รีวิวฉบับที่ 1975 … สวัสดีครับทุกคน วันนี้มาพบกับโครงการ Holme Ekkamai 22 จาก เอส เอ ฟิวเจอร์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ซึ่งตั้งอยู่ในซอยเอกมัย 22 กันครับ ตัวโปรดักส์เป็นคอนโด Low Rise 1 อาคาร ที่แยกออกเป็น 2 Tower เชื่อมต่อกันด้วยชั้น Facilities ที่ถือว่าให้มาค่อนข้างเยอะเมื่อเทียบกับจำนวนยูนิต มีแนวคิดการออกแบบเป็นเหมือนบ้านใจกลางเมือง มีขนาดห้องใหญ่ และมีแบบห้องให้เลือกหลากหลาย รายละเอียดจะเป็นอย่างไร เราไปชมกันเลยครับ
ข้อมูลโครงการ
Fact @ 24 October 2019
- Holme Ekkamai 22 (โฮล์ม เอกมัย 22)
- บริษัท เอส เอ ฟิวเจอร์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด
- HIGH – LUXLRY CLASS (อ่านรายละเอียดของ Segment ได้ที่นี่)
- โครงการตั้งอยู่ในเขต : เขตวัฒนา
- คอนโด Low Rise 8 ชั้น 1 อาคาร 90 ยูนิต
- ยูนิตต่อชั้นสูงสุด 7 ยูนิต
- ที่จอดรถประมาณ 54 คันคิดเป็น 60% (ไม่รวมจอดซ้อนคัน)
- ที่ดินประมาณ 0-3-99 ไร่
- เริ่มก่อสร้าง : Q2 ปี 2563
- คาดว่าจะแล้วเสร็จ : Q2 ปี 2565
- 1 Bedroom 33.75 – 42.5 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 3.99 ล้านบาท
- 2 Bedrooms 60.5 – 77.25 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 8.20 ล้านบาท
- Duplex 66.75 – 101 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 12.4 ล้านบาท
- ฝ้าเพดานสูง 2.7 เมตร
- ราคาเริ่มต้น 3.99 ล้านบาท
- ราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรทั้งโครงการ 155,000 บาท/ตร.ม.
- ราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรต่ำสุด-สูงสุด 118,000 – 185,000 บาท/ตร.ม.
- EIA (การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม) : อยู่ในระหว่างดำเนินการ
- เวปไซต์โครงการ : คลิกที่นี่
- โทร : 062-142-9797
ทำเลที่ตั้ง
พิกัด Google Maps : 13.733195, 100.592141
หรือสามารถ : คลิกที่นี่ และหากต้องการไป Sales Gallery : คลิกที่นี่
แผนที่จากทางโครงการครับ
โครงการ Holme Ekkamail 22 ตั้งอยู่ย่านเอกมัย ในซอยเอกมัย 22 ซึ่งไม่ใช่ซอยตันครับ เพราะสามารถเชื่อมต่อกับซอย ปรีดี พนมยงค์ 41 เพื่อไปออกซอยสุขุวิท 71 ได้ ซึ่งถนนเส้นนี้แม้จะไม่คึกคักเท่ากับซอยเพื่อนบ้านอย่างเอกมัย – ทองหล่อ แต่ก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกอย่าง Makro Food Service และ Max Value ให้ได้แวะพึ่งพิง สามารถซื้อกับข้าวไปทาน หรือประกอบอาหารที่บ้านกันได้ จุดเด่นจริงๆของซอยสุขุมวิท 71 คือเรื่องของการเดินทาง ซึ่งอยู่ใกล้กับทางด่วนมากๆครับ โดยตรงท้ายซอยถ้าเลี้ยวขวาผ่านแยกคลองตันมาแล้ว จะมีจุดขึ้นทางด่วนตรงแยกด่วนพัฒนาการ 2 จุด ซึ่งสามารถเลือกได้ว่าจะขึ้นเหนือหรือลงใต้ก็ได้ครับ แต่ถ้าใครที่ต้องการขึ้นเหนือไปทางพระราม 9 – รามอินทรา อยู่แล้ว ผมแนะนำให้ขับรถย้อนลงมาทางสุขุมวิท เพื่อมาเข้าซอยปรีดี พนมยงค์ 2 จะสามารถขึ้นทางด่วนได้อีก 1 เส้นทาง แต่จะเป็นทางที่บังคับให้ขึ้นเหนือเท่านั้นนะครับ แลกกับไม่ต้องรถติดนานๆบริเวณแยกคลองตันนั่นเองครับ
และอย่างที่ทราบกันดีว่าซอยเอกมัย – ทองหล่อ มีความเจริญมาก เต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร Hi-End และสถานบันเทิงต่างๆมากมาย รวมถึงมีคอมมูนิตี้มอลล์ และห้างสรรพสินค้าอีกเยอะแยะ ซึ่งความคึกคักเหล่านี้จึงทำให้เป็นซอยที่มีการจราจรหนาแน่นมาก อีกทั้งยังมีราคาที่ดินที่สูงอีกด้วย ซึ่งถ้าเราลองแบ่งโซนราคาแยกออกเป็นแต่ละซอยหลัก จะเห็นราคาคอนโดมือ 1 ที่แตกต่างกันชัดเจน ไล่ระดับมาเรื่อยๆจากตัวเมืองคือ ซอยทองหล่อมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 250,000 – 400,000 บาท/ตารางเมตร, ซอยเอกมัย 160,000 – 200,000 บาท/ตารางเมตร และซอยปรีดี พนมยงค์ 120,000 – 170,000 บาท/ตารางเมตร
ซึ่งก็ถือว่าเป็นราคาที่ค่อนข้างสูงตามแบบฉบับของคอนโดในเมือง ที่คนทั่วไปอาจหยิบจับเป็นเจ้าของได้ยากสักหน่อย แต่ถ้าเราต้องการที่อยากจะอยู่ในย่านนี้จริงๆ อาจลองมองหาคอนโดที่อยู่ในซอยย่อยดูก็ได้ครับ เพราะเป็นทำเลที่ยังเดินทางเชื่อมต่อถึงกันได้สะดวก และมีราคาที่ถูกลงมาอยู่ที่ 120,000 – 150,000 บาท/ตารางเมตร ซึ่งยังมีให้จับต้องเป็นเจ้าของกันได้อยู่ครับ
สำหรับซอยเอกมัย 22 หรือซอยปรีดี พนมยงค์ 41 จะเป็นช่วงท้ายๆของซอยสุขุมวิท 71 ที่อยู่ใกล้กับแยกคลองตัน และมีจุดขึ้นทางด่วนฉลองรัชอยู่ไม่ไกลครับ สามารถเลือกได้เลยว่าจะเลี้ยวซ้ายเพื่อไปพระราม 9 – รามอินทรา หรือจะเลี้ยวขวาไปบางนา – ดาวคะนอง – แจ้งวัฒนะ มีระยะห่างจากโครงการเพียงแค่ 2 km. เท่านั้น แต่อาจต้องเผื่อเวลารถติดบริเวณแยกคลองตันช่วงเช้าๆสักประมาณ 15 นาทีหรือมากกว่าด้วยนะครับ
และตอนขากลับก็สามารถลงที่ตรงจุดเดิม เลี้ยวเข้าสู่ซอยสุขุมวิท 71 และเลี้ยวขวาเข้าซอยปรีดี พนมยงค์ 41 ได้เลย เข้าซอยต่อมาประมาณ 500 m. ถือว่าเป็นทำเลที่ใช้ทางด่วนได้สะดวกมากๆ
นอกจากนี้ผมยังมีอีกหนึ่งเส้นทางไปขึ้นทางด่วนง่ายๆมาแนะนำครับ โดยเราสามารถใช้ทางลัดไปขึ้นทางด่วนฉลองรัชผ่านซอยปรีดี พนมยงค์ 2 ได้ แต่จะเหมาะกับคนที่ต้องการเดินทางขึ้นเหนือไปทางพระราม 9 – รามอินทรา เท่านั้นนะครับ ซึ่งจะมีระยะห่างจากโครงการประมาณ 3.5 km. และต้องเผื่อเวลารถติดสัก 15 นาทีด้วยนะ แต่ที่แน่ๆคือ รถจะติดน้อยกว่าบริเวณแยกคลองตันแน่นอนครับ
ส่วนสถานีรถไฟฟ้าที่ใกล้ที่สุดคือ BTS เอกมัย ห่างจากโครงการประมาณ 2.6 km. ซึ่งไม่ใช่ระยะเดินได้แน่ๆครับ เพราะแค่จากตัวโครงการมาหน้าปากซอย 22 ก็มีระยะ 700 m. แล้ว แต่โชคดีที่ทางโครงการมี Shuttle Service คอยให้บริการรับ-ส่ง ไปยังสถานีรถไฟฟ้ามาให้ครับ ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับลูกบ้านได้ดีเลยทีเดียว
สำหรับที่ตั้งของ Sales Gallery จะอยู่คนละที่กับตำแหน่งที่ตั้งโครงการนะครับ โดยจะตั้งอยู่ตรง Summer Hub ที่แยกพระโขนง ซึ่งถ้าใครที่ขับรถมาจากทางด่วนเหมือนผม ก็สามารถใช้ทางด่วนเฉลิมมหานคร มาลงที่ถนนกล้วยน้ำไท ขับตรงมาเข้าสู่ถนนพระราม 4 แล้วเลี้ยวขวามาทางพระโขนง ก็จะเจอกับที่ตั้งของ Sales Gallery อยู่ทางซ้ายมือตรงหัวมุมถนนเลยครับ
หรือถ้าใครที่มาทางสุขุมวิทก็จะง่ายหน่อย แค่ขับตรงยาวมาเรื่อยๆ พอถึงแยกพระโขนงก็ให้เลยไปนิดนึง เพื่อไปกลับรถมาเข้า Summer Hub ก็ได้อีกเช่นกัน ส่วนใครที่ไม่ใช้รถก็เดินทางมาง่ายๆด้วยรถไฟฟ้าได้เลย ให้มาลงที่ BTS พระโขนง แล้วเดินต่อมาที่ Summer Hub ได้เลยครับ
ตอนนี้ผมอยู่บนทางด่วนเฉลิมมหานครนะ ให้ใช้ทางออกที่ 12 ตามป้ายบอกทาง ถนนอาจณรงค์ (กล้วยน้ำไท) ครับ
พอลงมาแล้วก็ให้เราขับตรงไปตามทางด้านซ้าย ก่อนจะมาเลี้ยวซ้ายที่ทางแยก เข้าสู่ถนนกล้วยน้ำไทครับ
และเมื่อเราขับมาตามทางจนเจอกับแยกกล้วยน้ำไท ก็ให้เลี้ยวขวาไปทางพระโขนงได้เลย
ขับตรงมาเรื่อยๆ ให้อยู่บริเวณเลนกลางไปก่อน แต่พอใกล้ถึงแยกพระโขนงแล้วก็ให้เราชิดซ้าย แล้วเลี้ยวเข้าสู่ Summer Hub ได้เลยครับ
พอเราเลี้ยวรถเข้ามาใน Summer Hub แล้ว ก็จะต้องลงไปจอดรถที่ชั้นใต้ดิน ให้เราขึ้นลิฟต์มาที่ชั้น G แล้วพอเราออกมาจากลิฟต์ก็จะเจอกับประตูกระจกที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ซึ่งเป็น Sales Gallery ของโครงการนั่นเองครับ
สำหรับการจอดรถใต้ดินนั้นจะมีการจำกัดเวลา และเสียค่าจอดด้วยนะครับ แต่ถ้าเรามาดูโครงการนี้ ก็สามารถขอแสตมป์บัตรจอดรถกับโครงการได้ฟรี จะได้ไม่เสียค่าที่จอดนะ
ส่วนถ้าใครที่มาจากรถไฟฟ้า BTS พระโขนง ก็ให้ใช้ทางออกที่ 4 ครับ แล้วเดินลงบันไดมาทางซ้ายได้เลย
จากบันไดสถานี ให้เดินตรงมาตามทางเรื่อยๆ ประมาณ 60 m. ก็จะเจอกับที่ตั้ง Sales Gallery ที่อยู่ใน Summer Hub ทางขวามือแล้วครับ
บรรยากาศภายในจะมีที่นั่งให้คุยหลายจุด มีโมเดล และเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ให้ติดต่อสอบถามกันได้อยู่ทางด้านหน้าเลยครับ
ส่วนพื้นที่ด้านในนอกจากจะมีห้องตัวอย่าง กับทางออกด้านหลังไปยังชั้นจอดรถใต้ดินแล้ว ก็ยังมีการจัดเป็น Gallery แสดงรูปภาพ Perspective ของโครงการ และวัสดุต่างๆ ที่จะนำไปใช้จริงให้ได้ดูกันอีกด้วย
และถ้าใครที่ต้องการเดินทางไปชมที่ตั้งโครงการกันต่อ จาก Sales Gallery ก็ให้เราขับรถออกมาที่แยกพระโขนง ซึ่งตรงจุดนี้จะมีทางเลือกอยู่ 2 ทางครับ เราสามารถเลี้ยวขวาเพื่อไปเข้าซอยสุขุมวิท 71 แล้วเข้าจากซอยปรีดี พนมยงค์ 41 ก็ได้ ซึ่งการเดินทางจะค่อนข้างสะดวก และใกล้มากกว่าครับ
แต่ถ้าใครที่เลี้ยวมาทางซ้าย ก็สามารถไปทางซอยสุขุมวิท 63 หรือซอยเอกมัยก็ได้นะ โดยจะเข้ามาทางซอยเอกมัย 22 และลักษณะของซอยจะมีการหักเลี้ยว 1 – 2 ครั้ง ไม่ได้ขับตรงเข้ามาได้เลยเหมือนซอยปรีดีฯ 41 รวมถึงอาจใช้เวลามากกว่า เพราะเนื่องจากรถในซอยเอกมัยค่อนข้างหนาแน่นพอสมควรเลยครับ แต่เราจะได้เห็นความคึกคักและความอุดมสมบูรณ์ของซอยเอกมัยตลอดเส้นทางเลยนะ
ซึ่งการเดินทางในวันนี้ผมขอพาทุกคนไปทางซอยสุขุมวิท 71 ครับ เพราะหลายๆคนคงจะคุ้นเคยกับซอยเอกมัยกันเป็นอย่างดีแล้ว งั้นผมจะพาไปดูบรรยากาศซอยลูกพี่ลูกน้องของซอยเอกมัยกันดีกว่าครับว่าจะเป็นยังไงบ้าง โดยจากตรงแยกพระโขนงด้านหน้า Summer Hub นี้ก็ให้เราเลี้ยวขวาไปได้เลยครับ
จากแยกพระโขนงมาประมาณ 200 m. ก็ให้เราเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ซอยสุขุมวิท 71 ได้เลย
บรรยากาศภายในซอยถึงแม้จะไม่ได้คึกคักเท่ากับซอยเอกมัย แต่ก็มีร้านค้าอยู่พอสมควร ทั้งพระโขนงพลาซ่า หรือตามใต้ตึกแถวต่างๆ อีกทั้งยังมี Makro Food Service และ Max Value อีกด้วย โดยสิ่งที่ผมชอบของถนนนี้จริงๆคือ ความกว้างของช่องจราจร ที่ใหญ่ไม่แพ้ซอยเอกมัยเลย แต่กลับมีจำนวนรถที่น้อยกว่า จึงทำให้รถไม่ติด เดินทางได้สะดวกครับ
ขับตรงมาเรื่อยๆ แล้วจึงเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ซอยปรีดี พนมยงค์ 41 ได้เลยครับ มีจุดสังเกตคือฝั่งตรงข้ามกับปากซอยจะมีร้าน The Pizza Company และอาคาร PB Tower ตั้งอยู่นั่นเอง
จากนั้นขับตรงเข้ามาในซอยประมาณ 550 m. ก็จะเจอกับที่ตั้งโครงการอยู่ทางขวามือครับ
บริบทโดยรอบของโครงการส่วนใหญ่จะเป็นบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ ที่มีพื้นที่สวนสีเขียวค่อนข้างมาก มีความสูงแค่ 2 ชั้น และมีที่ว่างกับอาคาร 5 ชั้นอยู่บ้างครับ เนื่องจากเป็นทำเลในซอยจึงเงียบสงบ และเป็นส่วนตัว สามารถสรุปได้ดังนี้
- ทิศเหนือ : ติดกับที่ว่าง และมีบ้านเดี่ยวสูง 2 ชั้น
- ทิศใต้ : เป็นทางเข้าหลักด้านหน้าโครงการ ติดกับซอยเอกมัย 22 หรือซอยปรีดี พนมยงค์ 41 ฝั่งตรงข้ามเป็นบ้านเดี่ยวสูง 2 ชั้น
- ทิศตะวันออก : ติดกับสวนสีเขียวของบ้านหลังใหญ่ที่สูง 2 ชั้น ถัดออกไปจะมีอาคารสูง 5 ชั้น
- ทิศตะวันตก : ติดกับบ้านเดี่ยวสูง 2 ชั้น
มาเดินดูบรรยากาศจริงกันครับ บริเวณด้านหน้าของโครงการจะเป็นถนนซอยเอกมัย 22 ที่เชื่อมต่อกับซอยปรีดี พนมยงค์ 41 ซึ่งเป็นถนน 2 เลนกว้าง 8 m. รถสามารถขับสวนทางกันได้ ซึ่งเดิมทีที่ดินเก่าของโครงการนี้เคยเป็นบ้านหลังใหญ่มาก่อน โดยผมจะพาไปดูทางด้านซ้ายของโครงการกันก่อนนะ
ติดกับที่ดินโครงการทางซ้ายมือจะเป็นบ้านเดี่ยวหลังใหญ่สูง 2 ชั้นครับ
ส่วนฝั่งตรงข้ามก็จะเป็นบ้านเดี่ยวหลังใหญ่อีกเช่นกัน บรรยากาศโดยรอบค่อนข้างร่มรื่นเลยทีเดียว เพราะบ้านทุกหลังของที่นี่จะมีสวน และปลูกต้นไม้ใหญ่ไว้หน้าบ้านเต็มไปหมดเลย
หันมาทางด้านขวาของโครงการก็จะเป็นบ้านเดี่ยวสูง 2 ชั้น อีกเหมือนกัน แต่ลักษณะเด่นของบ้านหลังนี้คือ เค้าจะมีที่ดินค่อนข้างใหญ่ ตัวบ้านจะอยู่ถัดเข้าไปด้านใน เลยตัวอาคารของโครงการเข้าไปอีก ทำให้ห้องพักที่หันมาด้านนี้จะสามารถมองเห็นต้นไม้และสวนของบ้านหลังนี้ได้นั่นเอง
ส่วนบรรยากาศภายในซอยก็จะเต็มไปด้วยบ้านหลังใหญ่ที่มีที่ดินค่อนข้างกว้าง ปลูกต้นไม้ไว้ที่หน้าบ้านดูร่มรื่น โดยถ้าเป็นบริเวณใกล้ๆปากซอยถึงจะเริ่มมีอาคารสูง 5 ชั้นครับ โดยไม่มีทางเท้านะครับ และปากซอยฝั่งปรีดีฯ 41 จะไม่มีวินมอไซค์นะ แต่จะมีทางฝั่งของปากซอยเอกมัย 22 แทน (อยู่ตรงเซเว่นปากซอย ห่างจากโครงการ 700 m.)
สถานที่สำคัญใกล้เคียงต่างๆ เช่น
- The Commons ~ 1.6 km.
- J Avenue ~ 1.7 km.
- Big C เอกมัย ~ 1.7 km.
- โรงพยาบาล คามิลเลียน ~ 1.8 km.
- Nihonmura Mall ~ 2 km.
- Eight Thonglor ~ 2 km.
- Donki Mall Thonglor ~ 2.2 km.
- Parklane ~ 2.2 km.
- เวิ้งโบราณ ~ 2.2 km.
- Max Value ~ 2.3 km.
- Makro food service ~ 2.3 km.
- โรงพยาบาล สมิติเวช ~ 2.4 km.
- Summer Hill ~ 3.2 km.
- Major เอกมัย ~ 3.3 km.
- Gateway Ekamai ~ 4 km.
- Rain Hill ~ 4.1 km.
- The Emporium ~ 4.2 km.
- The EmQuartier ~ 4.4 km.
- The Twenty Six ~ 4.4 km.
- K Village ~ 5 km.
- สวนเพลิน มาร์เกต ~ 5.1 km.
รายละเอียดโครงการ
โครงการ Holme Ekkamai 22 เป็นคอนโด Low Rise 8 ชั้น ตั้งอยู่บนที่ดินขนาด 0-3-99 ไร่ และมีจำนวนยูนิตเพียง 90 ห้อง จึงค่อนข้างเป็นส่วนตัวครับ โดยจากโมเดลจะเป็นรูปแบบ 1 อาคาร แต่ถูกแบ่งในส่วนของชั้นพักอาศัยออกเป็น 2 Tower แล้วเชื่อมต่อกันด้วยชั้น Facilities ทำให้โซนพักอาศัยทั้ง 2 ฝั่ง สามารถมาใช้งานพื้นที่ส่วนกลางได้สะดวก ซึ่งช่องระหว่างอาคารที่เกิดขึ้นนี้ จะทำหน้าที่เป็นช่องลม ทำให้ห้องพักที่หันเข้ามาด้านในสามารถเปิดระบายอากาศได้ดี และมีช่องแสงเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังทำให้ตัวอาคารทั้งหมดดูไม่ทึบตันจนเกินไปอีกด้วยครับ
ส่วนหน้าตา facade ทางโครงการให้ข้อมูลมาว่า มาจาก Concept : HOME ที่หมายถึงบ้าน จึงนำลักษณะรูปทรงสามเหลี่ยมของหลังคาบ้านมาใช้ตกแต่ง facade และจะเน้นพื้นที่ใช้สอยภายในที่กว้างขวาง ให้รู้สึกเหมือนอยู่บ้านมากขึ้นครับ ส่วนตัว L ที่เพิ่มลงไปในชื่อโครง HOLME นั้น มาจากคำว่า Love & Life ซึ่งหมายถึง การได้ใช้ชีวิตในบ้าน ที่เต็มไปด้วยความรักและความอบอุ่นนั่นเองครับ
และในวันที่ผมไปถ่ายรีวิวนั้น ก็มีโอกาสได้เจอกับสถาปนิกที่ออกแบบโครงการนี้ด้วย จึงได้ข้อมูลเพิ่มเติมมาว่า ความจริงแล้วที่เค้าออกแบบ facade เป็นแบบนี้ นอกจากจะต้องการให้เกิดความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวแล้ว ยังมีประโยชน์ในแง่ของฟังก์ชันการใช้งานอีกด้วย นั่นคือ Slope ของตัว facade นอกจากจะช่วยบังแสงแดด และกันฝนสาดได้แล้ว ยังช่วยป้องกันไม่ให้นกต่างๆมาเกาะได้ ซึ่งจะทำให้ตัวอาคารไม่สกปรกหรือโทรมเร็วอีกด้วยครับ โดยวัสดุที่จะนำมาใช้นั้นจะเป็น Terracotta Cladding ที่มีลักษณะคล้ายหินสีเทาครับ (ปล. วัสดุอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ครับ)
มาดูผัง Master Plan กันครับ ทางเข้า-ออกโครงการจะมีด้านหน้าทางเดียว จากซอยเอกมัย 22 และมีจุด Drop-Off อยู่ด้านหน้า Lobby ให้วนรถรับ-ส่งกันได้สะดวก แต่ถ้าเป็นลูกบ้านที่ต้องการจะจอดรถ ก็จะต้องลงทางลาดไปชั้นใต้ดินด้านซ้ายมือ ซึ่งจะมีไม้กั้นกระดกกั้นเอาไว้ก่อนจะลงทางลาดครับ ส่วนพื้นที่ด้านในอาคารบริเวณหน้าสุด จะเป็นส่วนต้อนรับของ Reception และจุดนั่งพักคอยต่างๆด้านใน แบ่งเป็น Living area และ Children’s Play Room พร้อมกับมีสวน Private Pocket Garden ให้ได้ชมวิวผ่านผนังกระจก หรือจะออกไปนั่นเล่น/เดินเล่นก็ได้ครับ นอกจากนี้จะมีบันไดที่อยู่ตรงกลางอาคาร ซึ่งจะเชื่อมต่อกับ Facilities ที่อยู่บนชั้น 2 ได้อีกด้วย
ส่วนบริเวณโถงลิฟต์หรือโซนพักอาศัย จะต้องใช้ Key Card Access เพื่อความปลอดภัยและเป็นส่วนตัว โดยที่ห้องพักอาศัยของชั้น 1 ที่อยู่ด้านหลังโครงการ จะเป็นห้อง Duplex ทั้งหมด 8 ยูนิตครับ โดยที่โถงทางเดินหน้าห้องจะมีความเป็นส่วนตัวลดลงไปบ้าง เพราะทุกคนที่อยู่ Tower ด้านหลังจะต้องเดินผ่านเพื่อไปขึ้นลิฟต์ก็จริง แต่จะได้ความเป็นส่วนตัวจากสวนที่ระเบียงห้องแทน เพราะพื้นที่สีเขียวโดยรอบโครงการ จะไม่ใช่ฟังก์ชันที่คนทั่วไปจะเดินผ่าน หรือออกไปใช้งานได้ ทำให้เป็นเหมือนสวนส่วนตัว ที่ชมวิวได้เต็มที่จากในห้องนั่นเองครับ
มาดูที่โมเดลกันต่อครับ เริ่มจากทางเข้า-ออกด้านหน้าจะมีป้ายชื่อโครงการ และป้อมยามตั้งอยู่ โดยถ้าใครที่เป็นลูกบ้านแล้วมีสติกเกอร์ก็จะขับผ่านเข้าไปได้เลย แต่สำหรับ Visitor จะต้องแลกบัตรก่อน ถึงจะผ่านเข้าไปได้ครับ
ตัว Drop-Off จะอยู่ด้านหน้าใต้อาคาร ซึ่งดีมากๆตรงที่สามารถกั้นแดดกันฝนได้ดี ลงรถเสร็จก็เดินเข้า Lobby ได้เลย ส่วนถ้าใครที่จะลงไปจอดรถใต้ตึกก็จะต้องผ่านไม้กั้นกระดก ระบบ RFID (ไม่ต้องเปิดกระจกมาแตะบัตร) ก่อนที่จะลงทางลาด แล้วขาออกเราก็จะมาโผล่ขึ้นอีกฝั่งหนึ่งครับ
บรรยากาศภายใน Living area จะมีขนาดค่อนข้างใหญ่ ได้ฝ้าสูงแบบ Double Volume ซึ่งภาพ Perspective จะแบ่งออกเป็น 2 ด้านครับ เริ่มจากด้านซ้ายมือ เมื่อเราเข้ามาจากส่วนของ Reception จะมีทั้ง Mail box และพื้นที่ Children’s Play Room อยู่ใต้บันได ส่วนด้านบนจะเป็น Co-Working Space ครับ
ส่วนด้านขวามือจะเป็น Living Area และสวน Private Pocket Garden ที่สามารถออกไปใช้งานทางด้านซ้ายได้ ส่วนชั้นบนของทางฝั่งนี้จะเป็น Library ครับ ซึ่งเราจะสังเกตได้ว่าโครงการนี้จะตกแต่งสไตล์ Homey เน้นความอบอุ่น และเป็นธรรมชาตินั่นเองครับ
ขออธิบายพื้นที่ภายนอกเพิ่มอีกสักหน่อยนะครับ คือพื้นที่สวนของโครงการนี้จะมีอยู่หลายจุด ทั้ง Private Pocket Garden ชั้น 1 ที่อยู่ตรงกลาง มีสวนบนชั้น 3 และที่ชั้นดาดฟ้าอีกด้วย แต่สำหรับสวนโดยรอบอาคาร จะเป็นสวนที่ไม่สามารถออกมาใช้งานได้นะครับ ซึ่งห้อง Duplex ที่อยู่ชั้น 1 เค้าก็จะมีพื้นที่ใช้สอยถึงแค่ส่วนระเบียงห้องตัวเอง (ในกรอบสีเหลือง) เท่านั้น โดยพื้นที่สวนด้านนอกที่เหลือจะมีการยก Step สูงขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง แต่ก็ทำให้ห้องพักที่อยู่โซนด้านหลังทั้งหมดนี้ จะได้รับวิวสวนไปด้วยนั่นเอง แต่ผมมองกลับกันอีกอย่างคือ แนวต้นไม้ต่างๆเหล่านี้จะช่วยในเรื่องความเป็นส่วนตัว ระหว่างห้องพักอาศัยชั้น 2 – 3 กับบ้านพักอาศัยที่อยู่ติดกันนั่นเองครับ
ขึ้นมาดูแปลนชั้น 2 กันบ้างครับ สำหรับชั้นนี้บริเวณโซนด้านหน้าจะเป็น Library และ Co-Working Space ที่สามารถเดินขึ้นบันไดมาจาก Living area ชั้น 1 ได้ ส่วนห้องพักอาศัยจะเป็นชั้น 2 ของห้อง Duplex ที่ต่อเนื่องมาจากชั้น 1 ซึ่งห้องประเภทนี้เค้าจะต้องมีประตูทางออกที่ชั้น 2 ด้วยครับ
แปลนชั้น 3 จะเริ่มเป็นชั้นพักอาศัยแบบเต็ม Floor ทั้งหมดแล้วครับ แต่พิเศษกว่าชั้นอื่นหน่อยตรงที่จะมี Garden อยู่ตรงกลางด้วยครับ ซึ่งสวนนี้เป็นพื้นที่สีเขียว เพิ่มออกซิเจนให้ทางโครงการและการพักผ่อนทางสายตา โดยห้องในกรอบสีแดงและสีชมพูที่ผมตีกรอบเอาไว้นั้นจะเป็นห้องที่อยู่ติดกับสวน สามารถชมสวนในระยะประชิดได้จากหน้าต่างห้องของตัวเองเลยครับ แต่ก็แลกกับเรื่องความเป็นส่วนตัวที่ลดลงไปบ้าง เพราะห้องพักอื่นๆก็สามารถมาใช้งานสวน ได้เช่นกัน ซึ่งต้องรอดูของจริงนะครับว่า เค้าอาจมีการทำเป็นแนวต้นไม้ ช่วยบังสายตาให้กับหน้าต่างของห้องพักเหล่านี้เอาไว้ให้ก็ได้ แต่ที่แน่ๆ ห้องในกรอบสีชมพูจะมีความเป็นส่วนตัวน้อยกว่าห้องอื่นๆในชั้นนี้ เพราะทุกคนที่จะมาใช้งานสวนจะต้องเดินผ่านห้องของเค้าไปก่อนนั่นเองครับ
แปลนชั้น 4 – 7 จะเป็น Typical Floor Plan ของโครงการนี้ครับ ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 2 Tower ชัดเจน ทำให้ในแต่ละชั้นจะมีเพื่อนบ้านเพียงแค่ 7 ห้องเท่านั้น ค่อนข้างเป็นส่วนตัวมากๆครับ และตัวลิฟต์โดยสารเค้าก็มีมาให้ฝั่งละ 2 ตัว ซึ่งลิฟต์ที่อยู่โซนด้านหลังฝั่งทิศเหนือจะมีอัตราส่วนลิฟต์อยู่ที่ 24.5 : 1 ส่วนลิฟต์ที่อยู่โซนด้านหน้าฝั่งทิศใต้จะมีความเป็นส่วนตัวมากกว่าหน่อยอยู่ที่ 20.5 : 1 ถือว่าเป็นโครงการที่มีความหนาแน่นน้อยมากๆเลยครับ
นอกจากนี้ผมยังมี detail เล็กๆน้อยๆของการออกแบบมากฝากด้วยครับ ถ้าทุกคนสังเกตดีๆจะเห็นว่า Tower ทั้ง 2 จะมีระยะที่เหลื่อมกันเล็กน้อย ซึ่งแนวความคิดของผู้ออกแบบคือ ต้องการให้ฝั่งที่มีจำนวนห้องที่มากกว่า มีระยะ set back ที่มากกว่าอยู่ที่ 4 m. ส่วนอีกด้านที่มีห้องน้อยกว่า จะมีระยะ 3 m. ครับ และจากนั้นจะมีการสลับด้านกันของทั้ง 2 Tower อีกทีหนึ่ง นั่นเป็นเพราะเค้าต้องการเผื่อระยะสายตา ในกรณีที่มีอาคารข้างเคียงเกิดขึ้นในอนาคต ห้องพักส่วนใหญ่ของโครงการนี้ก็ยังจะมีระยะที่เป็นส่วนตัวอยู่นั่นเองครับ สำหรับช่องตรงกลางระหว่างอาคารจะห่างกันอยู่ที่ 5.7 m. ครับ ส่วนตำแหน่งห้องต่างๆก็มีลักษณะเด่นที่แตกต่างกันออกไปดังนี้
- กรอบสีแดง : เป็นห้อง 2 Bedrooms ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของโครงการ 60.5 และ 69.5 ตารางเมตร มีอยู่ชั้นละ 1 ห้อง/Tower เท่านั้น เหมาะกับครอบครัวขนาดใหญ่ หรือคนชอบพื้นที่ห้องกว้างๆครับ
- กรอบสีเหลือง : เป็นห้องขนาดเล็กที่สุดของโครงการ 33.75 ตารางเมตร จะอยู่ในตำแหน่งด้านหลังสุด และเป็นห้องที่อยู่ด้านหน้าโถงลิฟต์อีกด้วย จึงอาจได้ผลกระทบจากเสียงด้านนอกอยู่บ้าง (โชคดีที่ชั้นนึงมีแค่ 7 ห้องเท่านั้น) เหมาะกับคนที่อยู่คนเดียว มีงบประมาณจำกัด หรือนักลงทุนทั้งหลายที่ต้องการห้องราคาดีๆครับ
- กรอบสีน้ำเงิน : เป็นห้องตัวอย่างของโครงการ 42.5 ตารางเมตร ที่ทุกคนจะได้เห็นกันได้พาร์ทต่อไป มีเพียงตำแหน่งเดียวในโครงการเท่านั้น
- กรอบสีฟ้าและสีชมพู : เป็นห้องมุมที่อยู่ติดกับช่องว่างระหว่างอาคาร ซึ่งทำหน้าที่เป็นช่องลมและช่องแสง เปิดระบายอากาศรับลมได้ดี ซึ่งถ้าเป็นชั้นไม่สูงมากอย่างชั้น 4 – 5 ก็จะมองเห็นสวนและต้นไม้ชั้น 3 จากในห้องได้ครับ โดยที่ผมแยกสีเอาไว้เพราะทั้ง 2 ห้องให้ความสำคัญกับฟังก์ชันไม่เหมือนกัน สำหรับห้องสีฟ้าจะให้ความสำคัญกับห้องนอน ที่นำมาไว้ตรงมุมอาคาร ทำให้รับวิวได้ทั้งด้านข้างและด้านนอกโครงการ ส่วนห้องสีชมพูจะให้ความสำคัญกับห้องนั่งเล่นแทนครับ
แปลนชั้น 8 เป็นชั้นพักอาศัยที่มี Facilties อย่าง Fitness เข้ามาเชื่อมอาคารตรงกลาง ซึ่งสามารถเข้ามาใช้งานจากอาคารพักอาศัยได้ทั้ง 2 ด้าน พร้อมกับมีห้องน้ำในตัวให้ใช้งานสะดวกด้วยครับ โดยห้องน้ำชายจะได้เป็น Sauna ส่วนห้องน้ำหญิงจะได้เป็น Stream นะครับ
สำหรับห้องพักของชั้นนี้จะลดลงฝั่งละ 1 ห้อง และจะเหมาะกับคนที่ชอบการออกกำลังกายเป็นประจำ สามารถเดินมาใช้งานได้ง่าย เสมือนมี Fitness ส่วนตัว แลกมากับความเป็นส่วนตัวของโถงทางเดินหน้าห้องที่ลดลงไปบ้าง เพราะคนจากชั้นอื่นๆก็สามารถมาที่ชั้นนี้ เพื่อมาใช้งาน Fitness ได้เหมือนกันนะ
ชั้นดาดฟ้าเป็นชั้น Facilities แบบจัดเต็มยก Floor หลักๆจะประกอบด้วยสวน พื้นที่นั่งเล่น และสระว่ายน้ำตรงกลาง ซึ่งถ้าใครยังจำได้ ว่าชั้นล่างของสระว่ายน้ำนี้คือ Fitness ซึ่งต่างจากโครงการทั่วไปที่มักจะเป็นห้องพักอาศัย ซึ่งผมมองว่าดี เพราะช่วยลดปัญหาเสียงของปั๊มน้ำ หรือลดความเสี่ยงที่จะเกิดการรั่วซึมของสระลงไปชั้นล่างในอนาคตได้ครับ ส่วนอีกเรื่องหนึ่งคือ ทุกคนสามารถมาใช้งาน Rooftop นี้ด้วยการขึ้นลิฟต์มาได้โดยตรง ไม่ต้องเดินขึ้นบันไดมาจากชั้น 8 เองครับ
จากโมเดลเราจะเห็นรายละเอียดของการออกแบบชัดเจนมากขึ้น โดยรอบอาคารจะมีกรอบรั้วเพื่อความปลอดภัย มีการปลูกต้นไม้ขนาดใหญ่เพื่อความสดชื่นและให้ร่มเงา รวมถึงพื้นที่ Outdoor Living บริเวณหน้าโถงลิฟต์ก็จะมีกันสาดช่วยบังแดดบังฝน ทำให้ออกมาใช้งานได้จริงอีกด้วยครับ
ภาพจำลองบรรยากาศ Rooftop Garden ดูร่มรื่นและเป็นส่วนตัวมากๆเลยทีเดียวครับ
ส่วนภาพนี้จะทำให้เราเห็นด้านข้างของสระว่ายน้ำ ซึ่งจะปลูกเป็นแนวต้นไม้เอาไว้ เปรียบเสมือนเป็นการว่ายน้ำในสวนของบ้านตัวเอง ไม่ได้เป็นแบบว่ายน้ำไปแล้วชมวิวไปนะครับ ซึ่งผมก็มองว่าดูสดชื่นและเป็นส่วนตัวดีเลยทีเดียว
ส่วนตรงพื้นที่ Outdoor Living ก็จะมีกันสาด และชุดโต๊ะเก้าอี้เตรียมไว้ให้ขึ้นมานั่งเล่นพักผ่อนกันได้ครับ
ซึ่งของจริงถ้ามีการปลูกต้นไม้ประดับแบบในภาพ Perspective จะทำให้ได้บรรยากาศเหมือนเดินเล่นอยู่ในสวนของบ้านเลยล่ะครับ
สรุปสิ่งอำนวยความสะดวก
- ชั้น 1
- Reception + Lobby
- Living Area
- Children’s Play Room
- สวนหย่อมที่ชั้น 1, 3 และ ดาดฟ้า
- Co-Working Space
- Library
- Garden
- Fitness
- Stream / Sauna
- Swimming Pool ระบบ เกลือ ขนาด 3 x 16 เมตร ลึก 1.20 เมตร
- Kids Pool
- Outdoor Living
- Rooftop Garden
แบบห้อง
มาถึงเรื่องห้องพักอาศัยกันแล้วนะครับ ซึ่งห้องพักของโครงการนี้จะมีอยู่ด้วยกัน 3 Type ขายแบบ Fully Fitted คือให้เฉพาะชุดครัว ตู้เสื้อผ้า เครื่องปรับอากาศ และสุขภัณฑ์ต่างๆในห้องน้ำเท่านั้น รวมถึงยังมีระบบ Home Automation ที่สั่งเปิด-ปิดไฟในห้องพักได้อีกด้วย ซึ่งแบบห้องจะประกอบด้วย
- 1 Bedroom ขนาด 33.75 – 42.5 ตร.ม.
- 2 Bedrooms ขนาด 60.5 – 77.25 ตร.ม.
- Duplex ขนาด 66.75 – 101 ตร.ม.
และในวันนี้ทาง Sales Gallery ก็มีห้องตัวอย่างให้ดู 1 แบบครับ เป็นห้อง 1 Bedroom ขนาด 42.5 ตารางเมตร ซึ่งความจริงแล้วห้อง 1 Bedroom ของโครงการนี้จะมีหลาย Layout มากๆเลยนะ แต่สำหรับห้องตัวอย่างนี้จะเป็นอย่างไรเราไปชมพร้อมๆกันครับ
ห้อง 1 Bedroom ขนาด 42.5 ตารางเมตร เป็นห้องมุมที่อยู่ทางด้านหน้าโครงการฝั่งทิศใต้ และมีเพียงชั้นละ 1 ห้องเท่านั้นครับ โดยฟังก์ชันของห้องนี้จะให้ความสำคัญของพื้นที่ Common area และห้องนอนเท่าๆกัน และได้เป็นพื้นที่ครัวเปิดหน้าห้อง แต่ถ้าอยากทำอาหารจริงจังอาจต้องกั้นฟังก์ชันเพิ่มเติมครับ นอกจากนี้ยังใช้เป็น Foyer ต้อนรับได้ดี ช่วยบังสายตาและเพิ่มความเป็นส่วนตัวให้กับ Living area ด้านในได้ด้วย โดยห้องนั่งเล่นจะอยู่ติดกับระเบียงห้อง ที่แบ่งพื้นที่เก็บ Condensing unit เอาไว้เรียบร้อย และมีพื้นที่อเนกประสงค์ริมหน้าต่างให้ได้จัดมุมส่วนตัวตาม Lifestyle กันได้อีกด้วย
ห้องน้ำสามารถเข้าได้ทั้งจากห้องนั่งเล่นและห้องนอน เวลาแขกมาหาที่ห้องก็จะไม่เสียความเป็นส่วนตัว ส่วนห้องนอนจะกั้นด้วยผนึงทึบ ได้ความเป็นส่วนตัว และมีขนาดค่อนข้างใหญ่ สามารถแบ่งพื้นที่เป็น Walk in closet ได้อีกด้วย รวมถึงยังได้ช่องแสง 2 ด้าน ทำให้ห้องดูโปร่งโล่งและสว่างมากขึ้นเยอะเลยครับ ซึ่งของจริงจะเป็นอย่างไร เราไปชมกันเลยดีกว่า
ประตูหน้าห้องจะได้เป็นประตูไม้บานทึบ กรุผิววีเนียร์ไม้วอลนัท มีตาแมว และติด Digital Door Lock ของ Hafele มาให้พร้อมใช้งานครับ
เมื่อเปิดประตูเข้ามาในห้องจะเจอกับส่วนครัวก่อนนะ ซึ่งทำหน้าที่เป็น Foyer ส่วนต้อนรับไปด้วยในตัว และทำให้เรามองไม่เห็นพื้นที่ส่วนอื่นในห้อง ช่วยเรื่องความเป็นส่วนตัวได้ดีครับ
เริ่มกันที่พื้นที่ครัวก่อนนะ ซึ่งเราจะได้เป็นครัวเปิดแบบนี้ โดยพื้นของครัวจะเป็นกระเบื้องเซรามิคสีเทา ขนาด 30 x 60 cm. สามารถเช็ดทำความสะอาดได้ง่าย และมีความสูงจากพื้นถึงฝ้าอยู่ที่ 2.45 m.
ตรงประตูทางเข้าจะ Built in ตู้เก็บรองเท้ามาให้แบบนี้เลยครับ สามารถใช้งานตอนเข้า-ออกจาห้องได้สะดวกทีเดียว และติดกันจะเป็นพื้นที่วางตู้เย็น ขนาด 60 x 60 cm. สูง 1.75 m. นะ
ชุดครัวทางโครงการจะ Built in มาให้แบบนี้เลยครับ (ของจริงตู้ด้านบนจะเลื่อนสูงขึ้นไปอยู่ติดกับฝ้านะ) รวมแล้วมีพื้นที่เก็บของเหมาะกับการอยู่อาศัย 1 – 2 คน หน้าบานตู้ด้านล่างเป็นไม้ลามิเนต ส่วนด้านบนเป็น Vineer ผิวไม้วอลนัท ติดตั้ง Soft Close กันกระแทกมาให้ทั้งหมด และมีที่วางไมโครเวฟอยู่ด้านล่าง ใช้งานได้สะดวก
Top เคาน์เตอร์ครัวเป็นหินอ่อนแท้ มีความสวยงาม แต่จะมีรูพรุนตามธรรมชาติค่อนข้างเยอะ ทำให้ต้องดูแลรักษาดีๆหน่อยครับ ไม่งั้นจะเป็นรอยด่างได้ง่าย ส่วน Backsplash ด้านหลังของจริงจะเป็นกระเบื้องเซรามิคแบบเดียวกับพื้นครัวนะ ทำให้เช็ดทำความสะอาดได้ง่าย ติดตั้งมาพร้อมกับอ่างล้างจานแบบฝังเคาน์เตอร์ 1 หลุมของ Franke และ Hop&Hood ของ Gorenje ต่อท่อดูดกลิ่นและควันออกภายนอกมาให้ครับ
เข้ามาด้านในห้องจะเป็น Common area ที่เชื่อมต่อกันทั้งพื้นที่โต๊ะทานอาหารและห้องนั่งเล่น โดยความสูงของพื้นถึงฝ้าจะเพิ่มขึ้นเป็น 2.7 m. และวัสดุปูพื้นจะเปลี่ยนเป็น Engineered Wood ลายไม้โอ๊คสีอ่อนแบบนี้ ซึ่งค่อนข้างทนน้ำและรอยขีดข่วนได้ดีกว่าพื้นลามิเนต แต่ที่ผมชอบก็คือ ช่องแสงด้านข้างที่จะได้เป็นแนวยาว เนื่องจากเป็นห้องหน้ากว้างจึงค่อนข้างรู้สึกโปร่งโล่งดีทีเดียวครับ
ฝ้าเพดานฉาบเรียบทาสีขาว รวมถึงมีการดรอบฝ้าให้แบบในห้องตัวอย่างด้วยนะ และแอร์ที่ได้ก็จะเป็น Concealed Type ฝังฝ้าแบบนี้เลย ซึ่งค่อนข้างสวยงามและเนียนตาไปกับฝ้าเพดานดีครับ แต่แน่นอนว่าเวลาซ่อมแอร์ทีก็จะต้องมีการเปิดฝ้านะ โดยขนาดของแอร์ในห้องนั่งเล่นจะอยู่ที่ 17,000 BTU ส่วนในห้องนอนคือ 13,000 BTU ซึ่งค่อนข้างเย็นเลยล่ะ เหมาะกับอากาศร้อนบ้านเรามากๆ
กลับมาที่ฟังก์ชันโต๊ะทานอาหารแบบ 4 ที่นั่ง ซึ่งการที่ตั้งอยู่หลังโซฟาแบบนี้ ทำให้เราสามารถนั่งทานข้าวไปแล้วดูทีวีไปได้ด้วยครับ ดังนั้นโต๊ะตัวนี้จึงใช้เป็นโต๊ะอเนกประสงค์ในเวลาอื่นๆได้อีกด้วยนะ
ส่วนขวามือจะมีพื้นที่อเนกประสงค์ริมหน้าต่างครับ มีความกว้างประมาณ 1.8 x 0.8 m. สามารถจัดเป็นพื้นที่นั่งทำงานอ่านหนังสือ หรือจะหา Sofe bed เก๋ๆสักตัวมาตั้งเอาไว้ก็ไม่เลว
ถัดมาเป็นพื้นที่นั่งเล่น ซึ่งมีระยะดูทีวีประมาณ 2.5 m. สามารถใช้ทีวีขนาด 40 – 46 นิ้วได้ หรือใครจะใช้เป็นขนาดใหญ่ 50 นิ้ว เผื่อนั่งดูจากโต๊ะทานอาหารด้านหลังไปด้วยก็ได้นะครับ แถมตรงกลางยังสามารถวางโต๊ะหน้าทีวีเพิ่มเติมได้ โดยไม่เกะกะทางเดินหลักเลยครับ
ติดกันเป็นประตูกระจกบานเลื่อน ซึ่งสามารถเปิดออกไปใช้งานระเบียงภายนอกได้ โดยกรอบประตูจะเป็นอลูมิเนียม Euro profile สี Powder Coating แบบนี้เลย และได้เป็นกระจกนิรภัย Tempered Glass อีกด้วย ส่วนพื้นที่ระเบียงด้านนอกจะมีขนาด 1.95 x 0.7 m. ได้ราวกันตกที่ยกขอบสูงจากพื้นมาพอสมควร ด้านบนเป็นกระจกลามิเนตหนา 2 ชั้นครับ
ขวามือจะเป็นห้องเก็บ Condensing Unit ซึ่งมีประตูระแนงปิดเอาไว้แยกเป็นสัดส่วน โดยระแนงนี้จะมีลักษณะเฉียงครับ เพื่อดันลมร้อนออกไปด้านนอกระเบียงได้ ส่วนภายในจะมีขนาดพื้นที่กว้าง 50 x 70 cm. แต่อาจเข็นเครื่องซักผ้าเข้าไปไม่ได้นะครับ เพราะจะติดระยะขอบประตูครับ (แต่ไม่แน่ว่าในอนาคตโครงการอาจมีการแก้ไขก็ได้นะ)
มองย้อนกลับเข้ามาในห้อง ต่อไปเราจะไปดูห้องน้ำที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกันบ้างครับ
ภายในห้องน้ำมีขนาดค่อนข้างใหญ่ แบ่งพื้นที่ใช้งานออกเป็น 2 ส่วน โดยโซนอาบน้ำจะเป็นพื้นที่อ่างอาบน้ำทางด้านซ้าย ไม่ได้กั้นกระจกมาให้นะครับ แต่เราสามารถติดตั้งเพิ่มเองได้ หรือจะทำเป็นม่านพลาสติกก็ได้อีกเช่นกัน
สำหรับพื้นที่ส่วนแห้งจะกว้าง 1.4 x 1.7 m. สามารถใช้งานได้สะดวก และเข้าได้ทั้ง 2 ฝั่งคือจากห้องนั่งเล่นเมื่อสักครู่นี้ และจากห้องนอนครับ โดยประตูทางเข้าของจริงก็จะเป็นบานเลื่อนไม้แบบห้องตัวอย่างนี้เลยนะ (ห้องตัวอย่างยังไม่ได้ติดตัวล็อคมาให้ดู) ซึ่งลักษณะของประตูแบบนี้จะช่วยประหยัดพื้นที่เวลาเปิดได้มาก เพราะไม่มีระยะสวิงค์ แต่อาจจะปิดได้ไม่ค่อยสนิทเพราะมีช่องว่างระหว่างประตูกับผนังเล็กน้อย ส่วนประตูที่เข้าจากห้องนอนจะเป็นแบบบานเปิดปกติครับ
Top เคาน์เตอร์เป็นหินอ่อนแท้สีขาว และสุขภัณฑ์ภายในห้องน้ำทั้งหมดจะเป็นของ Cotto รุ่น OVAL Collection by Naoto Fukasawa ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากดีไซน์ทรงเรขาคณิตรูปวงรี ที่ใช้งานที่ง่าย และเป็นไปตามธรรมชาติของคน
โดยตัวก๊อกน้ำตรงผนังสามารถเลือกน้ำร้อน/น้ำเย็นได้ เพราะในผนังจะฝังท่องานระบบน้ำร้อนเอาไว้ให้แล้วครับ แต่เราต้องติดตั้งเครื่องทำน้ำร้อนที่ใต้อ่างเองนะ ซึ่งเค้าจะทำตู้มีหน้าบานปิดไว้ให้แบบนี้เรียบร้อย ส่วนอ่างล้างหน้าจะใช้วิธีกดตรงกลางอ่าง เพื่อเปิด/ปิดการระบายน้ำได้ครับ
ติดกันเป็นโถสุขภัณฑ์ Cotto แบบแขวนผนัง ซึ่งสามารถทำความสะอาดพื้นที่ใต้โถสุขภัณฑ์ได้ง่ายครับ ส่วน Low Wall ด้านหลังก็ยังสามารถวางของเล็กๆน้อยๆเพิ่มเติมได้อีกด้วยนะ
สุดท้ายคืออ่างอาบน้ำของ Cotto จะเป็นอะคริลิกทั้งชิ้นแบบไม่มีมือจับ ขนาดประมาณ 1.5 x 0.75 m. ลึก 53 cm. สามารถลงไปนั่งแช่ได้ทั้งตัว มีพื้นที่ขอบอ่างด้านซ้ายให้วางอุปกรณ์อาบน้ำได้ครับ หรือถ้าใครที่วางไม่พอ อาจทำเป็นชั้นวางของเพิ่มเติมแบบห้องตัวอย่างก็ได้นะ
ส่วนด้านขวาจะติดตั้ง Hand Shower และ Rain Shower มาให้ครับ สามารถเลือกปรับอุณหภูมิน้ำได้เหมือนกัน ส่วนฝ้าเพดานห้องจะติดตั้งพัดลมดูดอากาศให้ด้วยครับ
เข้ามาที่ห้องนอนกันบ้างครับ ภายในมีขนาดพื้นที่ค่อนข้างใหญ่ และมีช่องหน้าต่างที่กว้าง ทำให้ได้บรรยากาศที่โปร่งโล่งมากเลยทีเดียว เพียงแต่เราจะไม่สามารถติดทีวีที่ปลายเตียงตรงๆได้ครับ จะต้องติดที่ผนังทึบด้านซ้ายแทน และใช้เป็นแบบที่โยกหน้าจอทีวีมาด้านข้างได้ด้วยจะดีครับ เท่านี้เราก็สามารถนอนดูทีวีบนเตียงสบายๆได้แล้ว
มีพื้นที่รอบเตียง 70 cm. เหลือให้เดินได้สะดวก ส่วนช่องหน้าต่างที่เห็นตอนแรกจะได้เป็นแบบเข้ามุม Bay Window และสามารถเปิดระบายอากาศได้ทั้ง 2 ฝั่งเลยครับ ส่วนอีกด้านของห้องจะเป็นพื้นที่แต่งตัวนะ
โดยทางโครงการ Built เป็นฉากกั้นบานเลื่อนมาให้ดูเป็นตัวอย่าง ซึ่งจะทำให้แยกพื้นที่ออกเป็นสัดส่วนมากขึ้น มีขนาดพื้นที่แต่งตัวประมาณ 60 cm. สามารถใช้งานได้สะดวก แต่ถ้าใครที่ชอบความโปร่งโล่ง จะไม่กั้นแบบนี้ก็ได้นะครับ
ภายใน Built in ตู้เสื้อผ้าและตู้เก็บของมาให้แบบนี้เลย และจะสังเกตฝ้าเพดานด้านบนทางขวามือได้ว่า เค้าจะ Drop ฝ้ามาให้ไม่สุด เพื่อเว้นพื้นที่ไว้ให้ติดรางม่านเพิ่มเติมนั่นเองครับ
บานตู้ด้านซ้ายจะเป็นกระจกสีชา กรอบบานเป็นอลูมิเนียมสี Rose Gold และช่องวางของด้านในจะตื้นกว่าปกติครับ เนื่องจากพื้นที่ด้านหลังนี้จะเป็นช่องงานระบบนั่นเอง ส่วนตู้ด้านขวาจะเป็นหน้าบานไม้ทึบ ภายในเป็นตู้เสื้อผ้าที่เก็บของได้เยอะ รวมถึงจะมีไฟส่องสว่างภายในติดตั้งมาให้แบบในห้องตัวอย่างด้วยนะครับ
ส่วนสวิตซ์และปลั๊กไฟภายในห้องจะเป็นสีดำเท่ๆแบบนี้เลย ซึ่งอย่างที่ผมเกริ่นไปในตอนแรกแล้วว่าโครงการนี้จะติดตั้งระบบ Home Automation มาให้ด้วย สามารถสั่งเปิด-ปิดไฟในห้องผ่านสมาร์ทโฟนได้ทุกจุดเลยครับ
เป็นอย่างไรกันบ้างครับ สำหรับห้องตัวอย่างที่ผมพามาดูวันนี้ คือจริงๆต้องบอกก่อนว่านี่เป็นห้องขนาด 42.5 ตารางเมตร ซึ่งถือเป็น 1 Bedroom ไซส์ใหญ่มาก จึงสามารถจัดฟังก์ชันออกมาได้ลงตัว และให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้านจริงๆ ซึ่งใครที่ชอบห้องพื้นที่ใช้สอยเยอะ และอยู่ได้สบายๆแบบนี้ ก็ถือเป็นอีกหนึ่งโครงการที่เป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลยครับ
สำหรับห้องรูปแบบอื่นๆของโครงการจะมีดังต่อไปนี้
ห้อง 1 Bedroom ขนาด 37.75 ตารางเมตร เป็นห้องขนาดเล็กสุดของโครงการ และเป็นห้องมุมด้วย ห้องนอนจึงได้ช่องแสงถึง 2 ด้าน แล้วยังกั้นห้องด้วยผนังทึบ ได้ความเป็นส่วนตัว ห้องน้ำอยู่ในห้องนอนจะสะดวกแก่เจ้าของห้อง ไม่เน้นครัวมากนัก และโซฟาจะไม่ค่อยอยู่ตรง center กับทีวีสักเท่าไหร่ครับ
**รายละเอียดของวัสดุต่างๆเช่น ยี่ห้อ และรุ่น ของจริงอาจจะเป็นรุ่นนี้หรือเทียบเท่านะครับ
ราคา
ราคาและเงื่อนไขการขาย @ 24 October 2019
- 1 Bedroom 33.75 ตร.ม. ชั้น 3 ตำแหน่ง 308 ราคา 3,990,000 บาท
- 2 Bedrooms 60.5 ตร.ม. ชั้น 3 ตำแหน่ง 301 ราคา 8,001,500 บาท
- Duplex 66.75 ตร.ม. ชั้น 1 ตำแหน่ง 103 ราคา 12,105,400 บาท
- รูปแบบการขาย Fully Fitted
- ความสูงจากพื้นถึงฝ้าเพดาน 2.45 – 2.7 เมตร
- Kitchen & Sink / ท็อปหินอ่อน
- Hob & Hood / ของยี่ห้อ Gorenje
- มีรถ Shuttle Service ไปกลับรถไฟฟ้า BTS
- จอง 50,000 – 100,000 บาท
- ทำสัญญา n/a บาท
- ดาวน์ 15% ผ่อนดาวน์ 24 งวด
- ค่ากองทุน 700 บาท/ตร.ม.
- ค่าส่วนกลาง 80 บาท/ตร.ม./เดือน
- โปรโมชัน : ส่วนลดเงินสด 200,000 – 300,000 บาท (เฉพาะช่วง Presale 9 พ.ย. – 10 พ.ย. 2562 นี้)
**ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ครับ
บทสรุป
ทำเล : โครงการ Holme Ekkamai 22 ตั้งอยู่ในย่านเอกมัย ซอยเอกมัย 22 ที่เชื่อมต่อกับซอยปรีดี พนมยงค์ 41 ได้ จึงไม่ใช่ซอยตัน และมีตัวเลือกในการเดินทางค่อนข้างหลากหลาย ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกอย่างเอกมัย-ทองหล่อ หรือจะไปขึ้นทางด่วน และใช้งานรถไฟฟ้า BTS ก็ยังได้ จุดเด่นของทำเลนี้จริงๆคือบริบทโดยรอบที่ส่วนใหญ่เป็นซอยบ้านเดี่ยวขนาดใหญ่ ที่เค้าจะมีสวนสีเขียวอยู่ด้านหน้า จึงเป็นทำเลที่เงียบสงบ เหมาะแก่การอยู่อาศัย แต่จะไม่มีทางเท้าให้เดิน และกลางคืนน่าจะเงียบทีเดียวครับ
ส่วนอีกเรื่องคือ “ราคา” ครับ โดยในซอยทองหล่อจะมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 250,000 – 400,000 บาท/ตารางเมตร, ซอยเอกมัย 160,000 – 200,000 บาท/ตารางเมตร และซอยปรีดี พนมยงค์ 120,000 – 150,000 บาท/ตารางเมตร ตามลำดับครับ ถ้าใครที่กำลังมองหาคอนโดใกล้เอกมัย-ทองหล่อ ในงบประมาณจำกัดและไม่แพงมาก ซึ่งทำเลในซอยย่อย และเขยิบออกมาทางฝั่งสุขุมวิท 71 หรือปรีดี พนมยงค์ แบบนี้จึงเป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจเลยทีเดียว
การเดินทางโดยใช้รถ : ถือว่าเป็นทำเลที่ค่อนข้างสะดวกทีเดียวครับ เนื่องจากซอยสุขุมวิท 71 จะอยู่ใกล้กับทางด่วนฉลองรัชมากที่สุดในย่าน เอกมัย-ทองหล่อ ห่างจากจุดขึ้นทางด่วนด่านพัฒนาการประมาณ 2.5 km. และยังมีอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับคนที่ต้องการขึ้นไปทางเหนือ (พระราม 9 – รามอินทรา) ที่ผ่านจากซอยปรีดี พนมยงค์ 2 ได้ โดยไม่ต้องเสียเวลารถติดที่แยกคลองตันช่วงเช้าเลยครับ มีที่จอดรถ 60% อาจน้อยไปสักหน่อย สำหรับทำเลในซอยที่ต้องใช้รถเป็นหลักแบบนี้ครับ
การเดินทางโดยไม่ใช้รถ : เนื่องจากเป็นทำเลในซอยค่อนข้างลึก จึงทำให้เรียกรถสาธารณะได้ยากสักนิดนึง แต่โชคดีที่ไม่ใช่ซอยตันครับ นานๆจึงมีวินมอไซค์หรือแท็กซี่ผ่านมาบ้าง แต่สมัยนี้เราก็สามารถเรียกแท็กซี่ผ่าน Application ได้ง่ายๆครับ ส่วนวินมอไซค์ที่ใกล้ที่สุดจะอยู่ปากซอยเอกมัย 22 ระยะ 700 m. หรือถ้าใครที่ต้องการใช้รถไฟฟ้าจริงๆ ทางโครงการก็มี Shuttle Service คอยให้บริการรับ-ส่งที่รถไฟฟ้า BTS ให้นะครับ
การออกแบบโครงการ : ตัวโครงการมี facade ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว อีกทั้งยังมีประโยชน์ช่วยเรื่องกันแดดกันฝน และกันนกเกาะได้อีกด้วย ส่วนตัวอาคารจะถูกแบ่งออกเป็น 2 Tower ทำให้อาคารไม่ทึบตันจนเกินไป และทำให้ห้องพักอาศัยแต่ละชั้นจะมีเพียง 7 ห้องเท่านั้น และมีอัตราส่วนลิฟต์เพียง 22.5 : 1 จึงค่อนข้างมีความเป็นส่วนตัวสูง อีกทั้งยังทำให้ได้ห้องมุมเพิ่มมากขึ้นอีกด้วยครับ ซึ่งชั้นที่มีส่วนกลางจะเชื่อมต่อกัน ซึ่งแต่ละ Tower จะสามารถมาใช้งานได้สะดวก แต่ก็ทำให้ห้องพักอาศัยในชั้นนั้นๆมีความเป็นส่วนตัวลดลงเช่นกัน เพราะไม่ได้มีประตูกั้นส่วนโถงทางเดินโซนพักอาศัยออกจากทางไป Facilities
การออกแบบห้องพักอาศัย : มีแบบห้องให้เลือกเยอะ และค่อนข้างหลากหลายเลยครับ ซึ่งจุดเด่นของห้องโครงการนี้คือขนาดห้องเริ่มต้นที่ไซส์ใหญ่ เพราะต้องการให้มีพื้นที่ใช้สอยกว้างขวางเหมือนอยู่บ้าน จึงทำให้จัดฟังก์ชันภายในได้ค่อนข้างลงตัว และยังเป็นส่วนตัวด้วยห้องนอนที่กั้นด้วยผนังทึบ กับห้องน้ำที่เข้า-ออกได้ทั้ง 2 ทางอีกด้วยครับ และนอกจากนี้ยังมีพื้นที่อเนกประสงค์ให้จัดฟังก์ชันเพิ่มเติมได้ตาม Lifestyle ส่วนตัว หรือจะทำ Walk in closet เพิ่มเติมในห้องนอนก็ยังได้ แต่สิ่งที่ทำให้แตกต่างจากโครงการคู่แข่งในทำเลเอกมัย – ปรีดี พนมยงค์ ในปัจจุบัน ณ ตอนนี้คือมีห้อง Duplex ให้เลือกได้ด้วยนั่นเองครับ
วัสดุ : ถือว่าให้มาค่อนข้างดีเมื่อเทียบกับราคาและเพื่อนบ้านทำเลเดียวกันครับ สิ่งที่ชอบอย่างแรกคือฝ้าเพดานที่สูง 2.7 m. ทำให้โปร่งโล่ง พื้น Engineered Wood ไม้โอ๊ค ซึ่งทนน้ำและกันรอยได้ดี รวมถึงสุขภัณฑ์ Cotto รุ่น OVAL Collection ซึ่งเป็นเกรดที่ดีและดีไซน์สวยมากๆ ส่วนอื่นๆของห้องก็เป็นตามมาตรฐานทั่วไป ได้แก่ พื้นครัวและระเบียงเป็นกระเบื้องเซรามิคที่เช็ดทำความสะอาดได้ง่าย มีช่องหน้าต่างที่ให้มากว้างเกือบเต็มห้อง เป็นกรอบอลูมิเนียม Powder Coat และกระจกนิรภัย ส่วนพวก Top เคาน์เตอร์ก็ได้เป็นหินอ่อนแท้ เครื่องครัว Frangke และ Gorenje รวมถึงมี Home Automation และเครื่องปรับอากาศ Concealed Type ฝังฝ้าด้วยครับ
สาธารณูปโภค : ถือว่าให้มาเยอะและหลากหลายครับเมื่อเทียบกับจำนวนยูนิต แล้วยังมีการกระจาย Facilities ออกเป็นหลายๆชั้น เริ่มจากชั้น 1 เป็นพวก Reception, Living area, Children’s Play Room และ Private Pocket Garden เชื่อมต่อกับ Library และ Co-Working Space ด้วยบันไดที่เดินมาชั้น 2 ได้ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่อาจมีบุคคลภายนอกมานัดพบปะธุระกันได้ ส่วนชั้นอื่นๆจะเป็นส่วนเฉพาะลูกบ้านเท่านั้นจึงจะขึ้นไปใช้งานได้ อย่างสวยที่ชั้น 3 ห้อง Fitness ที่ชั้น 8 และสระว่ายน้ำที่ชั้นดาดฟ้า ซึ่งส่วนตัวผมชอบ Rooftop Garden ของโครงการนี้นะครับ เพราะเค้าจัดมาเป็นแบบสวนหลังบ้าน ที่ร่มรื่นและเป็นส่วนตัวมากเลยทีเดียว
Judgement
การให้คะแนน ให้แบบ Weight Average โดยมุ่งหาความคุ้มค่า เทียบกับราคาที่จ่ายไป โดยมีส่วนที่พิจารณาดังนี้
ทำเล 35%, การเดินทางโดยใช้รถ 15%, การเดินทางโดยไม่ใช้รถ 15%, วัสดุ 15%, การออกแบบ 10% และสาธารณูปโภค 10%
เทียบกับช่วงราคาเฉลี่ยแบบทั้งโครงการ AVG 150,000 บาท/ตร.ม.,24 October 2019
- ทำเล 7/10 – อยู่ในซอยย่อย ระหว่างเอกมัย – ปรีดีฯ เข้าเมืองสะดวก ไม่ไกลจากสิ่งอำนวยความสะดวก
- เดินทางด้วยรถ 7.75/10 – ค่อนข้างสะดวก ลัดเลาะไปออกถนนใหญ่ได้หลายเส้นทาง ใกล้ทางด่วน
- ไม่ใช้รถ 7.25/10 – ไม่ได้อยู่ใกล้รถไฟฟ้า แต่มี Shuttle Service รับส่งที่รถไฟฟ้า BTS
- วัสดุ 8/10 – ขายแบบ Fully Fiited ให้ของดี แต่ต้องแต่งเพิ่ม
- แบบ 8.25/10 – มีหลายแบบและหลาย Layout ให้เลือก จัดฟังก์ชันลงตัว เป็นสัดส่วน
- สาธารณูปโภค 8.25/10 – ให้มาเยอะเมื่อเทียบกับจำนวนยูนิต สวยงาม น่าใช้งาน
- HIGH – LUXURY CLASS
- 7.55 / 10.00
BOTTOM LINE
โครงการ Holme Ekkamia 22 เหมาะกับคนที่กำลังมองหาคอนโดในย่านเอกมัย-ปรีดี พนมยงค์ ทำเลในซอยเงียบสงบ แต่เดินทางเข้าเมืองสะดวก แนวคิดในการออกแบบชัดเจน มีความเป็นส่วนตัว มีส่วนกลางเยอะ และมีขนาดห้องค่อนข้างใหญ่ ฟังก์ชันเป็นสัดส่วน ให้วัสดุดี มีงบประมาณ 3.99 – 12.4 ล้าน หรือมีกำลังผ่อนประมาณ 28,000 – 87,000 บาท/เดือน
ติดตามพวกเราได้ที่
Website : www.thinkofliving.com
Twitter : www.twitter.com/thinkofliving
YouTube : www.youtube.com/ThinkofLiving
Instagram : www.instagram.com/thinkofliving
Facebook : ThinkofLiving