รีวิวฉบับที่ 1890 … เปลี่ยนบรรยากาศจากกรุงเทพที่วุ่นวาย มาดูคอนโดตากอากาศริมทะเลกันบ้างนะครับ กับโครงการ Carapace หัวหิน เป็นโครงการคอนโดมิเนียมแห่งแรกจาก วันเพลสเอสเตส ที่ได้แจ้งเกิดในวงการอสังหาฯในทำเลย่านเขาเต่าที่เดินไปชายหาดได้ มีการออกแบบอาคารที่น่าสนใจ และมีพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ ที่สำคัญคือมี Product 2 แบบให้เลือก คือ Condominium และ Residence Hotel ซึ่งรายละเอียดจะเป็นอย่างไรนั้น ตามผมไปชมกันเลยครับ
ข้อมูลโครงการ
Fact @ 19 June 2019
- Carapace Huahin (คาราเพช หัวหิน)
- บริษัท วันเพลสเอสเตส จำกัด
- UPPER CLASS (อ่านรายละเอียดของ Segment คอนโดได้ที่นี่)
- โครงการตั้งอยู่ : ซอยหัวหิน 101 ถนนเพชรเกษม อำเภอหัวหิน
- ที่ดินประมาณ 9-3-98 ไร่
- คอนโด Low Rise 4 ชั้น 3 อาคาร, 7 ชั้น 2 อาคาร และ 8 ชั้น 1 อาคาร แบ่งเป็น Residence Hotel จำนวน 406 ยูนิต และ Condo จำนวน 126 ยูนิต รวม 532 ยูนิต
- ยูนิตต่อชั้นสูงสุด 21 ยูนิตที่อาคาร B2
- ที่จอดรถประมาณ 140 คันคิดเป็น 26% (รวมจอดซ้อนคันคิดเป็น 34%)
- เริ่มก่อสร้าง: ต.ค. 2019
- คาดว่าจะแล้วเสร็จ: ต.ค. 2021
- 1 Bedroom 26 – 40 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 2.19 ล้านบาท (ราคาโปรโมชั่น)
- 2 Bedrooms 54 – 56 ตร.ม.
- 1 Bedroom Pool Access 29.37 – 40.36 ตร.ม.
- 1 Bedroom Jacuzzi Terrace 28.07 – 43.53 ตร.ม.
- ฝ้าเพดานสูง 2.4 เมตร
- ราคาห้องเริ่มต้น 2.19 ล้านบาท / หรือตร.ม.ละ 84,230 บาท ( มี + เฟอร์นิเจอร์ 300,000 – 450,000 บาท สำหรับส่วนของ Investment zone หรือ Residence Hotel)
- ราคาเฉลี่ยทั้งโครงการ AVERAGE ประมาณ 117,00 บาท/ตร.ม.
- ช่วงราคาต่อตารางเมตร ต่ำสุด – สูงสุดประมาณ n/a บาท/ตร.ม.
- EIA (การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม) : อยู่ระหว่างดำเนินการ
- เวปไซต์โครงการ : คลิกที่นี่
- โทร : 086-996-6662, 086-996-6663
ทำเลที่ตั้ง
พิกัด Google Maps : 12.465813, 99.975379
หรือสามารถ : คลิกที่นี่
แผนที่จากทางโครงการครับ
โครงการ Carapace หัวหิน ตั้งอยู่ในซอยหัวหิน 101 หรือโซนย่านเขาเต่า ซึ่งจะมีบริบทที่แตกต่างจากสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ของหัวหินที่เราคุ้นเคยและได้ไปเที่ยวกันอยู่บ่อยๆ โดยส่วนใหญ่เราก็จะไปในตัวเมือง ไปชายหาดหัวหิน หรือไปชะอำ ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม มีความอุดมสมบูรณ์ และมีความคึกคักสูง แต่สำหรับโซนเขาเต่านั้นจะต่างออกไปครับ คือจะมีความเงียบสงบ เป็นส่วนตัว และไม่พุกพล่าน เหมาะแก่การมาพักผ่อนและอยู่อาศัยมากกว่า แต่ก็ต้องแลกมากับอาจอยู่ไกลจากสิ่งอำนวยความสะดวกที่มักจะอยู่ในตัวเมือง ทั้งตลาดโต้รุ่ง, เพลินวาน, Market Village, Blu’Port, Cicada หรือสวนน้ำ Vana Nava ก็จะอยู่ห่างออกไปประมาณ 10 กว่ากิโล แต่ก็เป็นทำเลต่างจังหวัดที่รถไม่ติดเหมือนในกรุงเทพ จึงทำให้การเดินทางไปใช้งานไม่ยากครับ ขับรถ 15 – 20 นาทีก็ถึงแล้ว รวมถึงบริเวณเขาเต่านี้ก็จะมีร้านอาหารอร่อยๆอยู่หลายร้านเลยทีเดียว เช่น SKen’s bed&bistro, Smile Khao Tao และ GUSTO ET COSY Beach Restaurant เป็นต้น
สำหรับการเดินทางเราสามารถใช้ถนนเพชรเกษมวิ่งตรงมาจากกรุงเทพได้เลย โดยผมจะเริ่มต้นจากห้าง Blu’Port ก็ให้ขับตรงต่อมาอีกประมาณ 10 km. แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ซอยหัวหิน 101 ขับเข้ามาอีกประมาณ 300 m. ก็จะเจอกับที่ตั้งโครงการอยู่ทางซ้ายมือครับ
จากภาพจะเห็นห้าง Blu’Port ตั้งอยู่ถนนฝั่งตรงข้ามทางขวามือ เป็นห้างขนาดใหญ่ที่ภายในมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน สามารถแวะมาช้อปปิ้งหรือทานอาหารกันได้นะครับ โดยจากตรงนี้ก็ให้เราขับตรงต่อไปบนถนนเพชรเกษม มุ่งหน้าไปทางปราณบุรีครับ
ขับตรงมาสักพัก ให้สังเกตป้ายบอกทางไปประจวบคีรีขันธ์ ก็ให้เตรียมชิดขวาเพื่อขึ้นสะพานได้เลย
และเมื่อเราลงจากสะพาน ให้สังเกตป้ายบอกทางไปประจวบคีรีขันธ์ – ปราณบุรี ก็ให้เราขับตรงต่อไปเรื่อยๆได้เลยครับ
เมื่อขับมาเรื่อยๆ เราจะเห็นป้ายบอกทางไป บ.เขาเต่า ก็ให้เราเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ซอยหัวหิน 101 ซึ่งเป็นซอยขนาดใหญ่ สังเกตได้ไม่ยากครับ
ขับตรงเข้ามาเรื่อยๆ ผ่านทางรถไฟมาหน่อย ก็จะเจอกับที่ตั้งโครงการอยู่ทางซ้ายมือ ซึ่งมีการล้อมรั้วและติดป้ายต่างๆเอาไว้ให้สังเกตได้ชัดเจนครับ เพียงแต่ทางด้านซ้ายของโครงการ (ซ้ายในภาพ) จะเป็นที่ตั้งของ Sale Gallery เก่า ซึ่งตอนนี้เค้าย้ายไปอยู่ในพื้นที่โครงการด้านหลัง ติดริมทะเลแล้วครับ ซึ่งก็ให้เราขับเลยจุดนี้เพื่อไปเข้าซอยด้านขวาของโครงการครับ
เมื่อขับเลียบรั้วเมทัลชีทมีเรื่อยๆจนสุด ก็จะเจอกับซอยทางซ้ายมือ ให้เราเลี้ยวซ้ายเข้าไปได้เลยครับ ขับตรงไปจนสุดทางเรื่อยๆ ก็จะเจอกับ รปภ. และที่จอดรถทางด้านในนะ
ก่อนจะไปดูสถานที่จริงเรามาดูบริบทโดยรอบโครงการกันหน่อยครับ ซึ่งส่วนใหญ่เราก็จะเห็นว่ามีคอนโดมิเนียมหลายโครงการเกิดขึ้นในบริเวณนี้อยู่พอสมควรเลย แต่ก็ยังมีที่ว่างและพื้นที่สีเขียวอยู่อีกมาก โดยเฉพาะรอบๆโครงการ ที่สำคัญคืออยู่ใกล้กับชายหาดมากๆอีกด้วย สามารถสรุปได้ดังนี้
- ทิศเหนือ : ติดกับพื้นที่ว่าง ถัดไปเป็นคอนโดสูง 4 – 7 ชั้น
- ทิศใต้ : เป็นทางเข้าหลักโครงการ ติดกับถนนสาธารณะ ที่ว่าง และคอนโดสูง 4 – 7 ชั้น
- ทิศตะวันออก : ชายหาดเขาเต่า และทะเล
- ทิศตะวันตก : ติดกับซอยหัวหิน 101 เป็นบริเวณด้านหน้าโครงการ ฝั่งตรงข้ามเป็นชุมชนพักอาศัย
มาเดินดูของจริงกันเลยครับ เริ่มต้นที่ด้านหน้าโครงการ ขวามือจะเป็นถนนสาธารณะที่เราจะต้องขับรถเข้าไปยัง Sale Gallery ด้านใน และเป็นทางเข้าหลักของโครงการอีกด้วย
ฝั่งตรงข้ามกับโครงการเป็นชุมชนที่พักอาศัยของย่านนี้ครับ
เราจะเดินไปดูทางซ้ายของโครงการกันก่อนนะ ซึ่งติดกับรั้วโครงการจะเป็นที่ว่างครับ
ส่วนฝั่งตรงข้ามจะมีร้านอาหารไว้นั่งชิลๆได้นะ
เดินต่อมาอีกก็จะเจอกับทางรถไฟที่เราเห็นกันไปแล้วตอนขับรถมา แต่ผมจะพาเดินไปดูตรงปากซอยกันสักหน่อยนะว่ามีอะไรบ้าง
ข้ามทางรถไฟมาหน่อยก็จะเจอกับร้านอาหารทางซ้ายมือครับ เป็นพวกอาหารตามสั่ง ข้าวขาหมู ข้าวมันไก่ หรือบะหมี่ก็มี
ตรงมาอีกนิดก็จะเจอกับเซเว่นอยู่หน้าปากซอยเลยครับ ซึ่งตรงจุดนี้ถ้าวัดจากขอบเขตที่ดินโครงการ (ไม่ใช่ตรงประตูทางเข้านะครับ) จะมีระยะทางประมาณ 300 m. ครับ
ย้อนกลับมาด้านหน้าโครงการกันอีกครั้ง โดยถ้าเราตรงต่อไปก็จะสามารถไปยังอ่างเก็บน้ำเขาเต่า และวัดถ้ำเขาเต่าได้ครับ แต่ถ้าจะไป Sale Gallery หรือทางเข้าหลักของโครงการ ก็ต้องเลี้ยวซ้ายตรงนี้ ซึ่งถนนด้านข้างนี้เป็นถนนสาธารณะนะ แต่ทางโครงการก็ได้มีการปรับภูมิทัศน์ให้มีความสวยงามมากยิ่งขึ้นครับ
โดยซอยนี้จะใช้งานร่วมกับโครงการเพื่อนบ้านอย่าง บ้านนับคลื่น ที่อยู่ทางขวามือครับ แต่ทางเข้าหลักของโครงการจะอยู่ทางซ้ายมือ มี 2 ประตู และ Sale Gallery หรือทะเลก็จะต้องขับตรงไปจนสุดทางเลยครับ
เมื่อเข้ามาด้านในก็จะมีที่จอดรถให้สามารถจอดได้ตรงนี้ จากนั้นให้เราเดินต่อไปยัง Sale Gallery ในอาคารที่เห็นด้านหน้านี้ได้ครับ
ระหว่างทางก็จะมีวงเวียนมาให้แบบนี้ ไว้สำหรับใช้วนรถกลับ หรือรับส่งคนที่อยู่ด้านในได้จากตรงนี้ จะได้สะดวกมากยิ่งขึ้นครับ
ทางเดินไปยัง Sale Gallery สามารถเดินได้จากทางเดินในสวนด้านซ้ายของอาคาร ซึ่งทำให้ได้บรรยากาศที่ผ่อนคลายสไตล์รีสอร์ท และเป็นธรรมชาติดีครับ โดยอาคารที่ว่านี้เรียกว่า Beach Club ไม่ใช่ Facilities ของโครงการนะครับ แต่เป็นพื้นที่ร้านอาหารและร้านกาแฟ ซึ่งเจ้าของก็คือวันเพลสเอสเตส เจ้าเดียวกับที่ทำโครงการนี้นี่แหละครับ โดยทำขึ้นเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกแก่ลูกบ้าน ให้สามารถมารับประทานอาหาร หรือจิบชา จิบกาแฟริมทะเลได้แบบนี้นั่นเอง
เมื่อเดินมาจนสุดอาคารแล้วเลี้ยวขวาจะเป็นทางเข้าร้านกาแฟ Caraspace ซึ่งปัจจุบันเค้าใช้เป็น Sale Gallery อยู่นะ แต่ก่อนจะเข้าไปด้านใน ผมจะพาเดินดูรอบๆต่ออีกสักหน่อยครับ
บริเวณด้านหน้ามีที่นั่งให้หลายจุดเลย โดยแบบนี้จะเป็นนั่งทานอาหาร หรือเครื่องดื่มแบบจริงจังใต้ร่มได้ และมีที่นั่งเล่นยาวไปจนถึงสระว่ายน้ำ
โดยสระว่ายน้ำนี้คนที่จะมาใช้งานส่วนนี้จะต้องเป็นลูกค้าร้านกาแฟหรือร้านอาหารของ Beach Club เท่านั้นนะครับ คือถ้าสั่งอาหารหรือเครื่องดื่มก็จะสามารถลงสระ หรือนั่งเล่นตามจุดต่างๆเหล่านี้ได้เลย ว่ายน้ำไปชมวิวทะเลไปชิลมากๆ มีทั้ง Sunken ทางด้านซ้าย และชิงช้าบนผิวน้ำตื้นทางด้านขวาให้เลือกนั่งเล่นกันได้ตามอัธยาศัยครับ
และด้านข้างของสระก็จะมีทางเดินไปสู่ชายหาดด้วยครับ
ที่ปลายสระยังมี Day Bed ให้นั่งหรือนอนชมวิวได้แบบใกล้ชิดเต็มๆแบบนี้เลยนะ
ชายหาดเขาเต่านี้ค่อนข้างสะอาดและเงียบสงบ คนไม่ค่อยพลุกพล่าน จึงทำให้มีความเป็นส่วนตัวค่อนข้างสูงนะ อีกทั้งยังสามารถลงเล่นน้ำทะเลได้ เพราะหาดจะค่อยๆลาดลงไปเรื่อยๆแบบนี้
มองย้อนกลับมาดูยังโครงการสักหน่อย มีการยกระดับขึ้นไปค่อนข้างสูงจากชายหาด เวลาน้ำขึ้นก็จะสูงอยู่แค่ขอบบันไดพอดีครับ
ด้านซ้ายนี้สามารถเดินไปได้ไกลจนสุดถึงวัดถ้ำเขาเต่าเลยทีเดียวครับ
ส่วนทางด้านขวาก็สามารถเดินไปได้จนถึงวัดเขาตะเกียบโน่นเลยนะ
แต่ใกล้ๆกับโครงการทางขวานี้จะมีร้านอาหารชื่อ GUSTO ET COSY Beach Restaurant ของ Blue Sky Resort สามารถเดินมาใช้บริการกันได้ง่ายๆครับ
กลับมาที่ Sale Gallery กันดีกว่าครับ ภายในอย่างที่บอกว่าความจริงแล้วส่วนนี้จะเป็นร้านกาแฟนะ ซึ่งด้านในมีการ Built เป็นห้องตัวอย่างชั่วคราวไว้ 2 ห้อง แต่พอโครงการขายหมดหรือก่อสร้างแล้วเสร็จ ก็จะรื้อห้องตัวอย่างออก และทำเป็นพื้นที่ร้านค้าต่อไปครับ ตกแต่งได้สวยดีนะผมว่า
ร้านกาแฟนี้ชื่อว่า Caraspace ครับ ชื่อคล้ายโครงการเลยครับ แค่เติมตัว s เข้ามาหน่อย ซึ่งของที่เค้าแนะนำมาก็คือ Coconut cake และ Sea Salt Caramel Macchiato ส่วนตัวคิดว่าอร่อยเลยทีเดียวแหละ กาแฟไม่หวานจนเกินไป เค้กก็นุ่นและหอมดีครับ ถ้าใครอยากชิมบ้างก็สามารถแวะมาชมโครงการกันได้นะ
สถานที่สำคัญใกล้เคียงต่างๆ เช่น
- วัดถ้ำเขาเต่า ~ 1.3 km.
- สถานีรถไฟชุมทางเขาเต่า ~ 1.8 km.
- มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ~ 2.8 km.
- สวนสนประดิพัทธ์ ~ 4.5 km.
- อุทยานราชภักดิ์ ~ 6 km.
- เขาตะเกียบ ~ 8 km.
- สวนน้ำ Vana nava ~ 8.2 km.
- โรงพยาบาลกรุงเทพหัวหิน ~ 10.8 km.
- Cicada Market ~ 11 km.
- Blu’Port ~ 11.1 km.
- Market Village ~ 12.5 km.
- ตลาดโต้รุ่งหัวหิน ~ 12.9 km.
- เพลินวาน ~ 15.8 km.
รายละเอียดโครงการ
โครงการ Carapace หัวหิน เป็นคอนโดมิเนียม Low Rise จำนวน 6 อาคาร และมีการแบ่งโซนพื้นที่ออกเป็นหลายส่วน แต่ก่อนอื่นผมอยากให้สังเกต คือลักษณะของความสูงอาคารแต่ละหลังจะไล่ระดับกันอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเป็นไปตามข้อกฏหมายของการก่อสร้างอาคารที่ใกล้กับทะเลหรือแหล่งน้ำนั่นเองครับ
โดยผมได้ทำสรุปออกมาให้เข้าใจกันได้ง่ายๆตามภาพ ซึ่งโซนสีแดงที่อยู่ใกล้กับทะเลและชายหาดมากที่สุด ระยะไม่เกิน 50 m. จากแนวชายฝั่ง จะสร้างอาคารสูงได้ไม่เกิน 6 m. หรือก็คืออาคารสูง 1 – 2 ชั้น รวมถึงต้องมีพื้นที่ว่างร้อยละ 75 ของที่ดินที่ขออนุญาติก่อสร้างอีกด้วย ซึ่งทางโครงการก็ได้ทำเป็น Beach Club ซึ่งได้พาไปดูในตอนแรกครับ
ถัดมาบริเวณสีม่วง ระยะ 150 m. นับจากเขตที่พื้นที่แดงเข้ามา จะสามารถสร้างอาคารสูงได้ไม่เกิน 12 m. หรือก็คืออาคารสูง 4 ชั้น และต้องมีพื้นที่ว่างร้อยละ 50 ของที่ดินครับ สุดท้ายคือบริเวณสีเขียว ระยะ 400 m. นับจากเขตพื้นที่สีม่วง จะสามารถสร้างอาคารสูงได้ไม่เกิน 23 m. และต้องมีพื้นที่ว่างร้อยละ 30 ของที่ดิน
สรุปแล้วนอกจากโครงการแต่ละโซนจะถูกจำกัดเรื่องความสูงแล้ว ยังถูกกำหนดในเรื่องของพื้นที่ว่างอีกด้วย ดังนั้นยิ่งใกล้ทะเลมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งสร้างได้น้อยชั้นลง แต่จะมีพื้นที่ส่วนกลางหรือสีเขียวเยอะ และมีความหนาแน่นน้อยกว่าครับ กลับกันถ้าอยู่ห่างจากทะเลมากเท่าไหร่ ก็จะทำให้สร้างอาคารได้สูงมากขึ้น แต่จะมีพื้นที่ส่วนกลางหรือพื้นที่สีเขียวน้อยลงไปบ้างครับ
มาเจาะลึกเรื่องการแบ่งพื้นที่ของโครงการนี้กันบ้างครับ โดยพื้นที่โครงการ 9-3-98 ไร่ นั้นเป็นพื้นที่ในส่วนของ Residence Hotel (สีแดง) และ Residence (สีฟ้า) ทั้ง 2 โซน ซึ่งจะมีแนวรั้วกั้นแยกออกจากกัน และแยกนิติกันครับ ถัดมาจะเป็นพื้นที่สวนสาธารณะ (สีเหลือง) ซึ่งเป็นที่ดินของเทศบาลหัวหิน โดยทางโครงการได้ขออนุญาตเข้ามาพัฒนาปรับภูมิทัศน์ให้ ซึ่งที่จริงแล้วพื้นที่ส่วนนี้คนภายนอกก็สามารถมาใช้งานได้นะครับเพราะเป็นของสาธารณะ และยังเป็นสวนขนาดใหญ่ที่มีความยาวต่อเนื่องมาจากในโครงการ แต่เนื่องจากต้องเข้าซอยมาทำให้ปกติไม่มีคนภายนอกเข้ามาใช้งานกันนัก จึงยังคงได้ความเป็นส่วนตัวอยู่ครับ
และส่วนสุดท้ายคือพื้นที่สีส้ม เป็นพื้นที่ของวันเพลสเอสเตสหรือเจ้าของโครงการนั่นเอง เป็นที่ดินส่วนบุคคลที่เค้าได้พัฒนาเป็นพื้นที่ร้านอาหารริมทะเล ให้ลูกบ้านและบุคคลภายนอกสามารถมาใช้บริการกันได้ครับ ไม่ได้เป็นพื้นที่ส่วนกลางของโครงการแต่อย่างใดนะ แต่ก็ถือเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างหนึ่งที่ใกล้โครงการมากที่สุดนั่นเอง และใช้เป็นเส้นทางให้ลูกบ้านเดินไปชายทะเลได้อีกด้วย
จากภาพนี้ทำให้เราสามารถสรุปได้ว่า โครงการ Carapace หัวหิน ไม่ได้มีที่ดินติดกับชายหาดเลยซะทีเดียวนะครับ เพราะขอบเขตที่ดินของโครงการที่แท้จริงจะสิ้นสุดแค่โซนสีฟ้าของ Residence เท่านั้น แต่ก็สามารถเดินมายังชายหาดได้ไม่ยาก ผมวัดระยะคร่าวๆจากตึก B3 ที่อยู่ด้านหน้าสุดให้แล้วครับ อยู่ห่างจากชายหาดประมาณ 300 m. ซึ่งก็ยังถือว่าเป็นระยะที่เดินได้สบายๆเลยครับ แต่สิ่งที่ต้องระวังหน่อยคือเรื่องการใช้งาน วิธีการเดินผ่านโครงการในแต่ละส่วน เช่น คนที่มาพักที่โรงแรมด้านหน้าเป็นบุคคลภายนอกที่มาท่องเที่ยวชั่วคราว ถ้าเค้าต้องการมายังร้านอาหารริมทะเล หรืออยากจะเดินมาที่ชายหาด เค้าก็จะต้องเดินผ่านโซน Residence ซึ่งความจริงไม่ใช่พื้นที่ public จึงทำให้โครงการในส่วนนี้ขาดความเป็นส่วนตัวไปได้ครับ
ส่วนจุดที่ผมชอบคือลักษณะการวางผังและการออกแบบของแต่ละอาคาร ที่พยายามบิดให้ห้องทุกห้องหันระเบียงออกมาทางทิศของทะเล เพื่อ take view สวยๆได้ครับ และไม่มีห้องไหนเลยที่หันหน้าไปทางทิศตะวันตก เพราะทิศทางของทะเลก็เป็นทิศตะวันออก หมดกังวลเรื่องแดดร้อนส่องเข้ามาในห้องได้เลยครับ อีกทั้งยังออกแบบส่วนกลางระหว่างอาคารให้มีความยาวต่อเนื่องกัน ซึ่งถ้ามองวิวจากบนห้องลงมาแล้ว ก็จะทำให้มองเห็นเป็นพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่เชื่อมต่อกันเลยทีเดียวครับ
อย่างที่ผมได้เกริ่นไปแล้วก่อนหน้านี้ว่า ลักษณะ Product ของโครงการจะมีอยู่ 2 แบบ คือโซน Residence ซึ่งเป็นคอนโดนิเนียมเพื่อการอยู่อาศัย กับโซน Residence Hotel เน้นซื้อเพื่อการลงทุน ซึ่งจะแตกต่างกับคอนโดอยู่อาศัยโดยทั่วไปอย่างสิ้นเชิงนะครับ โดยโครงการนี้จะมี Best Western Plus เข้ามาดูแลบริหารจัดการในส่วนของโรงแรมให้ระยะเวลา 15 ปี รวมถึงมีการันตี yield ให้อีก 5% ใน 5 ปีแรกครับ และถือเป็นโรงแรมระดับ 4 ดาว แห่งแรกในเขาเต่าอีกด้วย (ปกติมีแค่ 3 ดาวครับ)
ซึ่งในระหว่างช่วงการันตี yield 5 ปีนี้ จะสามารถเปลี่ยนมือหรือซื้อขายห้องได้ตามปกตินะครับ แต่ % yield ที่การันตีจะคิดเท่าเดิมตามราคามือแรกที่ซื้อกับทางโครงการ และผู้ซื้อรายใหม่ก็จะต้องนับเวลาต่อจากรายแรกจนครบกำหนด 5 ปี ตามเดิมครับ หลังจากนั้นอีก 10 ปี จะจ่ายตามผลประกอบการจริงของโรงแรมทั้งโครงการ หลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้ว (คิดจาก best on ราคาต้นทุนของแต่ละห้องที่ไม่เท่ากัน) และแบ่งจ่ายเป็นเงินก้อนเป็น Quarter (1 ปี 4 ครั้ง)
โดยที่เจ้าของมีสิทธิ์เข้าพักอาศัยได้ปีละ 15 วัน แบ่งเป็น จ. – พฤ. = 10 วัน และ ศ. – อา. = 5 วัน ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์ ที่จะไม่ได้เข้าพักนะครับ เพราะเป็นช่วงที่จะมีคนเข้าพักที่โรงแรมเยอะ แต่ถ้ายังยืนยันที่จะพัก หรือเกินโควต้า 15 วันไปแล้ว ก็จะสามารถจ่ายเงินเพิ่มได้ในราคาสมาชิกพิเศษครับ
ข้อดีของระบบนี้สำหรับนักลงทุนคือ จะมีทีมบริการดูแลผู้เช่า และเลือกผู้เช่าให้ ในจำนวนที่เหมาะสม และหลังจากพักอาศัยเสร็จก็จะมีการดูแลความสะอาดห้องให้ รวมถึงถ้ามีอะไรเสียหาย ทาง Best Western Plus ก็จะรับผิดชอบซ่อมแซมให้ทั้งหมดอีกด้วย (ซึ่งก็หักจากผลประกอบการของทั้งโครงการนั่นแหละครับ) ส่วนที่เหลือจะเป็น Net Profit ที่เจ้าของห้องจะได้รับแบบเต็มๆ
โซนแรก Residence Hotel จะตั้งอยู่ทางด้านหน้าติดกับถนนซอยหัวหิน 101 แต่ทางเข้าจะไม่ได้อยู่ตรงด้านหน้าถนนเลยนะครับ จะต้องเข้ามาในซอยย่อยที่อยู่ข้างๆซะก่อน นั่นเป็นเพราะว่าถนนหน้าโครงการเป็นทางโค้งพอดี การทำทางเข้า-ออก บริเวณนี้จึงค่อนข้างอันตรายครับ และการเข้าซอยย่อยมาก่อนก็ยังทำให้รู้สึกเป็นส่วนตัวดีกว่าอีกด้วยนะ
เมื่อผ่านซุ้มประตูเข้ามาจะมีทางเดินรถมาทางซ้ายให้สามารถวนมารับ-ส่งคนที่จุด Drop off หน้าตึก B3 ได้ เพียงแต่จากแปลนจะไม่เห็นวงเวียนหรือจุดให้วนรถได้บริเวณ Drop off เลยครับ ทำให้อาจต้องขับรถเข้าไปวนด้านในแทนซึ่งก็จะไม่สะดวกซักเท่าไหร่ และจะมีที่จอดรถกลางแจ้งอยู่ระหว่างทางด้วยครับ หรือถ้าใครไม่อยากจอดรถตากแดด เค้าก็มีที่จอดรถใต้ดินให้นะ ซึ่งจะต้องอ้อมไปเข้าด้านหลังอาคาร B3 ครับ
โดยชั้นแรกของอาคาร B3 จะเป็นส่วนต้อนรับของโรงแรมทั้งหมด ห้องพักอาศัยจะเริ่มตั้งแต่ชั้น 2 ขึ้นไป ในขณะที่อาคารอื่นๆ จะมีชั้นพักอาศัยเริ่มตั้งแต่ชั้น 1 เลยครับ โดยทุกอาคารจะโอบล้อมพื้นที่ส่วนกลางเอาไว้ หลักๆคือสระว่ายน้ำ และจุดเด่นคือ Waterpark ซึ่งจะมีเครื่องเล่นทางน้ำของเด็กๆเตรียมเอาไว้ให้เยอะเลย ส่วนผู้ใหญ่ก็ว่ายน้ำหรือนอนพักผ่อนที่ Day Bed ริมสระได้นะ แต่ที่ผมชอบคือทางเดินลักษณะ free from ที่ตัดผ่านสระว่ายน้ำและ Waterpark ซึ่งมันจะทำให้คุณได้สัมผัสบรรยากาศที่ทางโครงการตั้งใจจัดมาให้ได้เต็มที่เลยทีเดียว
มาดูโมเดลกันสักหน่อยนะครับ ทางเข้าของโครงการจะมีซุ้มประตูอยู่ด้วย ซึ่งลักษณะก็จะล้อไปกับ facade ของอาคารด้านหน้า ดูสวยงามและแปลกตาดีครับ และที่สังเกตุได้เพิ่มเติมอีกอย่างคือ บริเวณจุด Drop off จะมีหลังคาขนาดใหญ่ยื่นมาคลุมทั้งหมด ทำให้เวลารับ-ส่งคนก็จะไม่ร้อนและไม่เปียกฝนอีกด้วยครับ
ภาพจำลองภายนอกอาคาร โดย facade ด้านหน้ามีลักษณะหยักโค้งและไม่สม่ำเสมอ เป็นการออกแบบที่เลียนแบบความเป็นธรรมชาติ คล้ายกับคลื่นน้ำทะเลหรือภูเขา และมีถ้ำอยู่ข้างล่าง ซึ่งก็เข้ากับบริบทและทำเลโดยรอบที่รายล้อมไปด้วยธรรมชาติของเขาเต่าแบบนี้ครับ
ส่วนซุ้มประตูทางเข้าโครงการ ก็จะสไตล์เรียบๆ แต่ใช้วัสดุเดียวกับ facade และรั้วโครงการ ซึ่งเป็นไม้ที่ดูเป็นธรรมชาติครับ
ในโมเดลเราจะสามารถเห็นห้องกระจกขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหลังอาคาร B3 ได้ด้วยครับ ซึ่งจริงๆแล้วมันคือกระจกของโถง Lobby ด้านล่าง ที่เป็นกระจก Full Height และเป็นพื้นที่แบบฝ้าเพดานสูงรวมกันถึง 3 ชั้น สามารถเดินบันไดขึ้นมาที่ชั้นห้องประชุมสัมมนาได้ และพื้นที่ส่วนกลางตรงกลางตึก ซึ่งประกอบไปด้วยสระว่ายน้ำและ Waterpark กับทางเดินที่ริมสระจะปลูกต้นไม้เอาไว้โดยรอบ ให้บรรยากาศสไตล์รีสอร์ท พร้อมกับซุ้มเล็กๆ แยกเป็นหลายๆจุด ซึ่งทำเป็น Sunken ลึกลงไปในสระว่ายน้ำไว้นั่งเล่นริมสระได้ โดยวิวจากภาพที่ 2 ที่ผมถ่ายคือมุมมองจากห้องพักในอาคาร B3 ซึ่งจะสามารถมองพื้นที่ส่วนกลางได้ยาวต่อเนื่องไปจนถึงโซนคอนโดมิเนียมด้านในได้เลยครับ เผลอๆอาจเห็นทะเลได้ด้วยนะ
ภาพบรรยากาศจำลองบริเวณรอบสระว่ายน้ำและ Waterpark จะเห็นว่ามีเครื่องเล่นอยู่ค่อนข้างเยอะทีเดียว มีที่ให้เด็กๆได้ปีนป่ายและเล่นสไลด์เดอร์กันได้สนุกสนาน ซึ่งฟังก์ชันในส่วนนี้ทางคอนโดที่อยู่อีกโซนจะไม่มีนะครับ และถ้าถามว่าแล้วคนที่ซื้อเป็นคอนโดจะมาใช้ facilities ในส่วนของโรงแรมนี้ได้มั๊ย เบื้องต้นทางโครงการได้ให้ข้อมูลมาว่าจะแจกเป็นคูปองมาให้ครับ ซึ่งจะใช้ได้ตามจำนวนครั้งที่ให้ไปนั้นๆ ถ้าไม่มีคูปองแล้วก็จะต้องเสียค่าใช้บริการตามปกตินะ
แถมอีกมุมหนึ่งซึ่งเป็นวิวที่ห้องของอาคาร B1 และ B2 ที่อยู่ริมอาคารฝั่งนี้จะสามารถมองเห็นได้ครับ โดยห้องอื่นๆจะเป็นการมองมาที่ด้านในโครงการ และมองเห็นสระว่ายน้ำได้ แต่สำหรับชั้น 5 ขึ้นมานั้น คุณจะสามารถมองเห็น roof top ของอาคารโซนคอนโดที่เตี้ยกว่าได้ เพราะอาคารทั้ง 3 หลังนั้นจะสูงแค่ 4 ชั้นเท่านั้น และ roof top นี้ทางโครงการบอกว่าจะปูหญ้าเทียมให้แบบในโมเดลเลยครับ ทำให้เวลามองวิวมาจากชั้นที่สูงกว่าก็จะเห็นเป็นพื้นที่สีเขียว ดูกลมกลืนไปสภาพแวดล้อมโดยรอบทำให้ดูเนียนๆตาไปได้ ช่วยลดการสะท้อนของแสงที่จะสะท้อนกับพื้นปูนมาเข้าในห้อง และยังช่วยลดความร้อนให้กับชั้น 4 ของอาคาร A ทั้ง 3 ได้อีกเล็กน้อยด้วย ที่สำคัญคือห้องที่อยู่ริมสุดนี้ยังอาจสามารถมองข้ามอาคารต่างๆเหล่านี้ไป เพื่อ take view ทะเลได้อีกด้วยนะ
แปลนชั้น 1 อาคาร B3 ทั้งหมดจะเป็นส่วนต้อนรับของโรงแรมครับ เข้ามาจาก Drop off จะเป็น Hall ที่ทำหน้าที่แจกไปยังส่วนต่างๆ โดยทางด้านซ้ายจะเป็นห้องอาหารขนาดใหญ่ ถ้าเดินตรงเข้ามาด้านในตรงกลางจะมีบันไดให้ขึ้นไปยังห้องประชุมสัมมนาชั้น 2 ได้ครับ ส่วนทางขวามือจะเป็น Main Lobby พร้อม Reception ไว้คอยบริการ ซึ่งตรงโถง Lobby ตรงนี้สามารถเดินเชื่อมต่อออกมายังส่วนกลางตรงกลางโครงการได้อีกด้วยนะ ถัดเข้ามาทางด้านขวาอีกก็จะมีโถงลิฟต์สำหรับขึ้นห้องพักชั้นบน ส่วนห้องใหญ่ๆตรงหัวมุมขวาบนคือร้านอาหารและร้านกาแฟครับ
ขึ้นมาที่ชั้น 2 ห้องพักอาศัยจะเริ่มที่ชั้นนี้นะ โดยครึ่งหนึ่งจะเป็นพื้นที่ Double Space ของชั้น Lobby ทำให้ห้องพักชั้นนี้มีจำนวนยูนิตที่น้อยมากเพียง 14 ยูนิตเท่านั้น ซึ่งโถงลิฟต์ก็จะอยู่บริเวณหัวมุมตรงกลางพอดี ระยะเดินเท่ากันทั้ง 2 ฝั่งครับ
ถัดขึ้นมาที่ชั้น 3 จะเห็นว่าด้านซ้ายมีห้องประชุมสัมมนาขนาดใหญ่เพิ่มเข้ามา โดยด้านขวาก็ยังคงเป็นห้องพักอาศัยเช่นเดิม แต่จุดที่น่าสนใจคือมีการเว้นช่องว่างของผนังระหว่างห้องน้ำของประชุมสัมมนาและห้องพักอาศัย ทำให้ช่วยลดเสียงที่อาจดังรบกวนได้ครับ สำหรับห้องประชุมสัมมนานี้จะต้องเดินขึ้นบันไดมาจาก Hall ด้านล่างเท่านั้นนะ ไม่สามารถเดินเชื่อมต่อกับชั้นพักอาศัยได้ครับ ถือว่ามีความเป็นสัดส่วนดีเลย
ภาพจำลองบรรยากาศภายในโรงแรม แต่ละห้องและแต่ละฟังก์ชันจะใช้โทนสีที่แตกต่างกันออกไป มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ดูสวยงามไปอีกแบบครับ อย่าง Lobby เน้นสีทาว เทา ดำ เพื่อให้ดูเรียบหรูและสะอาดตา ห้องประชุมสัมมนาจะใช้โทนน้ำเงิน ซึ่งเย็นตาและรู้สึกสดชื่นเหมือนอยู่ใต้น้ำ และห้องอาหารกับร้านอาหารจะใช้สีโทนร้อน ทำให้รู้สึกสนุกสนาน เจริญอาหาร และสดใสครับ
แปลนชั้น 4 จะยังคงเหมือนชั้น 3 นะครับ เพราะห้องประชุมสัมมนาจะเป็นห้องฝ้าเพดานสูงแบบ Double Space และแน่นอนว่ามีการเว้นช่องว่างของผนังให้เช่นเดิมเลย
แปลนชั้น 6 – 8 จะเป็นชั้นพักอาศัยเต็มจำนวนจริงๆ โดยมีห้องพักทั้งหมด 19 ยูนิต และถ้าสังเกตดีๆ ห้องทางปีกซ้ายจะได้โถงทางเดินแบบ Single corridor ทำให้มีความเป็นส่วนตัว และอย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้แล้วว่าโครงการนี้ไม่มีห้องที่หันหน้ามาทางทิศตะวันตกเลยครับ ทุกห้องเน้น take view ส่วนกลางและวิวทะเลทางทิศตะวันออกทั้งหมดเลย
อาคาร B2 ต่างจากอาคารแรกเมื่อสักครู่ตรงที่ห้องพักอาศัยจะเริ่มต้นตั้งแต่ชั้น 1 และวางแนวอาคารขนานไปกับส่วนกลางอย่างสวนและสระว่ายน้ำ จึงทำให้ห้องพักชั้นล่างนี้มีห้อง type พิเศษอย่าง Pool Access และ Jaccuzi Terrace ครับ โดยจำนวนห้องพักอาศัยของชั้นนี้จะมีทั้งหมด 23 ยูนิต และวางโถงลิฟต์เอาไว้ฝั่งซ้ายแค่ด้านเดียว ทำให้ห้องที่อยู่ริมขวาอาจจะต้องเดินไกลสักหน่อยนะ ส่วนเรื่องการเข้า-ออก ของทุกอาคารจะต้องใช้ Key Card Access ทั้งหมด เพื่อความปลอดภัยและเป็นส่วนตัวครับ
ความแตกต่างของห้องทั้ง 2 type นอกจากฟังก์ชันแล้วคือเรื่องความเป็นส่วนตัวครับ ถ้าคุณชอบว่ายน้ำ ปาร์ตี้สังสรรค์ริมสระ หรือชอบเข้าสังคม และไม่ซีเรียสเรื่องเสียงรบกวนที่มาจากการใช้งานพื้นที่ส่วนกลางของคนหลายๆคน ก็สามารถเลือก Pool Access ได้ เพราะห้องนี้จะหันหน้าเข้าหาส่วนกลางที่ทุกคนจะต้องมาใช้งานร่วมกัน แต่กลับกันห้อง Jaccuzi Terrace จะหันหน้าออกไปด้านนอกโครงการ มีระเบียงขนาดใหญ่ที่กั้นด้วยรั้วต้นไม้ทรงสูง จึงได้ความเป็นส่วนตัวมากกว่าครับ
(ปล.สำหรับตำแหน่งห้องในผังที่เห็น + ขนาดพื้นที่สีแดงๆเสริม จะเป็นพื้นที่ใช้สอยตรงระเบียงที่ไม่ได้อยู่ในโฉนดของห้องนะครับ แน่นอนว่าไม่ได้รวมอยู่ในราคาห้องด้วย แต่ห้องนั้นๆจะสามารถใช้สอยพื้นที่ระเบียงส่วนนี้ได้เหมือนของส่วนตัว เพราะเค้าจะทำรั้วปิดไว้ให้ตามปกติเลยครับ)
ขึ้นมาที่ชั้น 2 – 7 ผังอาคารจะเหมือนกับชั้น 1 เลยครับ ต่างกันแค่ไม่มี Pool Access กับ Jaccuzi Terrace แล้ว แต่จะเป็นห้องแบบปกติแทน มีจำนวนยูนิตต่อชั้นเท่ากันอยู่ที่ 23 ห้อง แต่จะมีชั้น 3 กับ 4 แค่ 2 ชั้นเท่านั้น ที่ลักษณะความลึกห้องจะสั้นกว่าชั้นอื่นๆ ทำให้ถ้าดูจากด้านข้างอาคารของจริงแล้วก็อาจเห็นลูกเล่นของ facade ที่มากขึ้นก็ได้ครับ รวมถึงยังมีผลต่อขนาดพื้นที่ใช้สอยภายในอีกด้วย คือถ้าคุณอยากได้ห้องพื้นที่ใหญ่ๆในอาคารนี้ ก็ควรเลือกชั้น 2, 5 – 7 ที่มีห้องที่ลึกและยื่นยาวออกมามากกว่าครับ แต่สำหรับห้องที่เล็กกว่าเค้าก็มีข้อดีของเค้าคือเรื่องของราคาที่ประหยัดลงอีกหน่อยนั่นเอง ซึ่งเราอาจนำเงินส่วนต่างนี้ไปใช้กับค่าเฟอร์นิเจอร์และการตกแต่งได้นะครับ
ส่วนห้องที่อยู่ตรงกลางที่ปลายสุดทางเดินด้านขวา ถ้าเป็นชั้น 5 – 7 ซึ่งเป็นระยะความสูงที่พ้นคอนโดในเฟสถัดไปแล้ว ผมถือว่าเป็นตำแหน่งที่โอเคสุดเลยนะ เพราะทั้งห้องจะหันหน้าไปทางวิวทะเลได้เลยตรง ไม่ต้องเอียงๆแบบห้องอื่นๆ แต่ถ้าเป็นชั้น 4 ลงมา แน่นอนว่าโดนบังวิวแบบเต็มๆเลยครับ แต่ก็อาจจะเหมาะกับคนชอบฟังก์ชันห้องแบบนี้ ซึ่งมันจะต่างจากห้องอื่นๆ และชอบความเป็นส่วนตัว ไม่เน้นวิวครับ
อาคาร B1 จะต่างจากอาคารเมื่อสักครู่ตรงที่ถึงแม้จะมีห้องพักเริ่มที่ชั้น 1 เหมือนกัน แต่จะไม่ได้ห้อง Pool Access ที่ลงสระได้โดยตรงเหมือนตึกเมื่อสักครู่ครับ แต่จะเป็นการ access ไปที่ Pool Deck แทน ซึ่งเค้าจะทำบันไดให้เดินลงจากระเบียงห้องได้เลย และอีกอย่างหนึ่งคือ มีฟังก์ชันห้อง Fitness เล็กๆอยู่ด้วยครับ เหมาะกับสายรักสุขภาพมากๆเลย โดยอาคารนี้จะมีจำนวนยูนิต 19 ห้อง/ชั้น ซึ่งถือว่าน้อยกว่าและมีความเป็นส่วนตัวมากกว่าอาคาร B2 ครับ
และตั้งแต่ชั้น 2 – 7 ก็จะคล้ายกับอาคาร B2 ครับ ซึ่งจะมีบางห้องหรือบางยูนิตที่ยื่นหดไม่เท่ากับห้องชั้นอื่นๆ ซึ่งตรงส่วนนี้สามารถสอบถามกับทางโครงการเพิ่มเติมได้เลยครับ
มาถึงโซนที่ 2 Residence กันแล้วนะครับ ซึ่งทำเป็นคอนโดเพื่อการอยู่อาศัย มีทั้งหมด 3 อาคาร และมีพื้นที่ส่วนกลางเป็นของตัวเอง ประกอบด้วยสระว่ายน้ำ 2 สระ Pool Lounge, Kid’s Club, Sunken Pavillion และ Fintess โดยจะมีทางเดินตรงกลางตัดผ่านเพื่อให้เดินชมบรรยากาศได้เช่นเดียวกับโซนโรงแรมก่อนหน้านี้ เพราะจะมีประตูทางออกด้านขวามือที่สามารถเดินผ่านสวนสาธารณะไปยัง Beach Club ที่อยู่ริมทะเลได้ จากผังอาคารนี้จะเห็นได้ว่าค่อนข้างมียูนิตน้อย และเป็นส่วนตัวมากกว่าโซนโรงแรมอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งที่จอดรถก็น้อยลงไปด้วยครับ ทั้งโครงการรวมโซนโรงแรมด้วยมีที่จอดเพียง 34% แบบรวมจอดซ้อนคัน ซึ่งถ้าช่วงไหนคนมาพักกันเยอะๆ ที่จอดโซนคอนโดไม่พอ ก็อาจต้องไปจอดในส่วนของโรงแรมครับ เพราะเป็นโครงการเดียวกัน และคนที่โรงแรมส่วนใหญ่จะเป็นขาจร หรือเป็นรถทัวร์มาด้วยกันเป็นกลุ่มๆซะมากกว่า
ทางเข้าของโครงการส่วนนี้จะไม่มีซุ้มประตูใหญ่ๆเหมือนโซนโรงแรมครับ แต่ก็มีการตกแต่งลักษณะเดียวกันคือเป็นรั้วไม้ และจะเพิ่มป้อม รปภ. เข้ามาเพื่อดูแลรักษาความปลอดภัย ส่วนระบบเข้าออกจะเป็นไม้กั้นกระดก และใช้ Key Card Access ระยะใกล้ รวมถึงมี CCTV ติดตั้งเอาไว้ให้ด้วยครับ
พื้นที่ตรงกลางของทั้ง 2 โซน จะถูกแบ่งด้วยกำแพงไม่สูงมาก มีแนวน้ำตก และเข้าออกตรงบันไดเล็กๆ ซึ่งของจริงจะมีประตูรั้วกั้นและมี รปภ. คอยยืนดูแลอยู่ตลอด โดยในตอนกลางวันนั้นประตูก็จะเปิดเอาไว้ให้เดินเชื่อมต่อกันได้ เผื่อคนจากโรงแรมอยากจะไป Beach Club หรือชายหาดครับ ซึ่งมันสะดวกก็จริงนะ แต่จะทำให้โซน Residence ที่ควรจะเป็นโซน private กลับจะมีคนภายนอกเดินผ่านเข้า-ออกอยู่ตลอดเวลา จึงสูญเสียความเป็นส่วนตัวค่อนข้างมากครับ
และอีกอย่างคือส่วนกลางครับ ซึ่งทางพฤตินัยคนในโรงแรมไม่สามารถมาใช้งาน facilities ของคอนโดได้นะครับ และคนจากคอนโดเองก็ไม่สามารถไปใช้โรงแรมได้เช่นกัน (ถ้าไม่จ่ายเงินหรือมีคูปอง) แต่ก็อาจมีนักท่องเที่ยวบางคนที่ไม่ทราบและมาใช้งานปะปนกันได้ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับทางโครงการหรือนิติบุคคลแล้วล่ะครับว่าจะบริหารจัดการยังไงในอนาคต
และนี่คือวิวจากชั้น roof top ของอาคาร Kid’s Club ครับ ซึ่งด้านบนเค้าก็จะปูหญ้าเทียมและมีเก้าอี้ให้ขึ้นไปนั่งเล่นได้ และเราก็จะมองเห็นพื้นที่ส่วนกลางทั้งหมดของเฟสนี้ได้เลย แต่อาจมองไม่เห็นถึงทะเลนะครับ เพราะด้วยความสูงแค่ชั้น 2 อาจยังไม่พ้นแนวต้นไม้บางต้นนะ
ภาพบรรยากาศจำลองภายในอาคาร Kid’s Club จะมีโต๊ะและเครื่องเล่นต่างๆสำหรับเด็ก รวมถึงสระเด็กด้านนอกก็จะมีเครื่องเล่นน่ารักๆคล้ายมินิสวนน้ำให้เล่นอีกด้วย แต่อาจไม่เยอะเท่าโซนโรงแรมนะครับ ส่วนผู้ปกครองก็มีพื้นที่ให้นั่งคอยลูกๆหลานๆอยู่ใกล้ๆได้หลายจุดเลย
อาคาร A1 เป็นอาคารแรกอยู่ที่อยู่ด้านหน้าสุด จึงค่อนข้างสะดวกเวลาจอดรถเสร็จก็เดินเข้าตึกใกล้ๆได้เลย ไม่ต้องเดินไกล แต่ก็จะพลุกพล่านกว่าอาคารอื่นๆนะครับ เพราะทุกคนก็จะต้องเดินผ่านตึกนี้ก่อนเช่นกัน โดยชั้นพักอาศัยจะเริ่มตั้งแต่ชั้น 1 และมีจำนวนยูนิตเพียง 11 ยูนิตเท่านั้น แน่นอนว่าอาคารนี้มีห้องแบบ Pool Access และ Jaccuzi Terrace ให้เลือกเช่นเคยครับ
ขึ้นมาที่ชั้น 2 – 4 ก็จะมีลักษณะผังอาคารเหมือนกับชั้นแรกเลยครับ ลืมบอกไปว่าสำหรับอาคารโซน Residence ทั้งหมดจะสูงแค่ 4 ชั้น และจะมีลิฟต์แค่ตัวเดียวเท่านั้นนะ ซึ่งอาคารนี้มีจำนวนยูนิตน้อยมาก ทั้งหมดเพียง 44 ยูนิตเท่านั้นเอง
อาคาร A2 จะอยู่ฝั่งตรงข้ามกับอาคารเมื่อสักครู่นี้ และวางขนานไปกับสระว่ายน้ำเช่นเดียวกัน รวมถึงแปลนอาคารก็เหมือนกันอีกด้วยครับ แค่สลับด้านกันเท่านั้นเอง มีลิฟต์โดยสาร 1 ตัว มีจำนวนยูนิตต่อชั้น 11 ห้อง และมีจำนวนยูนิตทั้งอาคารรวม 44 ห้องครับ
ถ้าจะถามถึงความแตกต่างกันของอาคาร A1 กับอาคาร A2 ก็คือเรื่องของทำเลมากกว่าครับ อย่างที่บอกไปว่าอาคาร A1 อาจจะใกล้และสะดวก แต่ก็พลุกพล่าน ส่วนอาคารนี้ก็จะมีความเป็นส่วนตัวมากกว่าหน่อย เพราะต้องบังคับเดินเข้ามาด้านใน ส่วนตัวผมค่อนข้างชอบมากกว่า เพราะจะได้สัมผัสกับบรรยากาศสไตล์รีสอร์ทที่โครงการได้จัดเอาไว้ให้ก่อนเข้าห้องนั่นเองครับ
อาคาร A3 จะมีลักษณะที่แปลกกว่าอาคารอื่นๆ คือจะเป็นทรงรูปตัว L ซึ่งจุดเด่นของอาคารนี้คือ ด้านล่างมี Lobby และชั้น 1 จะมีห้องพักอาศัยแต่ 8 ยูนิตเท่านั้นครับ นอกจากนี้ยังเป็นอาคารที่อยู่ใกล้กับทะเลมากที่สุดอีกด้วยนะ
ส่วนชั้น 2 – 4 ก็จะมีห้องเพิ่มขึ้นอีก 2 ห้อง กลายเป็นมีจำนวนห้องพักอาศัย 10 ห้องต่อชั้น แต่รวมแล้วก็มีจำนวนยูนิตทั้งอาคารอยู่ที่ 38 ยูนิตเท่านั้น ถือว่าน้อยที่สุดและเป็นส่วนตัวที่สุดของโครงการเลยครับ และพิเศษสุดสำหรับอาคารนี้ คือจะเป็นอาคารเดียวที่มีห้องแบบ 2 Bedrooms ให้เลือกครับ ซึ่งตำแหน่งจะอยู่บริเวณหัวมุมของอาคารพอดีเลย นั่นหมายความว่าทั้งโครงการมีห้อง 2 Bedrooms เพียงแต่ 4 ห้องเท่านั้น แถมยังเป็นตำแหน่งที่สามารถ take view ทะเลได้ดีที่สุดและใกล้ที่สุดอีกด้วยครับ
ภาพบรรยากาศจำลองบริเวณสระว่ายน้ำหน้าอาคาร A2 ปลายสระจะทำเป็น Pool deck ให้มานั่งเล่นกันได้ รวมถึงมีการทำทางเดินกลางสระเป็นสะพานโค้ง ทำให้คนที่ว่ายน้ำอยู่สามารถว่ายเล่นเชื่อมถึงกันได้ทั้ง 2 สระเลยครับ
ถัดจากโซน Residence หรือส่วนของคอนโดที่พักอาศัย ก็จะเป็นสวนสาธารณะที่เป็นของเทศบาล โดยทางโครงการได้ขอมาจัดเป็นสวนให้ทั้งคนในโครงการและคนภายนอกได้มาใช้เป็นสาธารณะประโยชน์ และทำให้กลายเป็นพื้นที่เชื่อมต่อกับโครงการด้านหน้าไปยัง Beach Club และชายหาดด้านหลังได้ครับ ซึ่งรั้วของคอนโดจะมีประตูเล็กๆให้สามารถเปิดและเดินเชื่อมถึงกันได้นะ
สุดท้ายคือ Beach Club ซึ่งเป็นที่ตั้งของ Sale Gallery ปัจจุบันที่ผมได้พาไปชมกันมาแล้วเนาะ พื้นที่ตรงนี้เป็นของ วันเพลสเอสเตส ซึ่งเป็นที่ดินส่วนบุคคลที่เค้าได้พัฒนาเป็นร้านอาหารและร้านกาแฟ ให้ลูกบ้านสามารถใช้ประโยชน์ได้ครับ
สรุปสิ่งอำนวยความสะดวก
- Residence Zone (Condo)
- Lobby
- Fitness
- Swimming Pool (ขนาดกว้างประมาณ 2.65 – 10.1 m. x ยาวประมาณ 25.9 x 52.5 m.)
- Pool Lounge
- Sunken Pavillion
- Reflective Pond
- Library
- Sky Terrace
- Sun Deck
- Kid’s Club
- Stream Room (แยกชาย – หญิง)
- Garden Court
- Jogging Track
- Way for Wheelchairs
- Wifi ฟรีที่ส่วนกลาง
- Golf Car
- Concierge Service
- Restaurant
- Coffee Shop
- Karaoke Room
- Equipped Meeting Room
- Housekeeping Service
- Laundry Service
- Room Service
- Waterpark
- Restaurant
- Coffee Shop
- Meeting Room
- Theater
- อัตราส่วนลิฟต์ตึก B1 66.5 : 1
- อัตราส่วนลิฟต์ตึก B2 80.5 : 1
- อัตราส่วนลิฟต์ตึก B3 49.5 : 1
- อัตราส่วนลิฟต์ตึก A1 44 : 1
- อัตราส่วนลิฟต์ตึก A2 44 : 1
- อัตราส่วนลิฟต์ตึก A3 38 : 1
แบบห้อง
แบบห้องของโครงการนี้ซึ่งต้องบอกก่อนว่ามีเยอะมากครับ คือผมนับดูแล้วมีทั้งหมด 179 แบบ เพราะด้วยลักษณะทรงอาคารที่มีการบิดเฉียง ทำให้แต่ละห้องมีขนาดพื้นที่ที่ต่างกันออกไป ซึ่งผมสามารถจำแนก 4 ประเภทหลักๆ คือ
- 1 Bedroom ขนาด 26 – 40 ตร.ม.
- 2 Bedrooms ขนาด 54 – 56 ตร.ม.
- 1 Bedroom Pool Access ขนาด 29.37 – 40.36 ตร.ม.
- 1 Bedroom Jacuzzi Terrace ขนาด 28.07 – 43.53 ตร.ม.
โดยโครงการนี้จะขายห้องแบบ Fully Fitted นะครับ คือให้เฉพาะเครื่องปรับอากาศ และสุขภัณฑ์ในห้องน้ำของ American Standard แต่ช่วงนี้จะมีโปรโมชั่นของแถม 5 รายการ ได้แก่ ชุดครัว, Wardrode, Built in หัวเตียง, ฐานรองเตียง และเครื่องทำน้ำร้อนยี่ห้อ Stiebel ครับ
ส่วนห้องของ Investment Zone (Residence Hotel) จะได้ของทุกอย่างตามที่เห็นในห้องเลยครับ แต่จะต้องจ่ายค่าเฟอร์นิเจอร์เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 300,000 – 450,000 บาท เพื่อคุมธีมห้องพักอาศัยของโรงแรมให้เหมือนกันหมดทุกห้องครับ ซึ่งห้องจะเป็นอย่างไรบ้างนั้นไปชมพร้อมๆกันเลยครับ
ห้องตัวอย่างแรกคือ 1 Bedroom ขนาด 33.46 ตารางเมตร ห้องนี้เป็นห้องของส่วน Residence Hotel นะครับ ซึ่งเราจะได้ของทุกอย่างตามที่เห็นต่อไปนี้เลย แต่จะแตกต่างจากฟังก์ชันห้องของคอนโดแบบทั่วไปครับ เพราะห้องนี้จะเหมือนโรงแรมมากกว่า คือภายในห้องจะไม่มีส่วนครัว หรือโต๊ะรับประทานอาหารอยู่เลย เนื่องจากเป็นห้องพักผ่อนชั่วคราวที่ไม่เน้นการอยู่อาศัยแบบจริงจังครับ คนที่ซื้อห้องโครงการนี้ส่วนมากคือต้องการใช้เป็นบ้านหลังที่ 2 เพื่อมาพักผ่อนชั่วคราวเท่านั้น ส่วนมากก็ใช้นอนตอนกลางคืน ตื่นมาชมวิวบนห้องตอนกลางวัน และออกไปเที่ยว หรือทานอาหารตามร้านค้าด้านนอกมากกว่าครับ
โดยลักษณะห้องจะคล้ายกับห้อง studio ที่พอเข้ามาก็จะเจอกับส่วนใช้งานก่อน เป็น foyer หน้าห้องไว้เก็บของกับรองเท้าได้ และมีห้องน้ำอยู่ด้านซ้าย ถัดเข้ามาด้านในห้องจะเจอกับพื้นที่ common area ส่วนพักผ่อนที่เชื่อมต่อกันขนาดใหญ่ สามารถวางเตียง 3.5 ฟุตได้ 2 เตียง และนอนดูทีวีปลายเตียงได้เลยครับ จุดเด่นของห้องนี้คือระเบียงที่กว้างเท่าตัวห้อง สามารถออกไปใช้งานได้ แล้วยังทำให้ห้องโปร่งโล่ง เชื่อมต่อกับพื้นที่ภายนอกเพื่อ take view ได้อีกด้วย และอีกหนึ่งจุดที่ไม่รู้ว่าเพื่อนๆทันสังเกตกันหรือป่าว คือผนังตรงอ่างล้างหน้าจะไม่มีนะครับ แต่จะเป็นประตูบานเลื่อนแทน ทำให้เปิดเชื่อมต่อฟังก์ชันถึงกันได้ พอพูดแบบนี้แล้วก็อยากจะเห็นของจริงกันแล้วใช่มั๊ย งั้นตามผมไปชมพร้อมๆกันได้เลยครับ
เริ่มต้นเมื่อเข้ามาภายในห้องเราจะเจอ foyer แบบนี้ก่อนครับ ซึ่งทำให้ห้องค่อนข้างเป็นสัดส่วนมาก ฝ้าสูง 2.4 m. และมีขนาดพื้นที่กว้างประมาณ 1.1 m. สามารถใช้งานได้สบายๆ จะถอดหรือใส่รองเท้าก็ไม่ต้องกลัวเลอะ เพราะเราจะได้เป็นพื้นกระเบื้องลายหินพื้นผิวด้าน ช่วยกันลื่นได้ดี ซึ่งอย่าลืมว่านี่คือทะเล และส่วนกลางก็มีทั้งสระว่ายน้ำ และ warterpark อีกเยอะแยะ ต้องเปียกน้ำกลับมาห้องแน่ๆเลย
ขวามือจะ Built in ตู้เก็บของมาให้แบบนี้เลยครับ รวมถึงที่แขวนเสื้อผ้า ตู้แช่น้ำ กาต้มน้ำ และตู้เซฟด้วยนะครับ
ส่วนฝั่งตรงข้ามเป็นห้องน้ำครับ ภายในก็ปูกระเบื้องผิวด้านกันลื่นมาให้เหมือนกัน โดยจะมีขนาดพื้นที่ส่วนแห้งประมาณ 1.6 x 1.2 m. สามารถใช้งานได้พอดี ด้านบนติดตั้งไฟดาวน์ไลท์แบบฝังฝ้า 2 จุด และพัดลมดูดอากาศมาให้เรียบร้อยแล้วด้วยครับ ซึ่งแต่ละจุดก็เหมาะสมกันการใช้งานดี ห้องไม่มืดเลยครับ
อ่างล้างหน้าของ Kasch และ Top เคาน์เตอร์เป็นหินสังเคราะห์ ซึ่งจะทนพวกกรดด่างจากสบู่ได้ดีทีเดียว มีที่วางของค่อนข้างเยอะ กว้างประมาณ 48 cm. ส่วนด้านล่างก็ทำเป็นชั้นวางของเล็กๆน้อยๆแบบไม่มีหน้าบานมาให้ด้วยครับ
ด้านหลังที่เห็นว่าเป็นผนังไม้นั้น ซึ่งจริงๆมันก็คือประตูบานเลื่อนเนี่ยแหละครับ สามารถเลื่อนมาเพื่อปิดในส่วน foyer ให้เป็นสัดส่วน ทำให้มองไม่เห็นพื้นที่ภายในห้องนอนเลย จึงได้ความเป็นส่วนตัวค่อนข้างสูง
ซึ่งทางโครงการต้องการออกแบบมาเพื่อให้เป็นฟังก์ชันที่ปรับใช้งานได้หลากหลายเช่น สามารถเปิดพื้นที่เพื่อเชื่อมต่อกับห้องนอน ทำให้โปร่งโล่งมากขึ้น และเชื่อมถึงกันจริงๆ แต่ก็เลือกที่จะเลื่อนปิดได้ ต่างจากทั่วไปที่มักจะติดเป็นกระจกบาน fixed ให้ได้รับแสงและมองเห็นถึงกันได้เท่านั้น
แต่ข้อจำกัดของการทำลักษณะนี้ก็มีอยู่เหมือนกันครับ เช่น เวลาเราล้างหน้าอยู่น้ำก็อาจกระเด็นออกมาเยอะพื้นที่ข้างเตียงได้นะ หรือถ้าเราปิดประตูบานเลื่อนแล้วก็ไม่ได้สนิทซะทีเดียว แต่จะมีช่องว่างอยู่เล็กน้อย ซึ่งจะทำให้กลิ่นและความชื้นออกมาจากตรงนี้ได้ครับ
อีกด้านหนึ่งของกระจกเงาทรงกลมที่เราจะได้ในห้องน้ำนั้น ฝั่งด้านนอกที่เป็นห้องนอนเราก็จะได้เป็นกระจกเงาแบบนี้ด้วยนะครับ ก็อาจจะเอาไว้ส่องแต่งตัวแต่งหน้าไปพร้อมๆกัน 2 คนเลยได้ ส่วนคนที่กำลังใช้งานห้องน้ำอยู่ก็ไม่ต้องเขินไป เพราะสามารถล็อคได้จากด้านในด้วยครับ
ฝั่งตรงข้ามกับอ่างล้างหน้าจะเป็นโถสุขภัณฑ์ของ American Standard ติดตั้งมาพร้อมกับสายฉีดชำระ และที่แขวนกระดาษชำระ มีพื้นที่ใช้งานเหลือเฟือเลยทีเดียว
ส่วนพื้นที่อาบน้ำจะกั้นด้วยฉากกั้นกระจกนิรภัย Tempered Glass ซึ่งผมชอบตรงขอบยางที่เค้าซีลมาได้ค่อนข้างหนา เวลาปิดแล้วรู้สึกแนบสนิทไปกับช่องประตูดี และเวลาเปิดก็ไม่ชนกับที่วางสบู่นะครับ เค้าวัดมาให้ปลอดภัยดีแล้ว ขนาดพื้นที่อาบน้ำกว้างประมาณ 1.6 x 0.8 m. สามารถใช้งานได้สบายๆเลย
ภายในติดตั้งฝักบัวและ Rain shower มาให้แบบในห้องตัวอย่างเลยครับ ซึ่งตรงเสาสามารถปรับองศาและระดับความสูงได้ตามเหมาะสมกับผู้ใช้อีกด้วย ส่วนที่วางสบู่ด้านข้างเค้าก็ติดมาให้ยาวเลย สามารถวางของได้เต็มที่
ออกมาจากห้องน้ำ ก่อนจะไปยังห้องนอนผมลองปิดประตูห้องให้ดู จะเห็นได้ว่าห้องนี้กลายเป็นห้องปิดที่มีความเป็นส่วนตัวมากๆเลยครับ
ประตูไม้บานเลื่อนนี้จะเดินรางไว้ด้านบน ทำให้พื้นด้านล่างไม่มีขอบมาให้เดินเกะกะหรือเก็บฝุ่น รวมถึงมีการตัดขอบบัวเพื่อให้ประตูสามารถปิดได้แนบสนิทดีอีกด้วยครับ
เข้ามาภายในจะเจอห้อง Common area ขนาดใหญ่ และเป็นห้องแบบตอนลึกจึงมีพื้นที่มากพอที่จะสามารถวางเตียงขนาด 3.5 ฟุตได้ 2 เตียง และเราจะได้ของที่เห็นในห้องนี้ทั้งหมดเลยสำหรับห้องโซนโรงแรม แต่ถ้าเป็นโซนคอนโดจะได้เป็นห้องเปล่าๆเลยครับ และพื้นห้องก็จะมีการเปลี่ยนเป็นลายไม้ แต่ยังเป็นกระเบื้องผิวด้านอยู่ครับ ประโยชน์ใช้งานยังเหมือนเดิม ที่เพิ่มเติมมาคือความสวยงามและดูอบอุ่น แถมยังได้ผิดสัมผัสที่เป็นธรรมชาติอีกด้วย
ชุดเฟอร์นิเจอร์ที่เราจะได้ ไม่ได้มีแต่ฐานเตียง 2 ฐานนี้เท่านั้นนะครับ แต่ยังรวมไปถึงฟูก หมอน ผ้าปูที่นอน และ Built หัวเตียง มีลายก้นหอยที่เป็นสัญลักษณ์ของโครงการแบบนี้เลยครับ จากห้องตัวอย่างเค้าเลื่อนเตียงมาใกล้กัน 30 cm. ในความเป็นจริงถ้าไม่อยากจะใกล้ชิดกันมากขนาดนี้ หรือจะขึ้นลงเตียงทั้ง 2 ฝั่งได้สะดวกทั้งคู่ ก็ยังมีพื้นที่ข้างเตียงเหลือให้ขยับได้อีกเยอะเลยครับ
นอกจากนี้ยังรวมถึงโต๊ะข้างเตียง และโคมไฟกิ่งที่ผนัง ซึ่งข้างเตียงแต่ละฝั่งเค้าก็จะมีสวิตซ์ไฟสีดำๆ เป็นแบบระบบสัมผัสนะ สามารถกดเบาๆเพื่อปิดไฟแยกเฉพาะฝั่งของตัวเองได้แบบในภาพเลย
ปลายเตียงจะได้ของตามนนี้เลยครับ ตรงกลางจะ Built ผนังและติด TV ให้ ทางด้านขวาจะเป็นกระจกเงาบานใหญ่เอาไว้แต่งตัว ส่วนทางด้านซ้ายจะเป็นโต๊ะอเนกประสงค์ครับ
จากห้องตัวอย่างทางด้านขวาของเตียงจะมีพื้นที่เหลือกว้าง 1.5 m. ซึ่งเค้าก็จัดออกมาให้ดูเป็นพื้นที่นั่งอเนกประสงค์อยู่ติดกับประตูกระจกบานเลื่อน ซึ่งตอนกลางวันจะมีแสงสว่างที่เพียงพอส่องเข้ามา เหมาะแก่การนั่งอ่านหนังสือ จิบชาในห้องชิลๆได้ครับ
สำหรับห้องตัวอย่างของที่นี่จะไม่ได้ทำราวระเบียงมาให้ดูนะครับ แต่ผมวัดมาให้เรียบร้อยแล้วว่าขนาดของระเบียงจะกว้างประมาณ 3.75 x 1.65 m. และได้ช่องประตูกระจกก็จะกว้างเต็มผนังแบบนี้เลยครับ
กรอบประตูกระจกบานเลื่อนเป็นอลูมิเนียมสีดำ กระจกเขียวตัดแสง มีตัวล็อคจากด้านใน และปูพื้นด้วยกระเบื้องเซรามิคขนาด 30 x 30 cm. แบบด้านกันลื่น สีเทา ตามห้องตัวอย่างเลยครับ
มองย้อนกลับเข้ามาในห้อง จะเห็นได้ว่าห้องนี้ค่อนข้างลึกจริงๆนะ แค่พอไม่มีฟังก์ชันครัวหรือโต๊ะทานอาหาร และโซฟานั่งเล่น ก็เลยทำให้ได้พื้นที่ห้องนอนขนาดใหญ่เต็มที่แบบนี้เลยครับ
ฝ้าเพดานของห้องนี้จะได้เป็นฉาบเรียบทาสี มีไฟดาวน์ไลท์แบบฝังฝ้า 4 ดวง พร้อมดรอปฝ้า ซ่อนไฟหลืบแบบในห้องตัวอย่าง และติดตั้งแอร์ขนาด 18,000 BTU เอาไว้ให้แบบนี้เลย
ห้องตัวอย่างอีกห้องเป็น 1 Bedroom ขนาด 33.28 ตารางเมตร สำหรับห้องนี้เป็นตัวอย่างของห้องโซน Residence ซึ่งเฟอร์นิเจอร์ในห้องนั้นเราจะไม่ได้ตามห้องตัวอย่างนะครับ จะมีให้เฉพาะสุขภัณฑ์ในห้องน้ำ และแอร์ให้เท่านั้น เว้นแต่ว่าซื้อในช่วงโปรโมชั่นนี้จะมีของแถม 5 รายการมาให้ หรือถ้าเราซื้อห้อง Type นี้ในโซนของโรงแรม เราก็จะได้ของตามห้องตัวอย่างเลยครับ โดยฟังก์ชันห้องนี้จะต่างจากห้องที่แล้วอย่างสิ้นเชิง เพราะจะมีพื้นที่ใช้งานในส่วนครัวมาให้เหมือนกับคอนโดปกติทั่วไป ซึ่งสามารถอยู่อาศัยได้จริงจังมากขึ้นแล้วครับ
ลักษณะห้องก็จะคล้ายกับห้องสี่เหลี่ยมตอนลึกแบบปกติ แต่ด้วยดีไซน์การออกแบบอาคารที่ต้องมีการบิดมุมห้อง เพื่อหันหน้าไป take view ทางทะเล จึงทำให้พื้นที่ส่วนครัวกลายเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมคางหมูอย่างที่เห็น แต่ก็ยังจัดเคาน์เตอร์รูปตัว L และมีพื้นที่ใช้สอยได้ตามปกติครับ (ปล.สำหรับพื้นที่ส่วนนี้ในบางยูนิตที่มีฟังก์ชันคล้ายกัน แต่อาจได้ครัวต่างกัน เช่น เคาน์เตอร์อาจทำได้แบบเป็นแค่รูปตัว I ก็มีครับ) พื้นที่เว้าเข้าไปในห้องน้ำเล็กสามารถทำเป็นที่วางรองเท้าได้ ส่วนห้องน้ำก็สามารถแยกพื้นที่ส่วนเปียกส่วนแห้งได้ตามปกติ ใช้งานได้ง่าย และเมื่อเข้ามาภายในห้องนอนก็อาจไม่ได้มีขนาดพื้นที่ใหญ่ หรือโปร่งโล่งเท่ากับห้องแบบก่อนหน้านี้นะครับ แต่ห้องจะถูกกั้นด้วยผนังหรือเสาตรงกลาง แล้วเกิดเป็นพื้นที่ห้องอเนกประสงค์ขึ้นมา ทำให้ห้องไม่โล่งจนเกินไป และดูเป็นสัดส่วนมากขึ้นครับ จึงทำให้ห้องมีมีลักษณะคล้ายห้อง 1 Bed Plus นั่นเอง และแน่นอนว่าระเบียงก็ยังได้กว้างเท่ากับตัวห้องเลย ซึ่งของจริงจะเป็นอย่างไรเราไปชมกันเลยครับ
เมื่อเข้ามาภายในห้องส่วนแรกที่เราเจอคือครัวปิดครับ เพราะมีประตูไม้บานเลื่อนกั้นให้คล้ายกับห้องที่แล้วเลย ดังนั้นพื้นที่ตรงนี้จึงทำหน้าที่เป็น foyer ได้ด้วย พื้นเป็นกระเบื้องลายหิน แบบผิวด้านกันลื่นเช่นเคย ส่วนความสูงฝ้าเพดานก็อยู่ที่ 2.4 m. ครับ
หันมามองทางด้านซ้ายจะเจอกับเคาน์เตอร์ครัว ซึ่งถ้าดูเผินๆก็จะไม่ค่อยรู้สึกเท่าไหร่นะครับว่าเป็นพื้นที่สี่เหลี่ยมคางหมู
แต่พอผมเขียนเส้นประลงมาให้ ก็พอจะเห็นภาพเพิ่มมากขึ้นนะครับ โดยถ้าเราจะ Built in เคาน์เตอร์ครัวตามห้องตัวอย่างแบบนี้ ก็จะมีขนาดพื้นที่ใช้งานเหลือกว้างประมาณ 1 x 3 m. ครับ
ส่วนเคาน์เตอร์ครัวนี้ทางโครงการเค้าไม่ได้ให้มานะ แต่จะได้เป็นของแถมในโปรโมชั่นช่วงนี้ มีพื้นที่เก็บของพอสมควร และ Top เคาน์เตอร์ด้านบนจะเป็นหินสังเคราะห์ ได้เตากับเครื่องดูดควันของ Teka และอ่างล้างจานขนาด 40 x 40 cm. ลึก 20 cm. ครับ โดยตรงส่วนนี้เวลาเปิดลิ้นชักทางด้านขวากับประตูบานเลื่อนพร้อมๆกัน ระวังชนกันด้วยนะครับ
ฝ้าเพดานด้านบนฉาบเรียบทาสี และติดตั้งไฟดาวน์ไลท์แบบฝังฝ้า 2 ดวง ทำให้ค่อนข้างสว่างทีเดียว
ฝั่งตรงข้ามเป็นห้องน้ำครับ โดยที่ด้านหน้าห้องจะมีพื้นที่เล็กๆที่สามารถวางรองเท้า หรืออาจ Built ตู้รองเท้าตรงนี้ได้ เวลาเข้า-ออกห้องก็จะค่อนข้างสะดวก
ส่วนห้องน้ำเราจะได้สุขภัณฑ์ต่างๆตามนี้เลยยกเว้นของตกแต่งนะ ซึ่งเค้าก็ได้แยกพื้นที่การใช้งานได้ใช้ได้สะดวกตามมาตรฐานดี
เริ่มต้นที่พื้นที่ส่วนแห้งก่อนครับ มีขนาดพื้นที่ประมาณ 1.35 x 1.4 m. สามารถใช้งานได้สบายๆ และได้สุขภัณฑ์ต่างๆของ American Standard เช่นเคยครับ
ซ้ายมือเป็น Shower box ที่กั้นด้วยฉากกั้นกระจกนิรภัย Tempered Glass ที่แตกแล้วไม่เป็นอันตราย และภายในก็ติดตั้งอุปกรณ์อาบน้ำให้เหมือนกับห้องก่อนหน้านี้เลยครับ
พื้นที่ยืนอาบน้ำส่วนนี้ขนาดประมาณ 1.25 x 0.9 m. สามารถใช้งานได้แบบพอดีๆ โดยด้านบนของประตูกระจกเค้าก็ติด stopper มาให้เพื่อกันกระแทกแล้วเรียบร้อย
ก่อนจะเข้าไปยังพื้นที่ส่วนต่อไป ก็จะมีประตูไม้บานทึบกั้นเหมือนกับห้องก่อนหน้านี้เลยครับ พร้อมกับติดรางด้านบนเหมือนกัน ทำให้ไม่มีรางให้เดินสะดุดเลย และเมื่อปิดประตูแล้วก็จะทำให้ห้องมีความเป็นส่วนตัวมากๆ
ภายในห้องนอนเราสามารถวางเตียงขนาด 5 – 6 ฟุตได้เลยครับ แต่ถ้าเป็นฐานเตียงที่ทางโครงการเค้าแถมมาให้จะเป็นฐานเตียงขนาด 3 ฟุต 2 ชิ้น ซึ่งเราสามารถนำมาต่อกันเป็นเตียง 1 หลัง หรือจะแยกออกกลายเป็นเตียงคู่ 2 หลัง ก็ได้ครับ
ทางด้านซ้ายของเตียงจะมีพื้นที่ว่างอยู่ โดยทางโครงการ Built in มาให้ดูเป็นตัวอย่างครับ มีพื้นที่แต่งตัวหน้าตู้กว้าง 90 cm. ซึ่งของจริงเราจะไม่ได้นะ แต่ถ้าซื้อเป็นคอนโดห้องเปล่ามาก็แนะนำให้ Built เป็นตู้ทรงสูงแบบในห้องตัวอย่างเลยก็ได้ครับ เพราะจะได้ใช้พื้นที่แนวตั้งให้เป็นประโยชน์ได้ด้วย
ส่วนทางด้านขวาของเตียงเป็นประตูกระจกบานเลื่อนที่เปิดออกไปสู่ระเบียงได้ครับ โดยพื้นที่ระเบียงจะกว้าง 4.9 x 1.1 m. เลยทีเดียว สามารถออกมาใช้งาน นั่งจิบชา ชมวิวกันได้เต็มที่
อีกด้านของห้องที่ปลายเตียงจะมีพื้นที่อเนกประสงค์อยู่ครับ ตรงกลางในบางยูนิตจะเป็นเสาโครงสร้าง ซึ่งทำให้สามารถติดทีวีที่ปลายเตียงได้ครับ (แต่ต้องทำโครงเบาขึ้นมาสักชั้นหนึ่งก่อนเพื่อจะได้ยึดทีวีได้ครับ อย่าไปเจาะผนังโดยตรง เพราะบางทีมันอาจกระทบกับโครงสร้างที่คอยรับน้ำหนักได้)
และสิ่งที่ต้องอธิบายเพิ่มเติมสำหรับห้องนี้คือ ช่องเล็กทางด้านซ้ายระหว่างเสากับผนังห้อง ของจริงจะติดตั้งเป็นกระจกบาน fixed ครับ ส่วนช่องใหญ่ทางด้านขวา ของจริงจะเป็นผนังทึบที่จะมีประตูบานสวิงใช้เป็นทางเข้าออกได้ครับ จะทำให้ห้องอเนกประสงค์มีความเป็นสัดส่วนแยกออกจากห้องนอน แต่ก็อาจทำให้พื้นที่ดูแคบลงเล็กน้อยครับ
ภายในห้องอเนกประสงค์ของห้องตัวอย่าง ถูกจัดเป็นห้องนอนเด็กเล็ก ซึ่งจากที่ลองวัดพื้นที่ห้องนี้จะมีขนาดประมาณ 1.45 x 3.1 m. เหมาะที่จะใช้เป็นห้องทำงานอ่านหนังสือ ห้องเล่นเกมส์ หรือ Walk in closet แบบจริงจังขนาดใหญ่ของคุณผู้หญิง และยังสามารถปรับเป็นห้องนอนเล็กที่วางเตียงขนาด 3.5 ฟุต แบบในห้องตัวอย่างก็ได้ครับ
ทีนี้ผมลองตีเส้นประมาให้ดู สมมุติว่าถ้าห้องนี้ติดประตูบานสวิงเพิ่มเข้ามา ก็สามารถทำได้นะครับ เพียงแต่การเปิดลักษณะนี้จะค่อนข้างกินพื้นที่เยอะ ถ้าลองเปลี่ยนเป็นประตูบานเฟี้ยมหรือบานเลื่อนก็น่าจะช่วยประหยัดพื้นที่ได้มากกว่าครับ
ส่วนพื้นที่ข้างเตียงเมื่อวางเตียงขนาด 3.5 ฟุตไปแล้ว ก็จะมีพื้นที่เหลือประมาณ 45 cm. ให้พอเดินได้นะ
ที่ชอบคือตรงนี้มีช่องหน้าต่างกระจกบานเลื่อนเล็กๆ ที่ช่วยให้แสงธรรมชาติเข้ามาในห้องนี้ แล้วยังสามารถเปิดระบายอากาศได้อีกด้วย
ไฟภายในห้องจะได้ตำแหน่งตามนี้เลยครับ ห้องอเนกประสงค์ได้ไฟดาวน์ไลท์ 2 ดวง ได้แอร์ขนาด 9,000 BTU และห้องใหญ่ได้ไฟดาวน์ไลท์ 4 ดวง พร้อมดรอปฝ้า และได้แอร์ขนาด 12,000 BTU ครับ
ส่วนสวิตไฟในห้องจะเป็นของ bticino หน้าตาแบบนี้เลยครับ
**รายละเอียดของวัสดุต่างๆเช่น ยี่ห้อ และรุ่น ของจริงอาจจะเป็นรุ่นนี้หรือเทียบเท่านะครับ
ราคา
ราคาและเงื่อนไขการขาย @ 19 June 2019
- Residence Zone (Condo)
- ห้อง 1 Bedroom ขนาด 30 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 3.2 ล้านบาท
- ห้อง 1 Bedroom ขนาด 40 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 4.8 ล้านบาท
- ห้อง 2 Bedrooms ขนาด 54 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 6.2 ล้านบาท
- ห้อง 2 Bedrooms ขนาด 71 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 8.7 ล้านบาท (ห้อง combine พิเศษ)
- ห้อง 1 Bedroom ขนาด 26 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 2.8 ล้านบาท
- ห้อง 1 Bedroom ขนาด 33 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 4.01 ล้านบาท
- ห้อง 2 Bedrooms ขนาด 33 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 3.9 ล้านบาท
- ห้อง 2 Bedrooms ขนาด 41-50 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 3.9 – 5.01 ล้านบาท
- รูปแบบการขาย Fully Fitted
- ความสูงจากพื้นถึงฝ้าเพดาน 2.4 เมตร
- Kitchen & Sink / ท็อปหินสังเคราะห์
- จอง 20,000 บาท
- ทำสัญญา 5% ของราคาห้อง
- ดาวน์ n/a% ผ่อนดาวน์ n/a งวด
- ค่ากองทุน 500 บาท/ตร.ม.
- ค่าส่วนกลาง 40 บาท/ตร.ม./เดือน ชำระล่วงหน้า 1 ปี
- โปรโมชั่น(ภายในเดือน มิ.ย. 62) :
- ห้องราคาพิเศษเริ่ม 2.19 ล้านบาท
- ของแถม 5 รายการ (ชุดครัว+Wardrode+ผนัง Built in หัวเตียง+ฐานรองเตียง+เครื่องทำน้ำร้อนยี่ห้อ stiebel)
- ส่วนลด 200,000 บาท
- ฟรีค่าส่วนกลาง 5 ปี
- แถมนาฬิกา Garmin (Forerunner 935)
**ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ครับ
บทสรุป
ทำเล : โครงการ Carapace หัวหิน ตั้งอยู่ในซอยหัวหิน 101 หรือที่รู้จักกันในย่านเขาเต่า ซึ่งเป็นโซนที่มีเอกลักษณ์แตกต่างจากโซนท่องเที่ยวอื่นๆ อย่าง หัวหิน หรือชะอำ ที่ค่อนข้างจะพลุกพล่านมากกว่า แต่สำหรับโซนเขาเต่าแล้วเป็นโซนที่เงียบสงบ เหมาะแก่การมาพักผ่อนหรือยู่อาศัยมากๆ ครับ แต่ก็ต้องแลกมากับอยู่ไกลจากแหล่งท่องเที่ยวหรือสิ่งอำนวยความสะดวกใหญ่ๆอย่างเช่นห้างร้านต่างๆ แต่หน้าปากซอยหัวหิน 101 เองก็มีเซเว่น รวมถึงรอบๆโครงการก็มีร้านอาหารดีๆอยู่กันเยอะแยะเลยด้วย ซึ่งนอกจากเรื่องความเงียบสงบและความอุดมสมบูรณ์แล้ว อีกหนึ่งจุดเด่นของทำเลโครงการนี้คืออยู่ใกล้กับชายหาดเขาเต่ามากๆครับ สามารถเดินมาจากโครงการได้ในระยะ 100 – 300 m. เท่านั้นเอง
การเดินทาง : ถนนเส้นหลักของหัวหินก็คือ ถนนเพชรเกษม ซึ่งเป็นถนนเส้นที่ยาวมากๆ เชื่อมต่อกรุงเทพกับภาคใต้ของไทย ซึ่งทำเลต่างจัดหวัดก็รู้กันดีว่ารถไม่ได้ติดเหมือนในกรุงเทพครับ แม้จะอยู่ห่างจากห้างอย่าง Blu’Port ประมาณ 10 กว่ากิโล แต่ก็สามารถขับรถไปถึงได้ภายในเวลา 10 กว่านาทีเช่นกัน ถือว่าสะดวกมากๆเลย แต่ที่จอดรถ 36% น้อยไปสักหน่อย แถมยังอาจต้องใช้งานร่วมกันทั้ง 2 โซนอีกด้วยครับ
วัสดุ : โครงการนี้ขายแบบ Fully Fitted คือให้เฉพาะสุขภัณฑ์ในห้องน้ำของ American Standard และแอร์ภายในห้อง ส่วนเฟอร์นิเจอร์อื่นๆจะเป็นของโซนโรงแรมที่จะได้ตามห้องตัวอย่างครับ เช่นชุดครัวของ Teka, Built in ตู้เสื้อผ้า หัวเตียง และฐานเตียง รวมถึงให้ฟูกและสิ่งอำนวยความสะดวกแบบโรงแรมภายในห้องทั้งหมดเลย ส่วนสเป็ควัสดุอื่นๆที่มีอยู่เดิมในห้องผมมองว่าให้มาเหมาะสมกับราคาครับ โดยเฉพาะพื้นกระเบื้องผิวด้านลายหินและไม้ทั้งห้อง ที่ช่วยกันลื่นและทนทานดี กรอบประตูหน้าต่างกระจกอลูมิเนียมสีดำ กระจกเขียวตัดแสง และฉากกั้นอาบน้ำกระจกนิรภัย Tempered Glass
การออกแบบโครงการ : โครงการนี้มีการแบ่งพื้นที่การพัฒนาออกเป็น 2 โซน คือ Investment Zone (Residence Hotel) และ Residence Zone (Condo) โดยในส่วนของคนที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจะได้รับสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆที่มากับสถานที่ที่เป็น public อย่างโรงแรมด้านหน้า และร้านอาหารริมทะเลที่อยู่ด้านหลัง แต่ก็ทำให้เกิดความพลุกพล่านจากคนภายนอกที่จะเข้ามาในพื้นที่ หรือแม้แต่การเดินเชื่อมต่อกันของพื้นที่ส่วนกลางได้ จะทำให้ควบคุมดูแลการเข้าออกของคนทำได้ลำบากมากขึ้น แต่ถ้าใครที่ไม่ซีเรียสในส่วนนี้ หรือยอมรับได้เพื่อแลกกับสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆที่มีให้ ก็คือว่าโอเคอยู่นะครับ
ในเรื่องของการออกแบบอาคารสิ่งที่ผมชอบคือ ลักษณะการวางผังที่โอบล้อมพื้นที่ส่วนกลางเอาไว้ อีกทั้งยังบิดทิศทางของห้องให้หันหน้าออกไปทางทะเลเพื่อ take view สวยๆได้เกือบทั้งโครงการนั่นเอง อีกเรื่องคือส่วนกลางที่ยาวต่อเนื่องกันเนี่ยแหละครับ มันทำให้กลายเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่มาก แต่ถ้าทั้งหมดเป็นโครงการเดียวกัน ไม่มีการแบ่งแยกโครงการ และใช้งานร่วมกันได้หมด ส่วนตัวคิดว่ามันจะเวิคมากๆเลย
การออกแบบห้องพัก : เป็นโครงการที่มีแบบห้องให้เลือกเยอะมากครับ แต่หลักๆคือจะเป็นห้องที่มีการบิดของพื้นที่ตรงส่วนครัว ทำให้เหลี่ยมมุมนั้นกลายเป็นพื้นที่สี่เหลี่ยมคางหมู ซึ่งก็ไม่ได้มีผลกับฟังก์ชันการใช้งานแต่อย่างใด ส่วนตัวคิดว่าค่อนข้างเหมาะสมแล้วในแง่ของรูปแบบคอนโดตากอากาศ ซึ่งไม่ใช่ที่อยู่อาศัยจริงจังถาวร หลายคนอาจซื้อไว้เป็นบ้านหลังที่ 2 ที่มาพักชั่วคราว ดังนั้นฟังก์ชันจริงจัง เช่น ครัว โต๊ะทานอาหาร หรือพื้นที่ห้องนั่งเล่นจึงไม่จำเป็นมากครับ แต่จะเน้นใช้นอนพักผ่อน และตื่นเช้ามาก็ได้ take view ธรรมชาติกว้างๆสวยๆ แล้วออกไปสัมผัสสูดบรรยากาศที่ดีในส่วนกลาง ริมทะเล หรือสถานที่ท่องเที่ยวภายนอกมากกว่า รวมถึงการทานอาหารตามร้านอร่อยๆด้วยนะ
ดังนั้นห้องพักของโครงการจึงกลายเป็นฟังก์ชันรูปแบบคล้าย Studio เกือบทั้งหมดครับ คือจะเป็นห้องที่เน้นส่วนเตียงนอนเป็นหลัก ทำให้รู้สึกโปร่งโล่ง มีประตูกระจกและระเบียงกว้าง ให้ได้ take view ภายนอกสวยๆได้ รวมถึงมีแบบห้อง Pool Access สำหรับคนที่ชอบกิจกรรม หรือชอบว่ายน้ำ ปาร์ตี้สังสรรค์ กับ Jacuzzi Terrace สำหรับคนที่ชอบระเบียงใหญ่ๆที่เป็นส่วนตัวอีกด้วย
สาธารณูปโภค : ถือว่าให้มีค่อนข้างเยอะนะครับ ซึ่งส่วนใหญ่จะเน้นพื้นที่สระว่ายน้ำที่อยู่ตรงกลางของทั้ง 2 โซน มีการตกแต่งสไตล์รีสอร์ท และมีจุดนั่งพักผ่อนให้เลือกเยอะ อีกทั้งยังเน้นพื้นที่สำหรับเด็กๆ ไม่ว่าจะเป็น Kid’s Club และ Waterpark ทำให้เป็นสถานที่ที่เหมาะจะพาครอบครัวมาพักผ่อนมากๆ มีห้องออกกำลังกาย และร้านอาหาร รวมถึงห้องประชุมสัมมนา และบริการอื่นๆในส่วนของโรงแรมอีกเพียบ ซึ่งลูกบ้านที่ซื้อคอนโดก็สามารถใช้บริการได้ แต่ต้องจ่ายเงินเพิ่มตามปกติครับ
Judgement
สำหรับโครงการ Carapace หัวหิน เราจะไม่มีการให้คะแนนนะครับ เนื่องจากโครงการประเภทตากอากาศ มีปัจจัยในการตัดสินใจเลือกซื้อที่แตกต่างจากคอนโดเพื่อการอยู่อาศัยทั่วไปที่ต้องมีเรื่องของความคุ้มค่าทางการเงินและความคุ้มค่าทางอารมณ์ผนวกกันครับ เป็นการซื้อเพื่อพักผ่อนหย่อนใจมากกว่า ทำให้บรรทัดฐานการให้คะแนนแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคลทั้งผู้อ่านและผู้รีวิวครับ
BOTTOM LINE
Carapace หัวหิน เหมาะกับคนที่กำลังมองหาบ้านหลังที่ 2 เพื่อพักผ่อนตากอากาศ หรือคนที่อยากจะลงทุนปล่อยมีการันตีผลตอบแทน มีทีมบริหารคอยดูแลให้ และเป็นโครงการที่อยู่ใกล้ชายหาดที่เงียบสงบ ตัวห้องเน้นพื้นที่พักผ่อนและระเบียงกว้าง มีแบบห้องให้เลือกหลากหลาย และมีสิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการครบ มีงบประมาณระดับ 2.49 – 8.7 ล้าน หรือมีกำลังผ่อนประมาณ 17,000 – 61,000 บาท/เดือน
ติดตามพวกเราได้ที่
Website : www.thinkofliving.com
Twitter : www.twitter.com/thinkofliving
YouTube : www.youtube.com/ThinkofLiving
Instagram : www.instagram.com/thinkofliving
Facebook : ThinkofLiving