะเป็นชั้นยูนิตพิเศษแบบ Penthouse ครับ มีจำนวนแค่ 9 ยูนิตเท่านั้น ซึ่งจะเป็นห้องแบบ Duplex ทั้งหมด อยู่ที่ชั้น 52-53, 54-55 และ 56-57 ครับ โดยห้องที่พิเศษสุดคือห้องแบบ 3-Bed Duplex 420 ตารางเมตร ทางทิศใต้ที่เป็น Riverfront ครับ ซึ่งจะมีลิฟท์ส่วนตัว ส่งตรงถึงห้อง สำหรับ 3 ยูนิตนี้เท่านั้น และจะเป็นยูนิตที่มีสระว่ายน้ำส่วนตัวอยู่ที่ระเบียงด้วย
และอันนี้จะเป็น Plan ชั้น 57 ชั้นบนสุดครับ
วิวจากชั้นต่างๆ (ภาพถ่ายจากทางโครงการ)
วิวทิศตะวันออกเฉียงใต้ ประมาณชั้น 20
วิวทิศตะวันออกเฉียงใต้ ประมาณชั้น 50
วิวทิศใต้ ประมาณชั้น 20
วิวทิศใต้ ประมาณชั้น 50
วิวทิศตะวันตกเฉียงใต้ ประมาณชั้น 20
วิวทิศตะวันตกเฉียงใต้ ประมาณชั้น 50
วิวทิศตะวันตก ประมาณชั้น 20
วิวทิศตะวันตก ประมาณชั้น 50
สรุปสิ่งอำนวยความสะดวก
- Club House ริมน้ำ
- สระว่ายน้ำ 1 สระ ที่ Club House และอีก 1 สระแบบ Sky Pool บนชั้น 50 ของอาคารพักอาศัย
- ห้องออกกำลังกาย 1 ห้องที่ Club House
- Lobby+Lounge ที่ Club House
- Sky Lounge ที่ชั้น 7 ของอาคารพักอาศัย
- Lobby Triple Volume ที่ชั้น 1 ของอาคารพักอาศัย
- ท่าเรือริมน้ำ สำหรับจอดเรือยอร์ช รวมทั้งเฟส 1-2 จอดได้สูงสุด 30 ลำ
- Kid’s Playroom
- Music Room
- Massage & Spa
- WIFI Internet สำในพื้นที่ส่วนกลาง
- สวนหย่อมรอบโครงการ
- ลิฟท์โดยสาร 3 ตัว สำหรับยูนิตทั่วไป และ Private Elevator 1 ตัวสำหรับห้อง Penthouse Duplex รวมเป็น 4 ตัว
- อัตราส่วนลิฟท์โดยสาร 74:1
- Service Elevator 1 ตัว
- ที่จอดรถ 140% รวมจอดซ้อนคัน และ Fixed ที่จอด สำหรับห้อง 2 Bedroom ขึ้นไป
- ระบบลิฟท์ล็อคชั้น (Proxy Elevator)
- ระบบ CCTV / Access Card
Product Walkthrough (1-Bedroom 45 ตารางเมตร)
เรามาเริ่มดูห้องตัวอย่างห้องแรกกันก่อน เริ่มจากห้อง 1-Bedroom ขนาด 45 ตารางเมตรครับ ฟังก์ชั่นในห้อง จะเป็นแบบครัวเปิดอยู่ด้านหน้าห้อง ใกล้กับประตูทางเข้า ได้พื้นที่ครัวรูปตัว L และให้ส่วน Living Area (โซฟาดูทีวี) + Working Area อยู่ติดกับระเบียง เพื่อให้มองเห็นวิวภายนอกได้ง่าย คั่นตรงกลางห้องด้วยโต๊ะทานข้าวที่อยู่ระหว่างครัวกับโซฟา
ห้องนอนพื้นที่ไม่เน้นมาก ให้สัดส่วนพื้นที่ห้องนอนเล็กกว่า Living พอสมควร แต่นำห้องนอนมาติดหน้าต่างเพื่อให้มีส่วนรับวิวได้เช่นเดียวกับ Living และมีห้องน้ำที่เปิดเข้าได้ 2 ด้าน จากทาง Living ก็ได้ เข้าจากในห้องนอนก็ได้ครับ
ประตูทางเข้าสีขาว ขนาดความสูงประตูจะสูงกว่าปกติแบบ Oversized เพราะห้องนี้มีความสูงพื้นถึงฝ้าประมาณ 3 เมตรครับ (แต่ห้อง Penthouse ชั้น 51-57 จะได้ 3.50 เมตร)
มือจับประตูแบบ Digital Doorlock ของ Yale ครับ
ห้องตัวอย่างมีการตกแต่งบัว และวงกบประตูเพิ่มขึ้น ทำให้ดูใหญ่กว่าปกติ ห้องของจริงจะได้เป็นวงกบประตูสีขาวเรียบปกติครับ ไม่มี Subframe
สวิตช์ไฟในห้องของ Schneider
เปิดประตูเข้าห้องมา จะเจอส่วน Living ที่เป็นครัว อยู่ร่วมกับ โซฟาดูทีวี ห้องนี้ขายแบบ Fully-Fitted นะครับ ได้เฟอร์นิเจอร์ Built-in ตามที่เห็นในห้อง, ฝ้าเรียบสีขาว ไม่ดรอป และได้ผนังเรียบสีขาว ไม่มี Wallpaper, ได้แอร์ 2 เครื่อง, เครื่องใช้ไฟฟ้าในห้องบางส่วนครับ แต่ห้องนี้ก็จะมีส่วนที่ตกแต่งเพิ่มเติมมาจากห้องจริงอยู่หลายจุด ค่อยๆดูกันไปทีละส่วนครับ
หันหลังกลับไป จะเห็นว่าเป็นครัวรูปตัว L วางอยู่หน้าห้อง ติดประตูทางเข้า ครัวเป็นลักษณะครัวเปิด ไม่มีประตูกั้น โล่งๆเชื่อมกับห้องนั่งเล่น
พื้นห้องเป็นกระเบื้องลายหิน แกรนิโต้ ขนาด 60×60 ซม.
พื้นที่ครัวหน้าห้องประมาณนี้ ในห้องตัวอย่างใส่โต๊ะรับประทานอาหารแบบ 2 ที่นั่งเอาไว้ให้ดู แต่รู้สึกว่าขนาดจะใหญ่ไปหน่อยนะครับตัวนี้ วางลงไปแล้วดูอึดอัดไปนิดครับ เวลาเปิดประตูตู้ครัวจะต้องขยับโต๊ะไปมา ยังไงเขาก็ไม่ได้ใส่โต๊ะตัวนี้ไว้อยู่แล้ว แนะนำว่ามองเป็นโต๊ะสี่เหลี่ยมดีกว่า เพราะจะประหยัดพื้นที่กว่าครับ
ช่องเก็บตู้เย็น เขาแถมตู้เย็น Siemens มาให้ขนาดนี้เป๊ะ พอดีกับพื้นที่ แต่จะขยายขนาดกว่านี้คงจะไม่ได้
ใส่ของได้ประมาณนี้
พื้นที่ครัวรูปตัว L วางเตาไมโครเวฟแบบฝังไว้ในตู้ Built-in
ช่องเก็บของเยอะใช้ได้
ให้เตาไมโครเวฟยี่ห้อ Siemens แบบฝังตู้ เตาแบบนี้ก็ดูเรียบร้อย กลมกลืนดีครับ แต่ขนาดเล็กไปหน่อย ใส่อาหารจานใหญ่ๆไม่ได้ หน้ากว้างเตาประมาณ 40 cm เท่านั้น ช่องใส่อาหารก็เล็กกว่านั้นอีก ถ้าอยากได้เตาใหญ่กว่านี้ต้องซื้อมาวางนอกตู้
หน้าบานครัวแบบ Soft-Close ทั้งหมด
หน้าบานเซาะร่องใหญ่ เพื่อให้เอามือเปิด-ปิดได้สะดวก
พื้นที่เก็บของให้มาอย่างที่เห็น หน้าบานตู้เป็น Acrylic สีขาวเรียบ
ใต้ Sink ล้างจาน มีถังขยะให้ด้วย
แพนทรี่รูปตัว L วางอ่างล้างจานไว้ทางขวา ใกล้กับตู้เย็น และวางเตาไฟฟ้าไว้ทางซ้ายสุด ติดกับไมโครเวฟ ผนังด้านหลังของแพนทรี่ปูกระจกสีดำเอาไว้ เพื่อป้องกันการเลอะเทอะ และให้สามารถทำความสะอาดได้ง่าย
เตาไฟฟ้าเซรามิก ของ Siemens แบบสองหลุม
อ่างล้างจานแบบ integrated-sink นะครับ คือ ฝังเข้าไปในแพนทรี่ งานเรียบร้อยดี ยี่ห้อ Blanco ส่วน Top ครัวเป็นหินสังเคราะห์
ชุดหัวก็อกของ hansgrohe ของเยอรมนี
ที่ครัวมีการฝังหลอดไฟ LED ซ่อนเอาไว้ เพื่อเพิ่มความสว่างของ Pantry ด้วย ให้มาแบบนี้เลย
ที่ดูดควันของ Siemens ให้มาพร้อมเตาไฟฟ้า เป็นแบบดูดออกไปปล่อยที่นอกอาคาร ตัวที่ดูดควันห้องนี้ให้มาขนาดไม่ใหญ่เท่าไหร่ อาจจะดูดกลิ่นได้ไม่เต็มที่นัก แถมครัวก็เป็นครัวเปิดด้วย ไม่มีทางระบายกลิ่น ทำให้ไม่ค่อยเอื้ออำนวยต่อการทำอาหารหนักๆเท่าไหร่
หันกลับมาอีกด้านที่อยู่ตรงข้ามครัว ข้างๆทางเข้าห้องน้ำ จะมีตู้เก็บของอยู่อีกจุดหนึ่ง ที่ทางโครงการแถมมาให้ เป็นชุด Built-in มาแบบนี้เลย แต่หน้าบานของจริงจะเป็นแบบเรียบๆสีขาว วัสดุเป็น Acrylic
เมื่อเปิดตู้ออกมา จะพบกับพื้นที่สำหรับวางเครื่องซักผ้า ซึ่งจะแถมเครื่องซักผ้ามาให้ด้วย พร้อมต่อท่อน้ำดี ท่อน้ำทิ้งมาให้เรียบร้อย ตัวหน้าบานตีเป็นกล่องหนาประมาณ 20 cm วางสิ่งของชิ้นยาวๆได้ เช่น ไม้กวาด, ที่รองรีดผ้า ฯลฯ
วางเครื่องซักผ้าได้แบบนี้ ขนาดใหญ่กว่านี้ก็ลำบากนะ
ด้านบนวางของชิ้นใหญ่ๆได้ เช่น กระเป๋าเดินทาง (ใบใหญ่มากก็คงไม่ได้ ได้ประมาณ Carry-on Luggage)
ถัดจากโต๊ะรับประทานอาหาร จะเป็นพื้นที่วางโซฟาดูทีวี อยู่ติดกับกระจกที่จะเปิดออกไปยังระเบียงด้านนอก ผนังด้านหลังโซฟาที่เป็นหินสีดำนั่นเป็นวัสดุตกแต่งนะครับ ของจริงจะเป็นผนังเรียบๆทาสีขาว
ด้านหลังโซฟามีพื้นที่เหลือ ไอเดียของโครงการคือเอาไว้สำหรับวางชุดโต๊ะทำงานได้ เพื่อให้สามารถทำงานไปด้วย ดูทีวีไปพร้อมๆกันได้ อยู่ใกล้หน้าต่าง ได้รับแสงธรรมชาติ และรับวิวด้านนอกไปพร้อมๆกันก็ได้ เฟอร์นิเจอร์ตรงนี้เขาไม่ได้แถมมา ใครชอบจะทำตามก็ได้ หรือถ้าใครคิดว่าจะไม่อยากมีโต๊ะทำงานในห้อง ก็สามารถใช้พื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่เอนกประสงค์ ทำอย่างอื่นได้ เช่น วางแผ่นโยคะ วางลู่วิ่งในห้อง หรือจะขยายขนาดโซฟา ถอยร่นมาอีกก็ได้
เวลานั่งที่โต๊ะทำงานก็สามารถมองเห็นทีวีได้เหมือนกัน
พื้นที่วางทีวีของห้องนี้ ค่อนข้างจำกัด เนื่องจากจะติดประตูทางเข้าห้องนอน จึงมีพื้นที่ให้วางชั้นวางทีวีได้เต็มที่ก็กว้างแค่นี้ ใส่ทีวีได้ขนาดเต็มที่ประมาณ 46″ – 50″ ครับ แต่แนะนำให้เลือกทีวีที่บางๆ แล้วเอาทีวีขึ้นมาแขวนบนผนังดีกว่า แล้วเลือกชุดแขวนผนังที่สามารถบิดหันจอทีวีให้เอียงๆได้ เพื่อให้เหลือพื้นที่ด้านล่าง วางเครื่องเกม วางเครื่องเสียง หรือกล่อง TV บนตู้แทน
ด้านหลังทีวี ไม่มีการกรุผนังแบบนี้นะครับจะเป็นผนังเรียบ และบนฝ้าก็ไม่มีการดรอป และไม่ซ่อนไฟใต้ฝ้าแบบนี้ด้วย เป็นเพดานเรียบสีขาว
ระบบแอร์ในห้องนี้เป็นแบบ Concealed Type ฝังใต้ฝ้าทั้งหมดทุกห้องครับ
ติดกับส่วน Living เป็นประตูเปิดออกไปยังระเบียงด้านนอกครับ ซึ่งจะให้เป็นประตูกระจกเต็มบาน พื้นถึงเพดาน แต่ว่าของจริงจะไม่ใช่บาน Slide คู่แบบนี้ครับ จะเป็นประตูบานเลื่อน 3 ชิ้น เปิดจากซ้ายไปขวา
ในห้องตัวอย่างเปิดประตูออกได้แค่นี้ แต่ห้องจริง พอเป็นบาน Slide 3 ชิ้น จะเปิดออกได้กว้างกว่าครับ (กระจกที่ได้เป็นกระจกตัดแสงนะครับ)
วัสดุกรอบประตูใหญ่ แน่น แข็งแรงดีครับ และหนักด้วย เพราะว่าโครงการนี้อยู่ใกล้แม่น้ำ ชั้นสูงๆจะเจอลมแรงมาก ถ้าวัสดุกรอบประตูไม่แข็งแรง ประตูมันจะสั่นได้ครับ แต่แบบนี้ไม่ต้องกลัวเลย
ให้ดูวัสดุเฟรมประตู
ในวงกบประตู มีการ Seal ฝุ่นและเสียง รวมถึงแมลงต่างๆ ปิดได้สนิทแน่นอน
รางด้านล่าง ฝังไว้ระดับเดียวกับพื้น ไม่มีธรณียื่นขึ้นมา
ระเบียงด้านนอก ปูด้วยไม้เทียม ราวกันตกเป็นกระจกใส เพื่อให้มองเห็นวิวข้างนอกได้ชัดๆ แต่ที่กระจกจะมีราวจับ Stainless ติดเพิ่มขึ้นมาให้ด้วย
พื้นที่วางคอมฯแอร์ จะอยู่แยกออกไปจากพื้นที่ระเบียง มี Grille อลูมิเนียมพ่นสีขาวปิดบังสายตาเอาไว้แบบนี้ และแขวนคอมฯแอร์ที่ผนัง เป่าลมออกไปทางด้านนอก แต่ในห้องตัวอย่างไม่ทันได้ใส่ไว้ให้ดู
พื้นที่ด้านล่างเป็นพื้นคอนกรีต ไม่ได้ปูไม้เทียม
ถัดมาเข้ามาดูในห้องนอนกันต่อ
พื้นที่ห้องนอนห้องนี้ถือว่าไม่เน้น เพราะเทียบกับขนาดของห้องแล้ว ห้องนี้จะเน้นที่ส่วน Living และ ระเบียง มากกว่า ห้องนี้ได้เฉพาะตู้เสื้อผ้านะครับ ไม่มีเตียง เป็นห้องโล่งๆ
ห้องตัวอย่างตกแต่งบิ๊วท์หัวเตียงไว้ให้ดูเป็นไอเดีย
พื้นที่ข้างเตียงวางเตียง 6 ฟุตแล้วยังมีพื้นที่ด้านข้างเหลือ วางโต๊ะข้างเตียงได้ทั้ง 2 ฝั่ง
ปลายเตียงแขวนทีวีบนผนังได้ จะวางตู้ปลายเตียงก็ได้ แต่ต้องเลือกที่มีความหนาไม่เกิน 20-30cm ไม่งั้นอาจจะเดินชนได้ หรือไม่ก็จะเบียดเกินไป แต่ไม่แนะนำให้เอาทีวีวางบนตู้ ผนังด้านนี้ของจริงทาสีขาวเรียบๆ ไม่มี Wallpaper นะ
พื้นที่ปลายเตียงเหลือไม่มาก แต่ก็ไม่อึดอัด ลืมบอกไปว่าพื้นห้องนอนเป็น Engineering Wood หน้าไม้สัก ผิวด้านนะครับ
หน้าต่างในห้องนอน ยกระดับจากพื้น 60cm ตามปกติ แต่ใส่เป็นบานกระจกสูงไปจนถึงฝ้าเลย รับวิวเต็มที่
ตัวหน้าต่างเป็นบานกระทุ้ง เปิดออกได้แคบๆแบบนี้ อันนี้เค้าจงใจนะครับ เพราะที่ชั้นสูงๆ ลมจะแรงมาก ไม่ควรเปิดหน้าต่างออกไปจนสุด และมันจะปิดยากด้วย เสี่ยงต่อการตกลงไปข้างล่างอีกต่างหาก ลำพังการเปิดออกแค่นี้ก็ทำให้อากาศถ่ายเทในห้องได้แล้ว เพราะบานหน้าต่างใหญ่พอ
มือจับบานหน้าต่างหน้าตาแบบนี้
พื้นที่ด้านข้างเตียงอีกฝั่งหนึ่ง เหลืออยู่ประมาณนี้ พอให้ลุกออกจากเตียงได้ไม่เกะกะ
ตู้เสื้อผ้าแถมมาให้ด้วย ให้มาเป็นบาน Slide เพื่อประหยัดพื้นที่ในการเปิดประตูหน้าบาน ถ้าเป็นบานสวิงอาจจะเปิดไม่ได้ ตัว Spec หน้าบานอาจจะแตกต่างไปจากที่เห็นนี้นะครับ ต้องเช็คกับโครงการอีกที
มือจับตู้เสื้อผ้าอันใหญ่ดี เป็น Aluminium ครับ
สุดท้ายของห้องนี้ มาดูห้องน้ำกัน ทางเข้าห้องน้ำเข้าได้ 2 ทางนะครับ ทั้งจากในห้องนั่งเล่น หรือจากห้องนอน
พื้นห้องน้ำ เหมือนกับพื้นครัว วัสดุเป็นกระเบื้องลายหิน ทั้งพื้นและผนัง
พื้นห้องน้ำเป็นพื้นลดระดับ ไม่มีธรณีประตู
ประตูทางเข้าห้องน้ำ เข้าได้ 2 ทาง ทางซ้ายมาจากห้องนอน ทางขวามาจากห้อง Living (กระจกเงาแบบ Full-Height ที่ติดอยู่ที่เสาในรูปไม่มีให้นะครับ)
พื้นห้องนอนยกสูงกว่าพื้นห้องน้ำนะครับ ไม่มีธรณีเช่นกัน แต่วัสดุตัวจบตรงประตูนี้ ไม่ควรจะเป็นไม้ Engineer อย่างที่เห็นนี้นะครับ ไม่งั้นน้ำจะซึมเข้าไปได้ ความจริงควรจะเป็นวัสดุพวกหินหรือหินเทียมมากกว่า
พื้นที่ห้องน้ำ ค่อนข้าง Compact
ในห้องตัวอย่างซ่อนไฟใต้ฝ้าด้วย ของจริงไม่มีให้นะครับ
โถสุขภัณฑ์ยี่ห้อ Villeroy & Boch แบบ Wall-Hung แขวนผนังโดยซ่อน Water Tank ไว้ในผนังห้องน้ำเลย ทำให้ประหยัดพื้นที่การวางโถสุขภัณฑ์ไปได้ส่วนหนึ่ง ด้านหลังของโถสุขภัณฑ์ จะมีการก่อเคาน์เตอร์ขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง เพื่อให้วางของจุกจิกได้
Flush เป็นแบบ Wall-Hung เหมือนกัน ยี่ห้อ GEBERIT จากสวิสเซอร์แลนด์
สายฉีดชำระ Stainless ของ HAFELE
ที่วางกระดาษชำระ ของ HAFELE เหมือนกัน
เคาน์เตอร์อ่างล้างมือ ติดกระจกเงามาให้บานขนาดนี้
ตัวเคาน์เตอร์พื้นที่วางของไม่เยอะเท่าไหร่ แต่มีตู้เก็บของด้านล่างใต้อ่าง (ของจริงหน้าบานจะเป็น Hi-Gloss นะครับ)
อ่างน้ำยี่ห้อ Villeroy & Boch แบบฝังใต้เคาน์เตอร์ (in-counter)
หัวก๊อกน้ำของ hansgrohe
มีปลั๊กสำหรับเสียบอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ เช่น ไดร์เป่าผม, แปรงสีฟันไฟฟ้า, ที่โกนหนวด ฯลฯ
Shower Box ติดตั้งกระจกนิรภัยมาให้เรียบร้อย ยี่ห้อ Showerlux Duscholux จากเยอรมนี
พื้นที่ยืนอาบน้ำกว้างประมาณ 80-90cm
Drop พื้น และวาง Slope ไว้ให้เรียบร้อย ป้องกันการสะดุด
มือจับประตู แขวนผ้าเช็ดตัวได้
มือจับประตูด้านใน ทำหน้าที่เป็น Door-Stopper ไปในตัว เพราะติดลูกยางไว้ที่ปลายอีกด้านหนึ่ง เพื่อไม่ให้กระแทกกับผนัง
ที่จับเว้าเข้าเพื่อให้รับกับการเอานิ้วจับ
ชุด Hand Shower จาก hansgrohe วัสดุของสายฝักบัวไม่ใช่ Aluminium หรือ Stainless นะครับ แต่เป็นซิลิโคนที่เคลือบผิวแบบโลหะ (Chrome Finish) จะเบากว่าโลหะครับ
หัวก๊อกเปิดฝักบัว ระบบน้ำในโครงการเป็นระบบน้ำร้อนผสมน้ำเย็นนะครับ
หัวฝักบัวของ hansgrohe เหมือนกัน
ที่วางสบู่เล็กไปหน่อยนะครับ แบบนี้วางอะไรไม่ได้เลย คงต้องติดเพิ่ม
Floor Drain รูปสี่เหลี่ยม วัสดุเป็น Stainless ครับ
Product Walkthrough (3-Bedroom 147 ตารางเมตร)
ห้องตัวอย่างห้องถัดมา คือห้องแบบ 3-Bedroom ขนาด 147 ตารางเมตรครับ ซึ่งจะเป็นขนาดที่ใหญ่ที่สุดของห้อง Type ธรรมดาที่อยู่ต่ำกว่าชั้น 50 (ก่อนที่จะขยับไปเป็นห้อง Type พิเศษที่อยู่ชั้น Penthouse คือเหนือชั้น 51 ขึ้นไป) ห้องนี้จะเป็นห้องที่อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ อยู่ในตำแหน่ง Riverfront ปลายสุดของตึกเลย มีด้านที่เปิดรับแม่น้ำ 3 ด้าน พูดง่ายๆว่า ถ้าเลือกห้องนี้ ไม่ว่าจะอยู่ชั้นไหนของตึก ก็รับรองได้ว่ามองเห็นแม่น้ำเจ้าพระยาแน่นอนครับ ฟังก์ชั่นของห้องนี้ มี 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ ทุกห้องนอนมองเห็นวิวแม่น้ำทั้งหมด และมีห้องน้ำในตัว โดยห้อง Master Bedroom จะมีอ่างอาบน้ำเพิ่มเข้ามาด้วย ตัวครัวมีทั้งครัวไทยครัวฝรั่งแยกส่วนกัน และส่วน Living Area จะเป็นส่วนที่ได้รับความสำคัญที่สุดของห้องนี้ โดยจะถูกนำไปอยู่ด้านในสุดของห้อง ส่วนที่ติดกับระเบียง และส่วนรับประทานอาหาร เพื่อเปิดรับวิวแม่น้ำได้ทั้ง 3 ด้าน
ห้องนี้ขายแบบ Fully-Fitted ครับ ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ลอยตัว ได้ครัวครบชุด กับเฟอร์นิเจอร์ Built-in บางส่วน และการตกแต่หลายๆจุดในห้องตัวอย่างจะแตกต่างจากห้องจริงครับ เราค่อยๆมาดูกันว่าห้องนี้จัดออกมาเป็นอย่างไร
เริ่มจากประตูทางเข้าห้องก่อน บานประตูเป็นแบบ บานคู่ โดยจะมีบาน Fixed เล็กๆหนึ่งบานทางด้านซ้ายที่เพิ่มเข้ามา เพื่อช่วยเพิ่มความ Grand ให้กับประตูห้อง มือจับประตูแบบ Digital Door Lock เหมือนเดิม มีข้อสังเกตนิดนึงตรงที่วงกบประตูของจริงจะไม่ได้อย่างที่เห็นในรูปนะครับ อันนี้เขาตกแต่งเพิ่ม ของจริงไม่ได้หนากว่านี้ ไม่มีบัว ไม่ได้ติด Subframe แบบนี้นะครับ อันนี้จัดเต็ม
เข้าห้องมาปุ๊บ สิ่งแรกที่จะเจอก่อนคือ โถงทางเดินในห้อง หรือ Corridor สั้นๆ ที่แยกฟังก์ชั่นของห้องด้านหน้ากับด้านในออกจากกัน ทางขวามือเป็นทางเข้าไปยังห้องนอนเล็กทั้ง 2 ห้อง ตรงเข้าไปข้างในจะเป็น Living Area/ครัว ที่อยู่ทางขวา และ Master Bedroom ที่อยู่ด้านในทางซ้ายมือ
ผนังตรงโถงทางเดินนี้จะซ่อนตู้เก็บของเอาไว้ภายในครับ หน้าบานของห้องจริงก็จะเป็นหน้าบานสีขาวเรียบธรรมดา ไม่มีการกรุผนัง เล่นลวดลายใดๆ
มองกลับไปทางด้านประตูทางเข้าที่เราเพิ่งเดินเข้ามา
มีประตูอีกบานที่เปิดเข้าไปยังห้องเก็บของ ที่ขนาดใหญ่กว่าห้องเมื่อกี๊
เราเข้าไปดูส่วนที่เป็นห้องนอนเล็ก 2 ห้องกันก่อน เพราะอยู่หน้าห้องพอดี ระหว่างที่ดูรูปก็ลองดูผังห้องประกอบไปด้วยนะครับ เพราะ Floor Plan อาจจะแปลกตากว่าห้องทั่วๆไป อ่านไปเรื่อยๆเดี๋ยวจะหลงทิศ
Access ของการเข้าห้องนอนเล็กสองห้องนี้ จะมีโถงทางเดินเล็กๆแยกออกมาจากโถงทางเดินหลักก่อน แล้วประตูเข้าห้องนอนจะอยู่ด้านในสุด อันนี้เพื่อให้เกิดความ Private ของห้องนอนเล็กทั้งสองนี้ เพราะถ้ามีแขกมาเยี่ยมที่บ้าน เขาก็จะได้เดินตรงเข้าไปยัง Living Area ได้เลย โดยที่ห้องนอนเล็กสองห้องนี้ก็จะไม่ตกเป็นเป้าสายตาของแขกที่มาหา
ก่อนเข้าห้องนอนมีห้องเก็บของอีกจุดหนึ่ง มีประตูเปิดเข้าได้แบบนี้
พื้นที่ใหญ่ เก็บสิ่งของชิ้นใหญ่ๆได้ เช่น กระเป๋าเดินทาง, กล่องลังพัสดุต่างๆ, เครื่องดูดฝุ่น ฯลฯ
ที่ปลายสุดก็จะมีทางเข้าห้องนอน 2 ห้อง ขนาดห้องนอนสองห้องนี้พอๆกัน ต่างกันตรงพื้นที่ปลายเตียงนิดหน่อย เราเข้าไปดูห้องทางขวาก่อน
เข้าห้องมาปุ๊บเจอเตียงก่อนเลย
พื้นที่ในห้องนี้วางเตียง 6 ฟุตไว้ให้ดู ใส่ได้สบายๆ มีพื้นที่ข้างเตียงเหลือให้วางโต๊ะข้างเตียงได้ 2 ฝั่ง (ห้องนี้ให้มาเป็นห้องเปล่านะครับ)
หันกลับไปมองที่ประตูทางเข้า และผนังด้านที่อยู่ปลายเตียง สามารถแขวนทีวีที่ผนังได้ แต่เขาไม่ได้ใส่มาให้ดู ส่วนผนังห้อง ของจริงจะเป็นผนังเรียบสีขาวธรรมดาครับ
พื้นที่ปลายเตียงมีระยะเหลือ พอที่จะวางโต๊ะทำงานเล็กๆ+เก้าอี้ได้ มีระยะถอยเก้าอี้ได้พอเพียง ถ้าไม่ใช้โต๊ะทำงาน จะใส่เป็นตู้เก็บของ หรือชั้นวางทีวีที่ใหญ่กว่าในรูปก็ได้ แต่ต้องเผื่อระยะเปิดประตูด้วยนะครับ
พื้นที่ข้างเตียงฝั่งใกล้หน้าต่างเหลือประมาณ 45 cm พื้นห้องนี้เป็น Engineering Wood ปิดผิวด้วยไม้สัก แบบด้าน (Matte Finished)
ด้านข้างเตียงอยู่ติดกับหน้าต่างรับวิว ขนาดใหญ่เต็มผนัง ยกจากพื้น 60 cm และสูงถึงฝ้าเพดาน
ฝ้าเพดานตรงนี้ ดรอปให้เพื่อวางรางม่าน แต่ไม่มีรางม่าน/ผ้าม่านมาให้ และไม่มีการซ่อนไฟใต้ฝ้าแบบในห้องตัวอย่างครับ
หน้าต่างมีบานกระทุ้งที่สามารถเปิดออกเพื่อรับลม/ระบายอากาศได้ วัสดุกรอบวงกบหน้าต่างเป็น Aluminium อย่างหนา ป้องกันเสียงและลมได้ดี
ให้ดู Fitting ของหน้าต่าง
พื้นที่ข้างเตียงอีกฝั่งหนึ่ง อยู่ติดกับทางเข้าห้องน้ำ และตู้เสื้อผ้า (ที่มีหน้าบานเป็นกระจกสีชานั่นแหละครับ)
ทางเข้าห้องน้ำอยู่ด้านนี้
สำหรับห้องน้ำห้องนี้ ทางโครงการบอกว่า จริงๆแล้วตั้งใจแก้ไขแบบ โดยจะทำให้มีทางเข้าออกสองทางครับ คือเข้าจากทาง Corridor ด้านหน้าก่อนเข้าห้องนอนได้ด้วย แต่ในสำนักงานขายทำผิด
พื้นที่ในห้องน้ำประมาณนี้
เคาน์เตอร์อ่างล้างมือ มีพื้นที่วางของรอบๆ และมีปลั๊กเสียบอุปกรณ์ไฟฟ้าอยู่ 1 จุด
อ่างล้างมือของห้องนี้จริงๆแล้วต้องเป็นแบบฝังลงในเคาน์เตอร์ (integrated-sink) นะครับ ในห้องตัวอย่างติดมาผิด Spec
กระจกเงาในห้องของจริงจะมีเฉพาะบานขวาครับ บานซ้ายเป็นบานตกแต่งเฉยๆ
พื้นที่วางโถสุขภัณฑ์ มีพื้นที่ด้านข้างเหลือแอบเยอะนะ
Shower Box อยู่ด้านนี้ครับ
ใน Shower Box พื้นที่ยืนอาบน้ำยาวประมาณ 1.20-1.30 เมตรครับ ประตูห้องอาบน้ำจริงๆแล้วควรจะผลักเข้าไปด้านในถึงจะถูกต้องนะครับ เพื่อให้น้ำที่เกาะประตูไม่หยดออกมาด้านนอก แต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แก้ไขได้
ชุด Hand Shower ของ hansgrohe เหมือนห้องที่แล้ว
ออกจากห้องนอนที่แล้ว เข้ามาดูอีกห้องหนึ่งบ้าง
พื้นที่วางเตียงของห้องนี้พอๆกันกับห้องที่แล้วเลย วางเตียง 6 ฟุตได้เหมือนกัน ใส่ตู้ข้างเตียงได้ 2 ด้าน วางโต๊ะปลายเตียงได้ พื้นที่โดยรอบเตียงคล้ายๆกับห้องที่แล้ว แต่จะมีพื้นที่ปลายเตียงน้อยกว่านิดนึงถ้าดูจาก Unit Plan
หน้าต่างกระจกบานใหญ่ รับวิวได้ ลักษณะเดียวกัน
ห้องนี้จะมีส่วนที่แตกต่างจากห้องที่แล้ว คือห้องน้ำ
ก่อนเข้าห้องน้ำจะพบกับตู้เสื้อผ้าที่วางอยู่สองด้าน ขนาบข้างแบบนี้ ระยะเปิดตู้ เปิดได้ทีละด้านนะครับ
ใส่ตู้เสื้อผ้าไว้สองด้านเลย
เดินผ่านตู้เสื้อผ้า เข้ามาที่ห้องน้ำ ประตูสีขาวที่เห็นในรูปนี้ของจริงจะไม่มีนะครับ เป็นผนังทึบปกติ อันนี้ห้องตัวอย่างทำผิด เดินเข้าห้องน้ำมาแล้วจะเจอกับเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้าอยู่ทางขวามือ
ได้เป็นเคาน์เตอร์ Built-in ยาวเต็มผนัง มีพื้นที่วางของโดยรอบ และมีตู้เก็บของอยู่ทางด้านล่างใต้อ่าง … ตัวอ่างล้างหน้าของห้องนี้ก็เช่นกันนะครับ ของจริงจะได้เป็นแบบฝังลงไปในเคาน์เตอร์ ไม่ได้ยื่นออกมาอย่างที่เห็นในภาพ ส่วนหน้าบานด้านล่าง ของจริงจะเป็น Hi-Gloss ไม่ใช่บานกระจกแบบนี้
กระจกเงาในห้องนี้ บานจะใหญ่กว่าห้องที่แล้ว และของจริงจะไม่มีบานขุ่นทางซ้ายนะครับ
ตรงข้ามกับอ่างล้างหน้า เป็นพื้นที่วางโถสุขภัณฑ์ และด้านในเป็น Shower Box
เดิมทีพื้นที่วางโถสุขภัณฑ์จะวางอยู่ตรงนี้ และมีแนวเสาเล็กๆก่อขึ้นมาด้านข้างแบบในภาพครับ แต่ตอนนี้มีการแก้ไขแบบของห้องนี้ไปแล้ว โดยการตัดประตูสีขาวบานข้างๆออก ดังนั้นของจริงที่ได้อาจจะไม่ใช่แบบนี้นะครับ โดยอาจจะมีการขยับโถสุขภัณฑ์มาทางขวาอีก เพราะมีพื้นที่วางเพิ่มขึ้น คงต้องลองเช็คกับทางโครงการให้แน่ใจอีกทีครับ ว่าแบบจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง
ส่วนพื้นที่ Shower Box มีประมาณนี้
ขนาด Shower Box ห้องนี้จัดว่าเล็กไปหน่อยนะครับ เวลาเปิดประตูเข้า-ออกจากห้องอาบน้ำนี่จะเบียดมาก ถ้าพื้นที่เท่านี้จริงๆ คงต้องใช้วิธีเปิดประตูออกไปด้านนอก แทนที่จะผลักเข้าด้านในครับ ก็จะเข้า-ออกได้สะดวกกว่า แต่จะทำให้น้ำที่เกาะประตูหยดออกไปด้านนอก Shower box (ซึ่งผิดวัตถุประสงค์ของ Shower Box ที่มีเพื่อกั้นส่วนเปียก-ส่วนแห้ง)
ต่อมาเราเข้าไปดูส่วน Living ที่เป็นหัวใจหลักของห้องนี้กันต่อ
กลับออกมาสู่ Corridor ด้านหน้าอีกครั้ง รูปนี้ต้องการจะสื่อว่า ในห้องตัวอย่างเขาตกแต่งผนังแบบจัดเต็มมากครับ แต่ของจริงเราจะได้เป็นผนังฉาบเรียบทาสีขาวธรรมดาๆ อยากได้แบบนี้ต้องแต่งเองนะครับ
เข้ามาที่ส่วน Living Area ภาพแรกที่เห็นก็จะเป็นลักษณะนี้
มองมาทางขวามือจะเจอ Pantry ครัวฝรั่งอยู่ทางนี้ ถ้าเข้าไปด้านในเป็นครัวไทย มีประตูกั้นอีก 1 บาน
ภาพรวมของส่วนครัว
มองย้อนกลับไปยังโถงทางเดินหน้าห้อง
Pantry จะมี Island อยู่ตรงกลาง เชื่อมต่อไปจนถึงส่วนที่เป็นเตาไฟฟ้า พื้นที่ตรงนี้มีประโยชน์ใช้สอยได้หลากหลาย จะใช้เป็นพื้นที่เตรียมอาหารก็ได้ หรือจะใช้เป็นพื้นที่วางอาหารว่าง, ขนม, จัดอาหารใส่จานก่อนนำไปเสิร์ฟบนโต๊ะ ฯลฯ จะเอาเก้าอี้มานั่งกินข้าวตรงนี้ก็ยังทำได้ แล้วแต่ว่าจะทำอะไร
เชื่อมต่อมาตรงนี้เป็นเตา และที่ดูดควันขนาดใหญ่
เตาไฟฟ้าเซรามิก ของ Siemens แบบ 4 หลุม
ที่ดูดควันขนาดใหญ่ของ Siemens เหมือนกัน อันนี้รับรองว่าดูดกลิ่นได้โอเคเลย ทำอาหารจริงจังได้ระดับหนึ่งเลย
เป็นระบบดูดอากาศออกไปปล่อยที่นอกอาคาร
ใต้เตาไฟฟ้า มีตู้สำหรับเก็บอุปกรณ์ทำครัว และภาชนะ
เตาไมโครเวฟ และ เตาอบ แบบ Built-in ของ Siemens เหมือนกัน
เหนือไมโครเวฟ มีตู้เก็บของอีกชุด อันนี้อาจจะสำหรับเก็บอาหารแห้ง
ตรงข้าม Island ตัวกลาง จะเป็นเคาน์เตอร์ล้างจาน
มีตู้แช่ไวน์แถมให้ด้วย ยี่ห้อ Gorenje
สำหรับคนรักการดื่มไวน์โดยเฉพาะ ควบคุมอุณหภูมิได้
อ่างล้างจานแบบ 2 หลุม ฝังลงไปในเคาน์เตอร์ ยี่ห้อ Blanco
เคาน์เตอร์ท้อป เป็นหินสังเคราะห์ มีลาย
หัวก็อกล้างจานชุดนี้ก็ของ hansgrohe เหมือนกัน
เป็นหัวก็อกแบบติดสายยาง ดึงออกมาฉีดล้างได้ สะดวกในกรณีที่ภาชนะมีขนาดใหญ่มากๆ หรือหนักมากๆ
ผนังด้านหลังเคาน์เตอร์ ติดกระจก ป้องกันผนังเลอะเทอะ และเพื่อให้ทำความสะอาดได้ง่าย เช็ด ล้างได้
ตู้เย็นวางอยู่ด้านนี้ แถมตัวนี้มาให้เลย ของ Siemens
บานคู่ เก็บของกินได้เพียบ (แต่บางบ้านนี่ไม่พอนะ)
ด้านข้างตู้เย็น มีบาน Slide เล็กๆอยู่ ตรงนี้ของจริงจะเป็นช่อง Shaft ครับ
เดินเข้ามาด้านในสุด จะเป็นครัวไทยครับ มีประตูบานทึบกั้นเป็นครัวปิด เป็นส่วนของแม่บ้านโดยเฉพาะ
ด้านหน้ามีช่องสำหรับวางเครื่องซักผ้า และเครื่องอบผ้า วางซ้อนกันได้ สองเครื่องนี้ของ Siemens แถมให้พร้อมห้อง
เคาน์เตอร์ครัวทางด้านหลัง ได้เป็นรูปตัว L ลักษณะนี้ มีเตาไฟฟ้าอยู่ด้านหนึ่ง อีกด้านเป็นอ่างล้างจาน
ตัวหน้าบานตรงนี้จะเป็นไม้ครับ ของจริงจะเป็นหน้าบานเรียบๆสีขาว ไม่มีลวดลายแบบในภาพ
เตาไฟฟ้าแบบ Stainless 4 หลุมของ HAFELE
ที่ดูดควัน HAFELE เหมือนกัน
อ่างล้างจานของ HAFELE
ครัวไทยนี้จะอยู่ติดหน้าต่าง โดยถ้าเราปิดประตูครัว แล้วเปิดหน้าต่าง ก็จะสามารถระบายกลิ่นออกไปจากครัวได้ โดยไม่ต้องผ่านห้องนั่งเล่น
ดูครัวเสร็จแล้วก็มาดูห้องนั่งเล่นกันต่อครับ พื้นที่ตรงนี้จะเป็นพื้นที่ยาว ประกอบด้วยส่วนโซฟาดูทีวี+รับแขก และโต๊ะรับประทานอาหารอยู่ทางด้านหลัง สังเกตว่ารอบด้านจะเป็นผนังกระจกหมดเลย เพื่อให้รับวิวแม่น้ำได้จากทุกจุด
มองย้อนกลับไปทางตำแหน่งที่วางทีวี
มุมมองจากโซฟา หันไปทางครัว
มองย้อนกลับไปทางโต๊ะรับประทานอาหารอีกครั้ง
ระยะดูทีวีสามารถใส่ทีวีขนาด 60″ ได้ ไม่มีปัญหา ถ้ารู้สึกว่าใกล้เกินไป ระยะวางโซฟายังถอยได้อีก 60-70cm สบายๆ เลย
วางโซฟาตัว L แบบ 3 ที่นั่งได้ พร้อมโต๊ะกลางได้อีกตัวนึง
ด้านหลังโซฟา เขาใส่ชั้นวางของให้ดู ว่ายังมีพื้นที่เหลือ สามารถจัดแบบนี้ก็ได้ หรือถ้าใครคิดว่าใส่โซฟาตัวเล็กลงหน่อย แต่จะวางตรงนี้เป็นชุดโต๊ะทำงานตัวเล็กๆ พร้อมเก้าอี้อีกตัวนึง ก็ยังมีพื้นที่ให้ทำได้ครับ แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดของเฟอร์นิเจอร์ที่เราเลือกเอามาลงด้วยนะ
ถัดมาเป็นส่วนรับประทานอาหาร ที่อยู่ด้านหลังโซฟา
พื้นที่ ถ้าเอาแบบสบายๆก็สามารถวางโต๊ะแบบ 6 ที่นั่งแบบนี้ได้ (ซึ่งก็น่าจะพอแล้วสำหรับห้อง 3 Bed) แต่ถ้ายังไม่พอจะเพิ่มเป็น 8 ที่นั่งก็ยังทำได้อยู่ แต่ระยะทางเดินรอบๆโต๊ะจะถูกเบียดไปหน่อย
ถ้าเราใส่ทีวีจอใหญ่พอ เช่น 60-70 นิ้ว เราจะดูทีวีจากโต๊ะกินข้าวก็ได้ แต่อาจจะต้องเพ่งสายตาไกลหน่อย
มุมนี้เป็นติ่งยื่นออกมาจากที่นั่งรับประทานอาหาร แต่อยู่ใกล้กับผนังกระจก เขาเลยนำเก้าอี้มาวาง เผื่อใครอยากจะมีมุมพักผ่อนสำหรับมานั่งอ่านหนังสือ จิบกาแฟ ผ่อนคลาย ชมวิวแม่น้ำแบบเงียบๆคนเดียวอยู่ตรงนี้ แต่ถ้าจะให้สมบูรณ์กว่านี้ น่าจะมีโต๊ะตัวเล็กๆ คล้ายๆโต๊ะหัวเตียง เอาไว้วางถ้วยกาแฟ หรือวาง iPad ซักอันตรงนี้ได้ แต่พื้นที่ตรงนี้อาจจะไม่มีก็ได้ ในกรณีที่เราวางโต๊ะกินข้าวตัวใหญ่ๆที่จะกินพื้นที่มาถึงตรงนี้
มุมนี้จะเป็นกระจกเข้ามุม แบบ Bay Window มองเห็นระเบียงด้านนอก และแม่น้ำเจ้าพระยาพร้อมๆกัน
ต่อไปเราเปิดออกไปดูที่ระเบียงด้านนอกกัน
ประตูระเบียง เป็นกระจกบาน Slide 3 ชิ้น สูงตั้งแต่พื้นจรดฝ้า เปิดออกจากซ้ายไปขวา
เวลาเปิดจนสุดจะเปิดได้กว้างขนาดนี้ ลำพังแค่ในสำนักงานขาย ที่อยู่แค่ชั้น 2 ลมก็แรงมากแล้ว ไม่ต้องพูดถึงชั้น 57 รับรองว่ามีลม(แรงๆ)แน่นอน
รางประตูฝังลงไประดับเดียวกันกับพื้นห้องและพื้นระเบียง ไม่มีธรณีประตู เหมือนกับห้อง 1 ห้องนอน
พื้นที่ระเบียงจะเป็นพื้นที่แนวยาว แบบตัว L แบบนี้ พื้นที่ระเบียง ปูด้วยไม้เทียม และมีราวกันตกเป็นกระจกนิรภัยเพื่อไม่ให้บังวิวคนในบ้าน
สามารถใช้งานระเบียงได้เต็มที่ วางโต๊ะเก้าอี้, หรือ Daybed ตัวเล็กๆ ได้หมด เพราะคอมฯแอร์เอาไปวางที่ระเบียงอีกจุดหนึ่งที่อยู่ติดกับครัวอยู่แล้ว เอาไว้ด้านนอก มองไม่เห็นจากในห้อง
มองย้อนกลับไปให้ดูพื้นที่ระเบียงอีกฝั่ง
ตรงนี้มีช่องแสงของห้องน้ำด้วย ที่ส่องเข้าไปให้ห้องน้ำสว่าง
ต่อไปเราไปดูห้องนอน Master Bedroom กัน ซึ่งตำแหน่งทางเข้าห้องนอนใหญ่ คือประตูบานที่อยู่ตรงกลางของรูปข้างบนนี้ครับ
Room Plan ของห้อง Master Bedroom
ประตูทางเข้าห้องนอน ในห้องตัวอย่างตกแต่งทั้งบัว ทั้งวงกบ ทั้งผนัง ของจริงก็จะเป็นแบบเรียบๆนะครับ เข้าใจตรงกันนะ
พื้นห้องนอนเป็น Engineering Wood หน้าไม้สัก ผิวด้าน เหมือนกับห้องอื่นๆ
เข้าห้องมาปุ๊บสิ่งแรกที่เจอ คือ Walk-in Closet มีบานกระจกปิดแบบนี้ ชุดนี้เขาแถมให้มากับห้องจริงเลยนะครับ
เปิดประตูออกแบบนี้ เห็นตู้เสื้อผ้าด้านใน
ใส่เสื้อผ้าได้ประมาณนี้
ที่ราวแขวน ฝังหลอดไฟ LED ไว้ด้านบน
ตู้เก็บของกระจุกกระจิกด้านล่าง
ตรงข้ามตู้เสื้อผ้า เป็นห้องน้ำ Master
พื้นที่ในห้องน้ำจัดเรียงมาประมาณนี้ มีอ่างอาบน้ำ, Shower Box, โถสุขภัณฑ์ และ อ่างล้างมือ
พื้นห้องน้ำลดระดับ ไม่มีธรณีประตู
เคาน์เตอร์อ่างล้างมือ มีพื้นที่วางของตามที่เห็นเลยครับ ตัวอ่างล้างมือจะเปลี่ยนเป็นแบบ integrated-sink นะครับ คือฝังลงไปในเคาน์เตอร์เลย
หัวก็อกของ hansgrohe รุ่น PuraVida
อ่างอาบน้ำอยู่ทางด้านหน้าใกล้ประตู
ชุดหัวก็อกด้านข้าง
ตัวฝักบัวสามารถยืดออกมาจากข้างๆอ่างได้
ผนังฝั่งนี้ ในห้องตัวอย่างทำเป็นบาน Slide เปิด-ปิด
แต่ของจริงบาน Slide จะไม่มีครับ เป็นบานกระจกแบบ Sexy Bath ปกติ อันนี้เป็นภาพ Render สังเกตทางผนังซ้ายมือ
Shower Box เข้ามุม อยู่ตรงข้ามกับอ่างอาบน้ำ
พื้นที่ Shower Box ให้มาขนาดนี้
พอปิดประตูแล้วก็ไม่กว้างเท่าไหร่ เรียกว่าแคบไปหน่อยด้วยนะเนี่ย
ชุด Hand Shower ของห้องนี้ก็จะพิเศษกว่าห้องอื่นๆหน่อย
หัวก็อก
ตัวฝักบัวใหญ่ดี เทียบกับขนาดมือ
ด้านหล้งเป็นแบบราง เลื่อนขึ้น-ลงได้
ถัดมาเป็นพื้นที่วางโถสุขภัณฑ์ มาหลบมุมอยู่ด้านนี้
ด้านบนมีหน้าต่างกระจก รับวิวได้ เวลาอาบน้ำใน Shower Box จะมองเห็นวิวด้านนอกจากช่องนี้ได้ และเอาไว้สำหรับเปิดระบายอากาศในห้องน้ำด้วย
สุดท้ายเข้ามาดูในห้องนอน Master Bedroom ห้องนี้ให้มาเป็นห้องเปล่า ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ใดๆ
ผนังกระจก 2 ด้าน เข้ามุม แบบ Bay Window ถ้าสังเกตจาก Plan ห้องนอนห้องนี้จะเหมือนเป็นห้องมุมที่ยื่นออกมาจากตัวห้องหลักอีกที ก็จะทำให้อยู่ติดผนังภายนอกสองด้าน
พื้นที่วางเตียง ใส่เตียง 6 ฟุตได้ ไม่มีปัญหา
พื้นที่หัวเตียงฝั่งซ้าย
ด้านข้างเตียงฝั่งขวา มีพื้นที่เหลือพอที่จะทำโซฟา Built-in เพิ่มเข้ามาอีก
ปลายเตียงวางโต๊ะทำงานได้ แต่พอดึงเก้าอี้ออกจะขวางทางเดินนิดนึง
ฝ้าของห้อง เตรียมกล่องม่านไว้ให้ แต่ไม่มีรางม่านและผ้าม่านครับ ไม่ได้ฝังหลอดไฟใต้ฝ้าด้วยนะ
ด้านหลังโซฟา Built-in เขาทำเป็นกล่องเพื่อรองรับชายผ้าม่านที่จะห้อยลงมา โดยที่ตัวโซฟาจะได้ไม่ทับผ้าม่าน ไอเดียนี้ใครจะนำไปใช้กับบ้านตัวเองก็ได้นะ แต่โซฟาจะขยับไม่ได้ Fixed อยู่กับผนัง
โต๊ะทำงานปลายเตียง
มองย้อนกลับไปที่ห้องน้ำ
ผนังห้องน้ำจะเปิดออกมา เชื่อมต่อกับห้องนอนได้ ในส่วนที่เป็นอ่างอาบน้ำ ซึ่งตรงนี้ทางห้องตัวอย่างเขาตกแต่งไว้ให้ดูเป็น idea เฉยๆครับ ของจริงจะเป็นผนังกระจก เปิดไม่ได้
พื้นที่ที่เหลืออยู่ระหว่างห้องนอนกับห้องน้ำตรงนี้ เขาวาง Armchair ไว้ตัวหนึ่ง สำหรับนั่งพักผ่อน แต่ถ้าใครคิดว่าจะไม่ได้ใช้ประโยชน์ จะใช้เป็นพื้นที่วางของอื่นๆก็ได้
ปิดท้ายรีวิวด้วยภาพจำลองของตัว Project ครับ “CANAPAYA RESIDENCES & RIVERFRONT”
ราคาและเงื่อนไขการขาย @ 25 July 2014
- 1-Bed/1-Bath Type A1′ ชั้น 10 ห้อง 1005 เนื้อที่ 45.00 ตร.ม. ราคา 7.21 ล้านบาท หรือ 160,206 บาท/ตร.ม.
- 2-Bed/2-Bath Type B2 ชั้น 27 ห้อง 2702 เนื้อที่ 85.00 ตร.ม. ราคา 15.72 ล้านบาท หรือ 185,000 บาท/ตร.ม.
- 2-Bed/2-Bath Duplex Type B4 ชั้น 48 ห้อง 4804 เนื้อที่ 77.00 ตร.ม. ราคา 14.68 ล้านบาท หรือ 190,722 บาท/ตร.ม.
- 3-Bed/2-Bath Type C3 ชั้น 42 ห้อง 4205 เนื้อที่ 92.00 ตร.ม. ราคา 16.62 ล้านบาท หรือ 180,619 บาท/ตร.ม.
- 3-Bed/3-Bath Type C2 ชั้น 38 ห้อง 3803 เนื้อที่ 147.00 ตร.ม. ราคา 29.85 ล้านบาท หรือ 203,093 บาท/ตร.ม.
- Fully-Fitted
- เพดานสูง 3.00 เมตรในชั้นปกติ และ 3.50 เมตรในชั้น Penthouse
- Kitchen & Sink/Hob & Hood/ตู้เสื้อผ้า/แอร์แบบ Concealed Type
- จอง 100,000 บาท
- ทำสัญญา 10% หักเงินจอง
- ค่างวดทั้งหมด 20%
- ค่ากองทุน 800 บาทต่อตารางเมตร
- ค่าส่วนกลาง 70 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน
เจาะลึกรวบยอด
โปรเจค Canapaya Residences นี้นับว่าเป็นอีกหนึ่งโปรเจคระดับ Super Luxury ครับ ในทำเลพระราม 3 กับราคาระดับ 160,000-200,000++ บาทต่อตารางเมตร ซึ่งโปรเจคแบบนี้ไม่ใช่ว่าจะมีให้เห็นกันบ่อยๆ มีโครงการระดับเดียวกัน ลักษณะเดียวกันอยู่ไม่กี่ตึกเท่านั้นในย่านนี้ โดยแนวคิดในการก่อสร้างโปรเจคคณาพญานี้ น่าจะเริ่มมาจากตัวที่ดินก่อน ลักษณะของที่ดินในย่านนี้ที่เหมือนกันคือ หน้าติดถนนใหญ่ หลังติดแม่น้ำเจ้าพระยา ไม่ได้มีแต่โครงการ Canapaya ที่อยู่ติดแม่น้ำ โครงการอื่นก็ได้บรรยากาศริมน้ำเหมือนกัน แต่สิ่งที่แตกต่างคือ แปลงที่ดินทั่วๆไป มักจะเป็นแปลงยาวๆแบบเส้นก๋วยเตี๋ยว เนื้อที่ใหญ่ก็จริง แต่หน้าแคบ การพัฒนาโครงการส่วนใหญ่เลยออกไปในแนวที่อยู่อาศัยมากกว่า เพราะถ้าทำเป็นอสังหาฯเพื่อการพาณิชย์อาจจะได้ Exposure ที่ไม่ดีนัก แต่ที่ดินของโครงการนี้จะได้เปรียบตรงที่มีหน้ากว้างกว่าชาวบ้านเขาพอสมควร เพราะที่ดินรวมมีขนาดประมาณ 12 ไร่ ซึ่งก็จัดว่าค่อนข้างใหญ่เมื่อเทียบกับลักษณะของโปรเจคที่พัฒนาขึ้นมา
แนวคิดต่อมาทางเจ้าของโครงการเขาก็คิดว่าถ้าจะนำที่ดินทั้ง 12 ไร่มาทำคอนโดมิเนียมทั้งหมดอาจจะเสียของ จึงตัดสินใจทำเป็นโครงการแบบ Mixed-Use ทำทั้ง คอนโด-โรงแรม และ ห้างฯ รวมอยู่ในที่เดียวกันเลย เพราะถ้าดูกันตามสภาพแวดล้อมรอบๆโครงการแล้ว ยังถือว่าทำเลพระราม 3 โซนนี้ยังไม่ค่อยอุดมสมบูรณ์เท่าไหร่ ไม่เหมือนโซนที่ใกล้เซ็นทรัล สิ่งอำนวยความสะดวกพวกห้างสรรพสินค้าก็ยังมีไม่มาก และโรงแรมริมน้ำในโซนนี้ก็ยังมีไม่เยอะ ส่วนใหญ่เป็นคอนโดมากกว่า จัดว่าเป็นทำเลที่ยังรอการพัฒนาเพิ่มเติมอยู่ เมื่อรู้ว่าจะทำอะไรแล้ว ทีนี้ก็มาแบ่งสัดส่วนการพัฒนาของที่ดิน ซึ่งในแปลงที่ดินมีลำคลองสาธารณะผ่ากลางที่ดินอยู่แล้ว แบ่งที่ดินออกเป็นประมาณ 4 ไร่ และ 8 ไร่ ทางโครงการจึงใช้แนวที่ดินที่ถูกแบ่งมาแล้วเนี่ยแหละ แยกพัฒนาเป็น 2 เฟส เอาที่ดินแปลงเล็กมาทำคอนโดมิเนียม “Canapaya Residences” และที่ดินแปลงใหญ่มาทำโรงแรม และ Retail หรือ “Canapaya Riverfront” เพื่อให้ตัวห้างฯที่จะเกิดขึ้น มาสร้างความอุดมสมบูรณ์ให้กับทำเลนี้ และตัวคอนโดก็ได้ประโยชน์ในการอยู่อาศัยเพิ่มขึ้นด้วยนั่นเองครับ
ในแง่ของการเดินทางด้วยรถยนต์ ถนนพระราม 3 เป็นถนนที่ค่อนข้างอำนวยความสะดวกให้กับคนที่ขับรถเป็นหลัก ถนนกว้าง 8-10 เลน (นับรวมเลน BRT ด้วย) มีสะพานข้ามแยกเกือบทุกช่วง เป็นถนนที่มีทางเชื่อมต่อเข้ากับส่วนที่เป็น CBD ของกรุงเทพได้หลายจุด ตั้งแต่สาทร ไปยังพระราม 4 ไปยังสุขุมวิท อยู่ใกล้สะพานข้ามแม่น้ำหลายจุด ข้ามสะพานกรุงเทพไปฝั่งธน, ไปเพชรเกษม, ไปราชพฤกษ์ได้ ข้ามสะพานพระรามเก้าไปพระราม 2 ได้ ข้ามสะพานภูมิพลไปสมุทรปราการได้ และเป็นถนนที่สามารถขึ้น-ลงทางด่วนได้หลายจุด แต่ข้อเสียอย่างหนึ่งของถนนพระรามสามคือ ระยะทางของถนน ที่ถือว่ายาวพอสมควร และวิ่งอ้อม โค้งๆ เป็นรูปเกือกม้า เพราะเป็นถนนที่ตัดขนานไปกับแม่น้ำเจ้าพระยา แต่ถ้ารู้จักวิ่งโดยใช้ทางลัดต่างๆแถวนี้ ก็จะสามารถลดระยะทางได้ ส่วนเรื่องรถติดนั้นมีอยู่เหมือนกันนะครับ ใครว่าถนนพระราม 3 จะไม่มีรถติด? แต่จะเป็นการที่ติด “ต่อเนื่อง” เป็นหางแถวของชาวบ้านมากกว่าครับ ส่วนที่ติดมากๆก็คือสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งหลาย ทั้งสะพานภูมิพลและสะพานกรุงเทพ ที่เวลาเย็นๆหลังเลิกงานก็สามารถก่อปัญหาได้เหมือนกันนะ
การเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวสะดวกก็จริง แต่ถ้าในแง่ของการเดินทางโดยไม่ใช้รถ จะสะดวกน้อยกว่าพอสมควร อย่างแรกคือ ตัวโครงการไม่ได้อยู่ใกล้รถไฟฟ้า การจะใช้รถไฟฟ้าจะต้องใช้วิธีต่อรถเอา อาจจะใช้วิธีนั่งรถ BRT ไปก่อนก็ได้ หรือนั่งแท็กซี่ก็ได้ แล้วแต่สะดวก ยังดีที่โครงการมีสถานี BRT อยู่ด้านหน้าใกล้โครงการ ก็ยังโอเคหน่อย และตัวโครงการอยู่ติดถนนใหญ่อยู่แล้ว ไม่ต้องเดินเข้าซอย จะเดินออกมาเรียกรถข้างหน้าโครงการก็ทำได้สะดวก ทั้งนี้การเดินออกมาซื้อของ หรือไป minimart ใกล้ๆนั้น ทำได้ยาก เพราะรอบๆโครงการไม่ค่อยมีอะไรเลย คงต้องใช้วิธีขับรถหรือนั่งรถออกไปซื้อของแทน
การออกแบบของโครงการนี้คิดมาละเอียดตั้งแต่การวาง Master Plan เพราะมีจุดให้คิดเยอะ อย่างแรกคือการวางตัวของตึกของทั้งตัวคอนโด และโรงแรม ที่ระมัดระวังในเรื่องของการบังวิวกัน ไม่ให้โดนอาคารของที่ดินข้างๆบังวิว และไม่ให้ตึกทั้ง 2 ตึกบังวิวกันเอง และพยายามจัดให้ทุกห้องสามารถมีมุมใดมุมหนึ่งของห้องที่มองเห็นวิวแม่น้ำได้ ซึ่งตรงนี้ทำออกมาได้ดี ต่อมาคือเรื่องการวาง Landscape ของโครงการ ที่เรียกว่า Jackpot มากที่เจอคลองสาธารณะถึงสองจุด ซึ่งคลองนี้ปัญหาไม่ได้อยู่ที่กลิ่น เพราะไม่ใช่คลองที่น้ำเน่าเสียแต่เป็นน้ำเดียวกันกับแม่น้ำเจ้าพระยา น่าจะหมดกังวลเรื่องคลองเน่าเสียไปได้ แต่ปัญหาอยู่ที่การจัดการ “ทัศนียภาพ” ของตัวคลองทั้งสองนี้ คลองจุดหนึ่งอยู่ด้านข้างที่ดิน อันนี้ก็ไม่ค่อยมีปัญหาอะไรเพราะทำรั้วขึ้นมาบังสายตาไปก็จบ แต่อีกจุดหนึ่งพาดผ่านกลางที่ดิน แถมมีประตูระบายน้ำด้วย ซึ่งต้องบอกว่าโครงการฉลาดตรงที่แทนที่จะปกปิด แต่เป็นการเปิดเผยตัวคลองให้คนเห็นกันจะจะไปเลย แล้วใช้วิธีการจัด Landscape รอบๆตัวคลองขึ้นใหม่ คือลงทุนตกแต่งมันซะเลย ซึ่งตรงนี้ต้องรอดูตอนเสร็จจริง เพราะถ้าทำดีจะกลายเป็นว่าตัวคลองจะเป็น Water Feature ขนาดใหญ่ให้กับโครงการเลย ต้องรอดูกันต่อไปว่าจะเป็นอย่างไรครับ
ในเรื่องความหนาแน่นของโครงการนี้ จัดมาอย่างเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เลย จำนวนยูนิต 224 ยูนิต เทียบกับตึก 57 ชั้น ถือว่าน้อยมาก มียูนิตต่อชั้นสูงสุด 7 ยูนิต หรือในชั้นสูงๆก็จะเหลือแค่ 4-5 ยูนิตต่อชั้นเท่านั้นครับ และบางทีก็น้อยกว่านั้นเพราะมีห้อง Duplex ปะปนอยู่ด้วย ใส่ลิฟท์โดยสารเข้าไป 3 ตัว ซึ่งลำพังแค่นี้ก็น่าจะเพียงพอ เพราะอัตราส่วนลิฟท์ก็ทำได้ประมาณ 74:1 แล้ว แต่ในใจลึกๆอยากได้เพิ่มอีกซักตัว เพราะถ้าคำนึงว่าอาคารนี้สูง 57 ชั้นถ้าได้อีกตัวก็จะแจ๋วเลย แต่นี่ยังไม่ได้นับ Private Elevator สำหรับยูนิตพิเศษอีก 1 ตัว (ใช้เฉพาะ 3 ยูนิตบนยอดตึกเท่านั้น ซึ่งผมเห็นว่าไม่ควรทำแบบนี้ เอาใจห้อง Penthouse มากเกินไปหน่อยมั้ง ทั้งๆที่ห้องอื่นก็ราคาหลักสิบล้านเหมือนกัน) และ Service Elevator อีก 1 ตัวครับ
ชั้น 1 ของโครงการจัดมาเป็น Lobby แบบ Triple Volume ตัวตึกจอดรถได้ 6 ชั้น ชั้น 1-6 มีที่จอดรถรวมซ้อนคันทั้งหมด 320 ช่องจอด หรือประมาณ 140% และ Fix ที่จอดรถให้กับห้องขนาด 2 Bed ขึ้นไปด้วย ถ้าเทียบกับโครงการทั่วๆไปก็ให้มาเยอะจริงครับ แต่ถ้าถามว่าเพียงพอหรือเปล่าอันนี้ก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่ เพราะไม่รู้ว่าคนที่อยู่โครงการระดับนี้แต่ละห้องจะมีรถยนต์กี่คัน อาจจะมากกว่าหนึ่ง และบางทีก็มากกว่าสองคันด้วยนะครับ แต่ถ้ามีการดูแลการจัดการบริหารส่วนกลางดีๆก็คงจะไม่มีปัญหา ส่วนชั้นพักอาศัยของโครงการเริ่มต้นที่ชั้น 8 แปลว่าห้องพักในชั้นนี้ก็ยังสามารถ Take View ในมุมสูงได้ แต่ก็ไม่ได้สูงมาก (ลองจินตนาการถึงวิวประมาณชั้น 7-8 ของอาคาร Low Rise ทั่วๆไปละกันนะครับ) ส่วนที่เหลือก็จะมีห้องพักอาศัยขึ้นไปถึงชั้น 49 ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นโซน Private Penthouse ที่อยู่ด้านบนสุด 7 ชั้น
วัสดุในโครงการจัดมาให้แบบ Fully-Fitted ในห้องใช้อุปกรณ์มีแบรนด์เกือบหมด ห้องน้ำประกอบด้วย hansgrohe เป็นหลัก ผสม Villeroy & Boch มาด้วยนิดหน่อย ครัวและเครื่องใช้ไฟฟ้าจาก Siemens ผสมโรงด้วย HAFELE บางส่วน, พื้น Engineering Wood หน้าไม้สัก ผิวด้าน, กระเบื้องลายหิน, แอร์ระบบ Concealed Type ทั้งหมด, หลอดไฟเป็น LED Downlight, ผนังฉาบเรียบสีขาว ก็เรียกได้ว่าให้มาสมราคาค่าตัวครับ งานนี้การันตีงาน Interior Design โดย PIA Interior และมี Palmer & Turner (P&T) เป็นสถาปนิกและวิศวกร ผู้ออกแบบโครงการด้วย
สาธารณูปโภคในโครงการ ใช้วิธีแยกส่วน Facilities หลักไปไว้ที่ Club House ริมน้ำที่อยู่แยกออกมา และมี Facilities อีกส่วนหนึ่งที่ถูกนำขึ้นไปไว้ที่ชั้น 50 … การจัดแบบนี้ก็มีทั้งข้อดีข้อเสียอย่างที่กล่าวไปตอนต้น แต่เหตุผลหลักๆคือ ตัว Club House จะได้มาอยู่ใกล้แม่น้ำ นอกจากจะได้วิวแม่น้ำแล้ว คนที่ลงมาใช้ Facilities ตรงนี้ ยังมีโอกาสที่จะลงมาเดินเล่นริมน้ำด้วย และสามารถจัด Party/Event เล็กๆแยกโซนออกมาได้เลย ไม่ต้องรบกวนคนอื่นที่อยู่บนตึก ให้โซนคลับเฮาส์เป็น Active Zone และให้บนตึกเป็นโซนพักอาศัยไป ส่วนใครที่อยากว่ายน้ำชมวิวแม่น้ำเจ้าพระยาจากมุมสูง ก็ยังสามารถขึ้นไปใช้ข้างบนได้ แต่ก็มีบางคนที่เสียดาย อยากจะให้เอาฟิตเนส หรือสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆไปไว้บนยอดตึกบ้าง นอกจากนี้โครงการยังมี Facility ตัวชูโรงอีกอย่างหนึ่งคือ ท่าจอดเรือยอร์ชส่วนตัวของโครงการครับ ที่สามารถขออนุญาตก่อสร้างได้ เพราะว่าแม่น้ำเจ้าพระยาอยู่ในจุดที่กว้างพอ คาดว่าจะจอดได้สูงสุด 30 ลำ ซึ่งถ้าใครมีเรือยอร์ชแล้วกำลังหาที่จอดเรือในกรุงเทพอยู่ ก็จะมีที่ Canapaya นี่แหละ เป็นที่แรกที่จะจอดได้ เพราะเป็น Marina Yatch Club แห่งแรกในกรุงเทพมหานครครับ
สุดท้ายที่จะฝากไว้คือ Canapaya เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของคนที่สนใจในโครงการหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยา แต่การตัดสินตัวโปรเจคนี้ จะดูแค่เฉพาะตัวคอนโดมิเนียมไม่ได้ครับ ต้องคิดด้วยว่าในอนาคตข้างๆกันตัวโครงการจะสร้างห้างฯ และโรงแรมขึ้นมาไว้คู่กัน ซึ่งก็ย่อมทำให้ทำเลตรงนี้เจริญขึ้น สร้างความสะดวกให้กับตัวคอนโด แต่นั่นหมายถึงความพลุกพล่าน และการจราจรที่หนาแน่นมากขึ้นด้วยนะครับ และเรื่องราคาก็เป็นสิ่งสำคัญ Canapaya ตั้งราคาเผื่ออนาคตไปพอสมควร เมื่อเทียบกับตึกข้างเคียงอย่าง Menam Residences, The Pano หรือ U Delight Residences แต่เราก็ไม่สามารถเอามาเทียบกันตรงๆได้นะครับ เพราะเกรดของโปรเจค วัสดุ และความ Luxury นั้นต้องบอกว่า Canapaya เหนือกว่าอยู่อีกขั้นหนึ่ง และสไตล์การออกแบบของแต่ละโครงการก็แตกต่างกันด้วย แต่จะคุ้มหรือไม่คุ้ม ทางเราคงจะฟันธงให้ไม่ได้ เพราะโปรเจคลักษณะนี้มีความเป็นส่วนตัวสูง ยูนิตน้อย ทั้งมีท่าเรือยอร์ชและโรงแรมประกบ เหมาะสำหรับซื้อเก็บไว้โดยตัดสินใจความสุขและความคุ้มค่าทางอารมณ์ส่วนบุคคล ควบคู่ไปกับความคุ้มค่าทางการเงินครับ
Judgement
สำหรับโครงการในระดับ Super Luxury นี้ ทางเว็บไซต์มีความเห็นว่า การจะตัดสินใจซื้อไม่ได้มีเพียงแค่ความคุ้มค่าทางการเงินที่เป็นตัวชี้วัดเพียงอย่างเดียวครับ แต่ยังมีความคุ้มค่าทางอารมณ์, ความชอบส่วนบุคคล และปัจจัยอื่นๆที่ใช้ในการประกอบการตัดสินใจที่จะซื้อหรือไม่ซื้อโครงการนั้นๆ ดังนั้นทางทีมงานจึงเห็นว่าจะไม่มีการให้คะแนนความคุ้มค่าในโครงการลักษณะนี้ครับ
BOTTOM LINE
โครงการ Canapaya Residences เหมาะสมกับคนที่ต้องการมองหาคอนโดมิเนียมที่อยู่ติดแม่น้ำเจ้าพระยา ชอบทำเลโซนพระราม 3 เป็นทุนเดิม หรือทำงานอยู่ในโซนที่ไป-กลับจากพระราม 3 ได้สะดวก มองหาโครงการที่มีความ Private สูง ชอบวิวแม่น้ำและชอบบรรยากาศของที่อยู่อาศัยริมน้ำ และสำหรับคนบางกลุ่มที่อาจจะมีเรือยอร์ชส่วนตัวแต่กำลังหาที่จอดเรือในกรุงเทพฯ
คนที่ซื้อโครงการนี้ย่อมหวังพึ่งพิงสิ่งอำนวยความสะดวกจากตัว Mall ข้างๆโครงการที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แต่ในขณะเดียวกันต้องมี Budget สูง พร้อมที่จะจ่ายเงินระดับ 10-20 ล้านขึ้นไป เพื่อที่จะหยิบจับโครงการลักษณะนี้ครับ
ถ้าเห็นว่ารีวิวนี้มีประโยชน์ ช่วยกด LIKE ให้ผมหน่อยนะครับ จะได้มีกำลังใจทำรีวิวถัดๆไปครับ