รีวิวโครงการ
BoomTharis l คอนโดหรูแห่งใหม่ติดถนนสีลม : Ashton Silom
28 เมษายน 2019
รีวิวฉบับที่ 1019.. สวัสดีค่ะ หลังจากที่เราได้พาไปรีวิวทำเลโครงการ Ashton Silom กันมาแล้ว วันนี้ก็ได้ฤกษ์ของรีวิวเจาะลึกโครงการมาให้ชมกันสักที ต้องบอกก่อนว่า Ashton ตัวนี้เป็นตัวที่ 6 แล้วจากตระกูลคอนโด Ashton ทั้งหมด แต่การออกแบบโครงการค่อนข้างแหวกแนวจากทุกตัวที่ผ่านมา มีการออกแบบโดย A49 และ Landscape Design จาก TROP ซึ่งเป็นดีไซเนอร์แนวหน้าของประเทศ ทำให้โครงการนี้มี Concept ที่น่าสนใจ และมี Detail ลูกเล่นแปลกๆที่เป็นสีสันพอสมควร หน้าตาโครงการจะเป็นอย่างไรและน่าสนใจแค่ไหน เราไปดูพร้อมๆกันเลยค่ะ
อ่านรีวิวพาไปชมทำเลโครงการ Ashton Silom คลิกที่นี่
Fact @ 11 February 2016
- Ashton Silom (แอชตัน สีลม)
- อนันดา ดีเวลลอปเมนท์
- ULTIMATE CLASS (อ่านรายละเอียดของ Segment คอนโดได้ที่นี่)
- โครงการตั้งอยู่ใน : เขตบางรัก ถนนสีลม ห่างจาก BTS ช่องนนทรีประมาณ 350 เมตร
- คอนโด High Rise 48 ชั้น 1 อาคาร 428 ยูนิต
- ยูนิตต่อชั้นสูงสุด 14 ยูนิต
- ที่จอดรถประมาณ 309 คันคิดเป็น 72%
- ที่ดินประมาณ 2-1-44.3 ไร่
- 1 Bedroom 31 – 48 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 7.9 ล้านบาท
- 2 Bedrooms 71 – 86 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น n/a ล้านบาท
- ฝ้าเพดานสูง 3.2 เมตร , แบบ 2 Bed สูง 2.8 เมตรและ 3.6 เมตร
- ราคาห้องเริ่มต้น 7.9 ล้านบาท หรือคิดเป็น 254,838 บาท/ตารางเมตร
- EIA (การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม) : อยู่ระหว่างดำเนินการ
- เพิ่มเติมข้อมูลทำเลรอบๆ BTS ช่องนนทรี ได้ที่ : มองหาทำเลน่าอยู่รถไฟฟ้า BTS ช่องนนทรี
- Call Center : 02 316 2222
เพียงแค่การกด Like ก็เท่ากับการสนับสนุนข้อมูลเชิงลึกจาก Think of Living แล้วค่ะ
สามารถเลือกอ่านตามหัวข้อต่างๆได้โดยกดปุ่มด้านล่างนะ
พิกัด : 13.726391, 100.526828
โครงการ Ashton Silom จะเห็นว่าโครงการตั้งบนถนนสีลม ห่างจากรถไฟฟ้า BTS ช่องนนทรีประมาณ 350 เมตร อยู่ในทำเลที่ตั้งที่เรียกได้ว่าย่านใจกลางธุรกิจเลย เพราะอยู่ใกล้แยกสีลม-นราธิวาส ซึ่งเป็นแยกที่ตัดระหว่างถนนสีลม และ ถนนนราธิวาสราชนครินทร์
ตัวถนนสีลมมีความยาวประมาณ 2.78 กิโลเมตร เริ่มตั้งแต่ถนนเจริญกรุง (แยกบางรัก) ไปสิ้นสุดที่ถนนพระรามที่ 4(แยกศาลาแดง) เป็นถนนสำคัญสายแรกที่เดินสายไฟฟ้าและสายโทรศัพท์ไว้ใต้ดิน จากแผนที่จะเห็นว่าโครงการอยู่กึ่งกลางของถนนสีลมใกล้กับแยกสีลม-นราธิวาส ซึ่งเป็นแยกที่ตัดระหว่างถนนสีลมและถนนนราธิวาสราชนครินทร์ โดยถนนทั้งสองเส้นนี้เป็นถนนใหญ่ที่มีอาคารสำนักงาน อาคารพักอาศัย และศูนย์การค้าใหญ่ๆตลอดเส้น โดยทางฝั่งถนนสีลมครึ่งบนไล่มาตั้งแต่แยกบางรักจนถึงแยกสีลม-นราธิวาส จะมีอาคารสำนักงานอยู่บ้าง และมีแหล่งชอปปิ้งเล็กๆน้อยๆ อย่าง Silom Villege, Silom Plaza และ Villa Market โซนนี้เหมาะกับอยู่อาศัยเพราะสงบ ไม่พลุกพล่านมากนัก
ส่วนสีลมครึ่งล่างไล่มาตั้งแต่แยกสีลม-นราธิวาส จนถึงแยกศาลาแดง จะมีความอุดมสมบูรณ์สูงและเป็นโซนที่เรียกว่าเป็น CBD ได้เต็มปากเพราะมีอาคารสำนักงานค่อนข้างหนาแน่น มีธนาคารสำนักงานใหญ่และย่อยรองรับเกือบทุกธนาคาร มีศูนย์การค้าอย่าง Silom Complex, ตลาดสีลม, ตลาดละลายทรัพย์ให้หนุ่มสาวออฟฟิศช้อปปิ้งแก้เครียดตอนกลางวัน และในยามค่ำคืนก็มีตลาดกลางคืนพัฒน์พงศ์, ธนิยะพลาซ่า ที่จะเน้นขายของที่ระลึกให้กลุ่มชาวต่างซะเป็นส่วนใหญ่ และไม่ใช่มีแค่ตลาดให้ซื้อของเท่านั้น ในซอยพัฒน์พงศ์ 2 และซอยธนิยะยังมีสถานบันเทิงที่ขึ้นชื่อ ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติโดยเฉพาะชาวญี่ปุ่น หากใครจะมาอยู่อาศัยบนถนนสีลมโซนนี้คงอยู่ยากหน่อยเพราะพลุกพล่าน ชาวต่างชาติเยอะ ไม่ค่อยสงบ เหมาะกับการทำธุรกิจหรือมาเที่ยวเป็นครั้งคราวมากกว่า ที่หัวมุมถนนสีลมตรงแยกศาลาแดงมีโรงแรมดุสิตธานี ที่เป็นโรงแรมหรูและเก่าแก่ พอข้ามถนนไปทางฝั่งถนนราชดำริ ก็มี “สวนลุมพินี” สวนสาธารณะที่เรียกได้ว่าเป็นปอดขนาดใหญ่ใจกลางกรุงเทพ
จากแผนที่จะเห็นได้ชัดว่าบนถนนสีลมทั้งเส้นแทบไม่มีอาคารสร้างใหม่ที่เป็นคอนโดเลย อย่างมากก็มีแค่โรงแรม หรือ Hostel ที่ใช้การรีโนเวทอาคารพาณิชย์มาทำเป็นที่พัก นอกนั้นก็เป็นอาคารสำนักงานและศูนย์การค้า ซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ลงทุนแล้วได้ค่าตอบแทนแน่นอน เนื่องมากจากเหตุผลเดียว “ที่ดินมีราคาแพง” การสร้างคอนโดจึงต้องใช้ทุนค่อนข้างหนา อย่างโครงการ M Silom ที่อยู่ใกล้ๆกันก็จะค่อนๆไปทางถนนนราธิวาสไม่ได้อยู่บนถนนสีลม ดังนั้นที่ดินของ Ashton Silom จึงเป็นคอนโดอาคารเดียวที่เกิดขึ้นมาในรอบหลายปีบนที่ดินติดกับถนนสีลมค่ะ
การเดินทางถ้าใช้รถสามารถเข้าออกได้หลายเส้นทาง แต่จะติดอยู่ที่รอบๆโครงการมีทาง one way ค่อนข้างเยอะ การเข้าถึงโครงการหลักๆคือสามารถเข้าได้จากถนนสีลมโดยตรง และสามารถเข้าจากถนนหลายเส้น ดังนี้
- หากมาจากถนนเจริญกรุง ผ่านแยกบางรักตรงมาเรื่อยๆ แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าโครงการได้เลย
- หากมาจากถนนสาทร ให้เลี้ยวซ้ายเข้าถนนนราธิวาสราชนครินทร์ ผ่านแยกสีลม-สาทร เลี้ยวซ้ายเข้าถนนสีลม แล้วไปกลับรถตรงแยกเดโช ขับตรงมาเรื่อยๆก็จะเจอโครงการอยู่ทางซ้ายมือค่ะ
- หากมาจากถนนสุรวงศ์ เป็นทาง One way วิ่งจากถนนพระราม 4 ไปทางถนนมเหสักข์ได้เท่านั้น โดยหากใครมาจากเส้นทางนี้ให้ใช้ทางลัดเลี้ยวเข้าทางถนนเดโช ผ่านแยกเดโชแล้วเลี้ยวซ้าย ตรงมาเรื่อยๆก็จะเจอโครงการอยู่ทางซ้ายมือค่ะ
- หากมาจากถนนพระราม 4 สามารถเข้าได้จากทางถนนสุรวงศ์ หรือถนนสีลมก็ได้ โดยหากเข้าทางถนนสีลม(แยกศาลาแดง) ให้ตรงมาเรื่อยๆแล้วไปยูเทิร์นที่แยกเดโช ส่วนถ้าเข้าทางถนนสุรวงศ์ (แยกอังรีดูนัง) ให้ตรงมาเรื่อยๆแล้วเข้าทางถนนเดโชได้ค่ะ ขอแนะนำว่าการจราจรบนถนนสุรวงศ์จะติดขัดน้อยกว่าบนถนนสีลมอยู่สักหน่อยนะ
แม้ว่าโครงการจะสามารถเชื่อมต่อไปยังถนนต่างๆได้หลายสาย แต่จะมีความลำบากตรงที่การจราจรติดขัดมาก มีถนน one way และจุดห้ามเลี้ยวอยู่หลายจุด ซึ่งถ้าพลาดก็จะทำให้เสียเวลาไปวนกลับรถได้ อย่างเช่น ถ้ามาจากถนนมเหสักข์จะไม่สามารถเลี้ยวเข้าถนนสุรวงศ์ได้เพราะถนนสุรวงศ์เป็น one way จากแยกอังรีดูนังตลอดทั้งเส้นมาจนถึงแยกมเหสักข์ ต้องเข้าโครงการทางถนนสีลมเท่านั้น หากเลยถนนสีลมไปก็ต้องไปอ้อมถนนสาทร ผ่านถนนนราธิวาส เข้าถนนสีลมแล้วไปยูเทิร์นที่แยกเดโชจึงจะเข้าโครงการได้ รวมเวลารถติดไปด้วย ก็ถือว่าเสียเวลาไปมากทีเดียว
การเดินทางโดยไม่ใช้รถถือว่าสะดวกมาก เพราะมีให้เลือกทั้ง BTS , MRT และ BRT โดยสถานีรถไฟฟ้าบนดินที่ใกล้คือสถานีช่องนนทรีโดอยู่ห่างจากโครงการประมาณ 350 เมตร หากใครเหนื่อยไม่อยากเดินก็ลง BTS เสร็จแล้ว สามารถใช้บริการรถแท็กซี่หรือพี่วินได้ เพราะมีผ่านไปผ่านมาเรียกได้ง่ายไม่เปลี่ยว และถัดไปคือสถานีรถไฟฟ้า ศาลาแดง อยู่ห่างจากโครงการประมาณ 900 เมตร ส่วนสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินที่ใกล้คือ สถานีสีลมโดยสามารถเดิน Sky walk เชื่อมจากสถานีรถไฟฟ้าศาลาแดงได้สะดวก นอกจากนั้นยังมี BRT สถานีสาทร สำหรับใครที่ต้องเดินทางไปทำธุระย่านพระราม 3 และ ยังมีท่าเรือสาธรเอาไว้ให้ใช้เลี่ยงรถติดกันอีก
สำหรับทางด่วน จากที่ตั้งโครงการสามารถเข้าซอยนราธิวาสฯ2 ไปออกซอย เดโช เลี้ยวขวาไปที่ถนนสุรวงศ์ ตรงไปเรื่อยๆจะเป็นทางด่วน งามวงศ์วาน-แจ้งวัฒนะ
ภาพมุมสูงแสดงให้เห็นระยะทางโครงการไป BTS ช่องนนทรีมีระยะทาง 350 เมตร เป็นระยะทางที่ไม่ไกลมาก และเส้นทางก็ไม่ได้ลำบากนัก หากจะไป BRT ก็เดินผ่าน Skywalk สีเขียวไปแป๊บเดียวก็ถึง (คลิกที่ภาพเพื่อดูภาพขนาดใหญ่)
บริบทรอบๆโครงการส่วนใหญ่จะเป็นอาคารพาณิชย์ ตึกแถว และสำนักงาน โดยในแต่ละทิศของโครงการจะมีสภาพแวดล้อมที่ติดต่อกันดังนี้
ทิศเหนือของโครงการจะติดกับบ้านพักอาศัย 2 ชั้น ข้างๆทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือเป็นตึก M Silom ที่จะมาบังวิวกันเต็มๆในระยะที่ใกล้มากด้วย
ทิศตะวันออก ติดกับอาคารพาณิชย์ 4 ชั้น, บ้านพักอาศัย 3 ชั้น และตึกแถว 4 ชั้น ด้านนี้จะไม่ถูกบังวิวในระยะประชิด แต่จะไปโดนตึก ITF Tower และ ITF Silom Palace บังวิวอยู่ไกลๆ
ทิศตะวันตก ติดกับอาคารนิมิตและอาคารสำนักงานของ NIKS(Thailand) สูง 7 ชั้น ถัดไปเป็นโรงแรม Pullman สูง 38 ชั้น ที่จะมาบังวิวจากตึกเรา แต่ยังดีที่ไม่ได้อยู่ในระยะประชิด
ทิศใต้ ติดกับถนนสีลมซึ่งเป็นถนนทางเข้า-ออกหลักของโครงการ อาจจะมีเสียงรบกวนบ้างในห้องที่อยู่ชั้นล่างๆ
ทางทิศเหนือ ของโครงการจะอยู่ติดกับบ้านพักอาศัย 2 ชั้น ซึ่งจะเห็นวิวตึก AIA Tower สุรวงศ์ ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือเห็นตึกของ บมจ.บางกอกสหประกันภัย ส่วนทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือเป็นวิวตึก M สีลม ที่มีความสูง 53 ชั้น สูงกว่าตึกของโครงการเองซะอีก
พาตึก M สีลม มาให้ดูกันชัดๆ
ทางทิศตะวันออก จะติดกับอาคารพาณิชย์ 4 ชั้น และบ้านพักอาศัย 3 ชั้น ส่วนวิวที่จะมองเห็นก็จะมีตึกสูงๆอย่างคอนโด M Silom, คอนโด ITF Silom Palace และ ITF Tower ที่เป็นอาคารสำนักงานให้เช่า
ทางทิศตะวันตก จะติดกับอาคารนิมิตและที่จอดรถเนื่องจากเป็นอาคารสำนักงาน มองตรงไปจะเห็นวิวตึกสูงของ Pullman Bangkok Hotel G ที่สูง 38 ชั้น และตึก AIA Building ที่อยู่ในซอยเดโช
ทางทิศใต้ จะติดกับถนนสีลม ซึ่งเป็นทางเข้า-ออก หลักของโครงการ เมื่อเรามองไปยังฝั่งตรงข้ามจะเห็นเป็นป้ายรถเมล์ขนาดใหญ่ มีที่ให้นั่งรอ 3 ตอนทีเดียว วิวทางฝั่งนี้จะเห็นทั้งอาคารสำนักงานและคอนโดบนถนนนราธิวาสราชนครินทร์หลากหลายทีเดียวค่ะ
สถานที่สำคัญใกล้เคียง
- โรงแรม Pullman G ~ 280 เมตร
- ตลาดสีลม ~ 350 เมตร
- วัดพระศรีมหาอุมาเทวี ~ 350 เมตร
- Silom Plaza ~ 4oo เมตร
- โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน ~ 600 เมตร
- Silom Villege ~ 750 เมตร
- Silom Complex ~ 1 กิโลเมตร
- ธนิยะพลาซ่า ~ 1 กิโลเมตร
- สวนลุมพินี ~ 3.2 กิโลเมตร
โครงการ Ashton Silom เป็นคอนโด High Rise ที่สร้างขึ้นมาเป็นแห่งแรกบนถนนสีลมในรอบสิบกว่าปี ถนนที่ได้ชื่อว่ามีที่ดินแพงที่สุดในประเทศ ดังนั้นด้วยมูลค่าที่ดินที่แพงหูฉี่ และความคึกคักของทำเลที่ได้ชื่อว่าเป็นย่าน CBD อันดับหนึ่งของประเทศ จากองค์ประกอบเหล่านี้จึงทำให้ตัวโครงการเป็นที่จับตามองอยู่เหมือนกันว่าอนันดาจะทำ Ashton Silom ออกมาเป็นอย่างไร โดยโครงการนี้มีการเลือกใช้สถาปนิกชั้นนำของประเทศอย่างตัวอาคารออกแบบโดยสถาปนิกจาก A49, Landscape ออกแบบโดย TROP
โดยการออกแบบของโครงการมีคอนเซปต์คือ The Pioneer “ไพโอเนียร์ (Pioneer pi·o·neer ˌpīəˈnir/)” หมายถึง ผู้ค้นพบ-ผู้บุกเบิก-ผู้ริเริ่ม ซึ่งถูกนำมาบอกเล่าในตัวตนของโครงการในแง่ของการเป็นผู้ค้นพบและบุกเบิกที่ดินที่ตั้งอยู่ในทำเลที่ดีบนถนนสีลม เป็นแหล่ง CBD ที่สำคัญของประเทศ สามารถเดินทางสะดวกเพราะอยู่ใกล้รถไฟฟ้า มีการริเริ่มและกล้าเสี่ยงที่จะนำแนวความคิดใหม่ในด้านที่อยู่อาศัย เช่น นวัตกรรม “Vertical Interlocking Concept” ที่แปลงให้ทุกห้องได้ความเป็น Corner unit ทำให้มีความเป็นส่วนตัวสูง และได้พื้นที่ใช้สอยภายในอย่างเต็มที่ พร้อมกับ Floor to Celing 3.6 เมตร เป็นต้น ซึ่งรายละเอียดเหล่านี้เราจะลงลึกในส่วนต่อไปค่ะ
การออกแบบตัวอาคารสำหรับ Ashton ตัวนี้ยังคงใช้ Facade อาคารที่เป็นกระจกเยอะๆอีกเหมือนเคย แต่คราวนี้ไม่มีการใช้กระจกโค้งเหมือน Ashton Chula-Silom หรือ Ashton Residence 41 แล้ว แต่ตัวอาคารจะเป็นมุมเหลี่ยม มีความเป็น symmetry มากขึ้น วัสดุหลักๆคือกระจก, เหล็กทาสี และสวนแนวตั้ง มีความดิบมากกว่า Ashton ตัวที่แล้วๆมา เนื่องจากประวัติศาสตร์ของทำเลสีลมที่เคยได้ชื่อว่าเป็น “Wind Mill” หรือโรงสีข้าว จึงเลือกมาใช้เพื่อสะท้อนเอกลักษณ์และประวัติศาสตร์ของพื้นที่ และเป็นที่มาของการออกแบบ Sale Gallery ของโครงการด้วย
ภาพจำลองห้องชมภาพยนตร์ในชั้น 34M
ภาพจำลอง Sky Lounge ในชั้น 48
มาดูโมเดลจำลองโครงการกันบ้าง ตัวโมเดลจะจำลองให้เห็นตัวโครงการที่อยู่ใกล้กับรถไฟฟ้าในระยะเดินถึง
อาคารทางทิศใต้ หรือด้านหน้าติดกับถนนสีลมซึ่งเป็นถนนเข้า-ออกหลักของโครงการ ตัวอาคารมีการ Set back เข้าไปในที่ดินพอสมควรเพื่อผลักอาคารให้ไปอยู่ด้านหลัง ทำให้พื้นที่ด้านหน้าเหลือพอที่จะจัดพื้นที่ Landscape ได้สนุกมากขึ้นทางซ้ายมือติดกับอาคารสำนักงานนิมิตและอาคารสำนักงานของ Niks(Thailand) สูง 7 ชั้น ส่วนทางขวามือติดกับอาคารพาณิชย์และบ้านพักอาศัย 3-4 ชั้น รวมทั้ง M Silom สูง 53 ชั้น
ห้องที่เด่นๆทางทิศนี้ คือห้อง Type A แบบ 2 Bedroom ขนาด 86.5 ตารางเมตร โดยห้องนี้จะมีการออกแบบพิเศษที่เรียกว่า Stack Floor มีการเล่นระดับของพื้นห้อง ทำให้ในห้องนี้สามารถเห็นวิวได้ทุกห้อง ซึ่งห้อง Living room ที่อยู่ด้านหน้า อาจจะร้อนเป็นพิเศษในช่วงบ่ายแต่จะได้เปรียบห้องอื่นตรงที่ได้วิวตึกมหานครแบบเต็มๆ
Landscape ของโครงการได้รับการออกแบบโดย TROP บริษัท Landscape design ชั้นนำ โดยพื้นที่สวนนี้ถูกเรียกว่า Alfresco Living Plaza ที่ออกแบบให้มีการเล่นระดับของพื้นที่ ภายใต้แนวคิด “Movements” มีการออกแบบสะพานคนเดินที่มีการ Cross Over เป็นรูปกากบาท ซ้อนทับพื้นที่สีเขียวที่เป็น Sunken Garden ด้านล่าง สร้าง Layers ให้สวนทางเข้าดูมีลูกเล่น โดยรอบๆสวนนี้จะมีน้ำตกที่ไหลผ่านอยู่ด้านล่างตลอดเวลา เมื่อเดินเข้ามาจะได้ยินเสียงน้ำไหลเบาๆด้วย
ภาพจำลอง Alfresco Living Plaza จากทางโครงการ
เมื่อเดินผ่านสวนเข้ามาจะเจอประตูทางเข้าอาคารที่เป็นประตูเอียง เวลาเดินเข้าก็ต้องเอียงเข้านิดหน่อย แปลกดี
เส้นทางการเดินรถในอาคารเป็น Two way เมื่อขับรถเข้ามาจะมีพื้นที่ Drop Off เพื่อส่งคนด้านข้างอาคาร ตรงมาอีกหน่อยจะเจอทางขึ้นชั้นจอดรถ ถ้าไม่ต้องการขึ้นจอดข้างบนก็สามารถอ้อมไปจอดรถใต้อาคารทางด้านหลังได้ และหากต้องการออกก็ต้องวนรถกลับทางเก่าค่ะ เพราะอาคารอีกฝั่งหนึ่ง(ทางทิศตะวันตก) จะติดสวน ไม่สามารถนำรถผ่านได้
อาคารทางทิศตะวันออกจะติดกับอาคารพาณิชย์และบ้านพักอาศัย 3-4 ชั้น ดังนั้นห้องทื่อยู่ทางทิศนี้จึงจะไม่โดนบังวิวในระยะประชิด เนื่องจากชั้น 3-4 ยังเป็นชั้นจอดรถอยู่ค่ะ หากมองไปที่อาคารจะเห็นว่าโครงการถูกแบ่งเป็น 2 ตึก มี Void(ช่องลม) ตรงกลาง ซึ่งจุดประสงค์หลักไม่ใช่การระบายอากาศแต่อย่างใด แต่เกิดจากแนวคิดที่ว่า เวลาที่เราไปเลือกห้องพักคนส่วนใหญ่มักจะเลือกห้องมุมที่ได้วิวดีๆ โครงการนี้จึงต้องการให้ห้องพักของที่นี่มีความเป็นห้องมุมมากที่สุด ซึ่งตัว Void นี้จะมาเพิ่มที่ว่างเพื่อสร้างห้องมุมได้
ลองมาดูกันใกล้ๆ จะเห็นได้ว่าแม้จะได้ห้องมุมอย่างที่ตั้งใจไว้ก็จริง แต่ด้วยช่องว่างที่ใกล้กันมากและ Facade อาคารที่เป็นกระจก ทำให้ไม่มีความ Privacy เท่าไหร่ ห้องที่อยู่ตรง Void ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกันจะจ๊ะเอ๋กันโดยมิได้นัดหมายได้ตลอดเวลา ดังนั้นสิ่งที่จะช่วยแก้ได้คือปิดม่านไว้บังสายตา (และอาจจะเป็นพื้นที่ที่ไม่ค่อยได้เปิดม่านสักเท่าไหร่ด้วยนะ)
อีกอย่างคือ Design ของตัวตึกที่มีการหักมุมแบบนี้ทำให้ห้อง 12 ยูนิต จาก 14 ยูนิต ในหนึ่งชั้นอาคารเป็นห้องพักแบบ”Corner unit (ห้องหัวมุม)”สามารถมีพื้นที่หน้าต่างได้อย่างน้อย 2 ด้านทำให้การระบายอากาศและมองวิวรอบๆได้เต็มที่ นอกจากจะสร้างพื้นที่ภายในให้ได้ห้องมุมที่มากขึ้นแล้ว ยังทำให้ Facade อาคารดูมีลูกเล่นไม่น่าเบื่ออีกด้วย
หากสังเกตดีๆจะเห็นว่ากระจกอาคารในโมเดลจำลองจะมีสีเทาเข้า เทาอ่อน หรือสีส้มนวลจากการเปิดไฟข้างในโมเดลบ้าง ซึ่ง Effect เหล่านี้ไม่ได้เกิดจากการเปิดไฟอย่างเดียวนะคะ แต่สีเทาและเทาอ่อนที่เกิดขึ้นเป็นลูกเล่นที่จะเกิดขึ้นในอาคารจริง โดยตัวแปรที่ทำให้เกิดขึ้นก็คือ “กระจก” ที่นำมาใช้กับตัวอาคาร โดยหลักๆเลยจะใช้ “กระจกประเภทลามิเนต” ที่มีฟิล์มยึดเกาะตรงกลาง เวลาแตกจะไม่กระจาย แต่จะแตกร้าวและติดกับฟิล์มทำให้มีความปลอดภัยสูง โดยมีการสร้างลูกเล่นด้วยการใช้ฟิล์มที่เป็น reflective เทาในบางด้าน ส่วนบางด้านใช้ฟิล์ม tint สีเทา เพื่อให้มองไปแล้วเกิดการ reflect แสงที่แตกต่างกัน ในขณะที่เมื่อเราอยู่ในห้องที่ใช้ฟิล์มแบบใดก็ตามจะรู้สึกว่ากระจกเป็นสีเทาไม่แตกต่างกันเลย
การใช้ลูกเล่นที่เรียกว่า Vertical Interlocking Concept เป็นการใช้แผ่นพื้นต่างระดับมาสลับไขว้กันไปมาในแต่ละชั้น ซึ่งการออกแบบห้องนี้ทำให้เกิดพื้นที่พิเศษ Stack Floor ที่อยู่ในห้อง Type A แบบ 2 Bedroom โดยในห้องจะมีการเล่นระดับพื้นทำให้เกิด Floor to Celing สูง 2.8 เมตร และ 3.6 เมตรในห้องเดียวกัน สร้างห้องต่างระดับที่มีฝ้าเพดานสูงและกระจกสูงมองวิวได้เต็มๆ
ซึ่งในอาคารคอนโดมิเนียมทั่วไปจะมีข้อจำกัดหลายอย่างที่จำเป็นให้ทุกห้องต้องมีระดับพื้นเท่ากัน เพราะจะประหยัดต้นทุนในการก่อสร้างและสามารถวางงานระบบได้ง่าย แต่การสร้างตามรูปแบบ Vertical Interlocking Concept นี้จะต้องมี Detail การออกแบบที่ค่อนข้างละเอียดเนื่องจากต้องให้ห้องทุกห้องมี Space ในแนวตั้งเป็นรูปตัว L เพื่อให้เกิดการ Interlock กันในชั้นต่อชั้นได้อย่างพอดี ซึ่งถือว่าเป็นการออกแบบคอนโดที่มีรายละเอียดน่าสนใจ ไม่ค่อยได้พบเห็นในคอนโดทั่วไปเท่าไหร่นัก
อาคารทางทิศตะวันตกจะติดกับอาคารนิมิตและอาคารสำนักงาน NIK(Thailand) สูง 7 ชั้น ซึ่งไม่ค่อยมีผลเรื่องวิวในด้านนี้มากเท่าไหร่ เพราะจะตรงๆกันในช่วงของชั้นจอดรถ แต่อาคารในด้านนี้จะมีด้านที่ประชันหน้ากับโรงแรม Pullman มากกว่าค่ะ
ส่วนอาคารทางทิศเหนือ หรือด้านหลังของอาคารจะติดกับบ้านพักอาศัย 2 ชั้น ซึ่งไม่มีผลกับอาคารเท่าไหร่ แต่จะมีผลมากทางตึก M Silom ที่อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เพราะตึก M Silom มีความสูง 53 ชั้น ซึ่งสูงกว่า Ashton Silom ไปอีก ทำให้ห้องมุมทางทิศตะวันออกเฉียงเหนืออาจจะมีมุมบอดอยู่บ้าง โดยห้องพักที่เด่นๆทางทิศนี้คือห้อง Type B, BS, BM ขนาด 75-76 ตารางเมตร
และมุมนี้จะมีสวนดาดฟ้าเล็กๆบนอาคารจอดรถ ให้สามารถไปเดินเล่นกันได้ ซึ่งเอาจริงๆแล้วไปเดินเล่นบนส่วนกลางชั้น 34 หรือ 48 ดูน่าสนุกกว่านะ
เรามาดูส่วนกลางของอาคารกันบ้าง โดยอาคารนี้ได้แบ่งส่วนกลางออกเป็น 2 ส่วน คือชั้น 34 ,ชั้น 46-48 และชั้นหลังคา
ภาพจำลอง Facilities ของโครงการ โดยชั้น 34 เป็นสระว่ายน้ำที่เห็นวิวเมืองทางฝั่งสุขุมวิท สาทร เจริญกรุง และมี Fitness ที่สามารถมองเห็นวิวด้านเมืองเก่าอย่างเยาวราช ไปถึงฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา
ชั้น 34M เป็นพื้นที่ส่วนกลางที่มีห้องสมุด Business lounge และห้องชมภาพยนตร์
ชั้น 46, 47, 48 และหลังคาดาดฟ้า เป็นพื้นที่สวนเล่นระดับ Outdoor Lounge และ Sky Lounge บนชั้น 48
โมเดลจำลอง Facilities ของโครงการในชั้น 34 จะมีสระว่ายน้ำสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ล้อมรอบ Core Lift ที่เป็นส่วน Service มีการตกแต่ผนังส่วนนี้ด้วย Vertical Garden สร้างพื้นที่สีเขียวให้อาคาร ซึ่งสาเหตุที่มี Core Lift งอกขึ้นมากลางสระว่ายน้ำ ก็เพราะต้องการให้ลูกบ้านสามารถขึ้นลิฟต์มาถึงชั้น Facilities ได้เลย ไม่ต้องเดินขึ้นบันไดหนีไฟหรือไปเปลี่ยนลิฟต์ที่ตัวอาคารด้านหลัง ส่วนของ Onsen และสระว่ายน้ำเด็กจะแยกออกมาจากสระผู้ใหญ่ มีการตกแต่งพื้นที่ด้วยโครงเหล็กทาสีและปิดด้วยกระจกใสซึ่ง Facilities ในชั้นนี้อยู่ที่ชั้น 34 ดังนั้นห้องพักที่อยู่บนชั้น 35 ขั้นไปก็จะได้วิวสวนและสระว่ายน้ำด้วยหละ
ส่วนของ Men’s and Women”s Changing room เป็นห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าและห้องน้ำแยกชายหญิง โดยของผู้ชายจะมีห้องซาวน่า ส่วนผู้หญิงเป็นห้อง Steam อยู่ที่ตึกทางด้านหลังที่ถูกแยกกันด้วย Void ตรงกลางอาคารค่ะ
ดังนั้นหากเราต้องการไปยังห้อง Changing room ก็สามารถเดินผ่านสะพานเชื่อมอาคารได้
ส่วน Facilities บนชั้น 46-48 จะคล้ายๆกับชั้น 34 แต่มีการยื่นแผงระแนงเหล็กขึ้นไปค่อนข้างสูงเป็นการตกแต่งอาคารค่ะ
มาดูที่ Master Plan กันบ้างค่ะ จริงๆแล้วอาคารของ Ashton Silom มีอาคารเดียว แต่มีการคั่นอาคารด้วย Void ตรงกลางเพื่อสร้างพื้นที่พิเศษ จึงต้องมีการแบ่งงานระบบและแบ่ง Core ลิฟต์ออกเป็น 2 ส่วน (ตามช่องสีแดง) โดยอาคารด้านหน้าสูง 34 ชั้น มีลิฟต์โดยสารให้ 2 ส่วนอาคารด้านหลังมี 48 ชั้น ยุนิตมากกว่าจึงมีลิฟต์โดยสารให้ 3 ตัว รวมทั้งหมด 5 ตัว คิดเป็นอัตราส่วน 86 : 1 ซึ่งถือว่ายังค่อนข้างหนาแน่นในชั่วโมงเร่งด่วนนะ ลิฟต์เซอร์วิสมีให้ 2 ตัวติดกับส่วนทิ้งขยะ ทำให้แม่บ้านขนย้ายขยะลงมาทางนี้ได้ง่าย ไม่กวนส่วนลิฟต์โดยสาร
ทางเข้าโครงการติดกับถนนสีลม ผ่านทางเข้าจะมี Drop off 1 จุด หลังจากส่งคนลงแล้วก็สามารถตรงไปขึ้นที่จอดรถด้านข้างอาคารที่อยู่ในชั้น 1-9 มีที่จอดรถรองรับจำนวน 305 คัน แต่หากต้องการจอดรถใต้อาคารเฉยๆก็สามารถวนมาจอดที่ด้านหลังอาคาร ที่มีซองจอดรถรองรับให้ 4 คันค่ะ โดยทางเดินรถจะเป็น Two way วนรถเข้า-ออกทางเดิม
หากเดินเข้าโครงการมาจะต้องผ่านสวนด้านหน้าที่มีทางเดินเป็น Cross Over รูปกากบาท ด้านล่างเป็นสวนขึ้นบันไดที่มีน้ำตกไหลผ่าน พอเราเข้าไปในอาคารจะเจอ Lobby ซึ่งด้านหลัง Lobby จะมีโถงลิฟต์สามารถเลือกขึ้นโถงที่ 1 เป็นลิฟต์ขึ้นอาคารทางด้านหน้า ส่วนถ้าจะไปยังโถงลิฟต์ที่ขึ้นอาคารทางด้านหลังต้องเดินผ่าน Waiting Lounge หรือโถงพักคอย และผ่านห้องจดหมายก็จะสามารถไปขึ้นลิฟต์ได้ค่ะ ในโครงการจะมีร้านค้าใต้อาคาร ซึ่งโครงการแพลนไว้ว่าจะเป็นร้านอาหารแบบพรีเมี่ยม ซึ่งจะเป็นอะไรนั้นก็ต้องรอดูกันต่อไปค่ะ
พอขึ้นมาชั้น 10 จะเป็นชั้นของห้องพักอาศัยแล้วค่ะ การวางผังอาคารจะให้พื้นที่ตรงกลางเป็น Void เพื่อให้ Form อาคารดูไม่ทึบตัน และให้ห้องพัก 12 ยูนิตจาก 14 ยูนิต เป็นห้องมุม รูปร่างของผังอาคารจึงดูยึกยักเพราะมุมของห้องต่างๆนั้นเอง และเมื่อมีการเว้น Void ตรงกลางไว้ จึงทำให้อาคารถูกแบ่งเป็น 2 ฝั่ง ส่งผลให้มี Core ลิฟต์ 2 ส่วน โดยทางเดินภายในอาคารจะเป็น Single loaded Corridor ตัวห้องพักจะอยู่ล้อมรอบลิฟต์จึงไม่มีห้องพักไหนที่มีประตูอยู่ตรงข้ามกัน พื้นที่โถงลิฟต์จะอยู่ตรงกลางของ Void อาคารพอดี ซึ่งชั้นนี้เป็นชั้นแรกด้านบนอาคารจอดรถจึงถูกจัดเป็นพื้นที่สวน เวลายื่นอยู่ที่โถงลิฟต์จะมองเห็นโถงลิฟต์ของอาคารซีกตรงข้ามด้วย
ห้องพักในชั้นนี้จะมีทั้งหมด 14 ยูนิต โดยแบ่งห้องพักเป็นซีกซ้าย 8 ยูนิตมีห้องมุมอยู่ 6 ยูนิต ส่วนซีกขวามี 6 ยูนิตเป็นห้องมุมทั้งหมดค่ะ โดยห้องพักแบบ B,BM,F และ FM ที่อยู่ทางทิศเหนือจะอยู่ติดกับสวนหย่อมเล็กๆที่สามารถขึ้นมาจากชั้นจอดรถได้ ห้องทั้ง 4 ห้องนี้จึงได้พื้นที่สีเขียวหน้าห้องไปโดยปริยาย ซึ่งมีทั้งข้อดีข้อเสียนะคะ หากสวนนี้มีการดูแลรักษาดีห้องเราก็จะได้มุมมองดีๆไปด้วย แต่หากถูกปล่อยปละละเลย เราก็จะได้ลานดาดฟ้าหน้าห้องโล่งๆมาเท่านั้นเอง อีกอย่างคือ การที่หน้าห้องเป็นพื้นที่ส่วนกลางแบบนี้ก็ไม่ค่อยจะ Privacy เท่าใดนัก
ผังห้องในชั้นเลขคู่อย่าง 12,14,16,18,10,22,24,26,28,30 จะเหมือนกันกันเนื่องจากการ Interlock ของโครงสร้าง โดยการจัดวางผังห้องจะเหมือนกับชั้น 10 แค่พื้นที่ตรงกลางเป็น Void ที่เป็นช่องว่างแล้ว และไม่มีสวนหย่อมทางทิศเหนือ ห้องพักในชั้นเหล่านี้มีทั้งหมด 14 ยูนิตค่ะ
ส่วนผังในชั้นเลขคี่คือชั้น 11,12A,15,17,19,21,23,25,27,29,32 จะเหมือนกันทั้งหมดเนื่องจากการ Interlock ของโครงสร้าง ห้องพักในชั้นนี้ก็มี 14 ยูนิตเหมือนกับชั้นอื่นๆค่ะ
การวางผังห้องแบบยึกยักและการทำให้ห้องเลขคู่-เลขคี่ให้มีการ Interlock กัน ส่งผลให้เกิดรูปด้านอาคารที่เห็นพื้นลดเหลื่อมกัน เกิด Floor to Celing ที่สูงถึง 3.6 เมตร ทำให้ได้วิวค่อนข้างกว้างแบบนี้ค่ะ
ขึ้นมาที่ชั้น 32 จะมีการตัดห้อง Type A ทางทิศใต้ออก 2 ห้อง เพื่อเปลี่ยนเป็นสวนและงานระบบที่รองรับ Facilities ด้านบน ห้องพักในชั้นนี้จะมีทั้งหมด 12 ยูนิต
ในชั้น 33 จะเป็นงานระบบทั้งหมด ส่วนชั้น 34 จะเป็น Facilities เต็มชั้นโดยที่เราสามารถขึ้นลิฟต์มายังชั้น Facilities โดยไม่ต้องเปลี่ยนลิฟต์หรือขึ้นบันไดหนีไฟ Facilities ด้านนอกประกอบด้วยสระว่ายน้ำที่เห็นวิวเมืองทางฝั่งสุขุมวิท สาทร เจริญกรุง ฟังก์ชั่นรอบๆสระว่ายน้ำจะมี Onsen, Jacuzzi สระเด็ก และ Sky Deck
ส่วนด้านในอาคารจะมี Fitness ที่สามารถมองเห็นวิวด้านเมืองเก่าอย่างเยาวราช ไปถึงฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา มีส่วนเซอร์วิสอย่าง Men’s and Women”s Changing room เป็นห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าและห้องน้ำแยกชายหญิง โดยของผู้ชายจะมีห้องซาวน่า ส่วนผู้หญิงเป็นห้อง Steam ค่ะ โดยพื้นที่ด้านนอกและด้านในอาคารจะสามารถเดินถึงกันโดยผ่านทางเชื่อมอาคาร
ชั้น 35 เป็นชั้นพักอาศัย โดยตั้งแต่ชั้นนี้ไปจะมีอาคารซีกซ้ายแค่ซีกเดียวเท่านั้น ห้องพักในชั้นนี้มีทั้งหมด 8 ยูนิต โดยยูนิตที่น่าสนใจคือห้อง D และ DM สามารถมองลงมาเห็นวิวสระว่ายน้ำและวิวมหานครทางด้านหน้าได้ด้วย
ส่วนชั้นเลขคู่อย่างชั้น 37, 39, 41, 43, 45 จะเหมือนกันกันเนื่องจากการ Interlock ของโครงสร้าง ห้องพักในชั้นเหล่านี้มีทั้งหมด 8 ยูนิต
ขึ้นมาที่ชั้น 46 ห้องพักในชั้นนี้จะเหลือเพียง 4 ยูนิต เนื่องจากห้อง D, DM, E, EM ถูกตัดออก แล้วเปลี่ยนเป็นพื้นที่สวนแทน โดยสวนด้านบนจะได้วิว City(สุขุมวิท) ส่วนทางด้านล่างจะได้วิวแม่น้ำเจ้าพระยา(สาทร)
ผังชั้น 47 จะเป็นพื้นที่พักอาศัยทั้งหมด โดยชั้นนี้จะมีห้องพักแค่ 4 ยูนิตเท่านั้น เป็นชั้นที่มีความเป็นส่วนตัวสูงมากเลย
ขึ้นมาที่ชั้น 48 จะเป็นพื้นที่สวน Outdoor เล่นระดับ Botanical Lounge และ Sky Lounge ด้านในที่เป็น Social Club ค่ะ
มาดู Sale Gallery ของโครงการกันบ้าง โครงการนี้ได้รับแรงบันดาลใจจาก ‘โรงสีข้าว’ หรือ ‘Wind Mill’ ซึ่งเป็นชื่อแรกของถนนสีลม โครงการจึงนำคอนเซปท์ Wind mill มาเป็นหัวใจหลักในการออกแบบ ตัวอาคารใช้โทนสีส้มปนน้ำตาลและมีร่องรอยของการเปื้อนสนิมดูย้อนยุคคล้ายโรงสีข้าวเก่าๆ
เมื่อเข้ามาในอาคารจะใช้การตกแต่งเหมือน Lobby ของโครงการจริง มีการใช้ Mood and Tone เป็นสีขาว-เทา-ทอง-ทองเหลืองโดยโครงการจะเน้นงาน Craft ซึ่งเป็นงานทำมือ ดีไซน์ของผนังและฝ้าเพดานใช้การทอเส้นทองเหลืองและโลหะด้วยมือ ผสมกับการใช้เทคนิคพิเศษของการกัดกรดทางวิทยาศาสตร์บนผืนทองเหลืองเข้ามาช่วย เพื่อให้เกิดลวดลายบนผ้าที่ออกมาดูเป็นธรรมชาติ ที่เกิดจากงานฝีมือคนจริงๆ ส่วนผ้าที่ห้อยลงมาจากฝ้าเพดานนี้ก็จะใช้ใน Lobby ของโครงการจริงๆด้วย ซึ่งวัสดุเหล่านี้บริษัท Ausara เป็นผู้ผลิต
เมื่อเดินเข้ามาด้านในจะเห็นส่วนของที่นั่งรับรองลูกค้า และจุดวางโมเดลจำลองของโครงการ
มีห้องที่จำลองบรรยากาศโถงพักคอยของ Lobby โครงการ มีการใช้ผนังทอโลหะและทองเหลืองโดยรอบ ภาพที่แสดงอยู่บนผนังคือภาพขาว-ดำที่บอกเล่ากรรมวิธีของการทอผ้าและกัดกรดวิทยาศาสตร์บนผืนทองเหลือง กว่าจะมาเป็นผนังงาน Craft บนผนังโครงการค่ะ
สรุปสิ่งอำนวยความสะดวก
- สระว่ายน้ำแยกสระเด็กและผู้ใหญ่ มี Onsen และ Jacuzzi ที่ชั้น 34
- ห้องออกกำลังกาย ที่ชั้น 34
- Sauna room, Massage room, Steam room ที่ชั้น 34
- ห้องสมุด ที่ชั้น 34M
- Theatre Lounge ที่ชั้น 34M
- Business Lounge ที่ชั้น 34M
- Sky Deck ที่ชั้น 34M
- Outdoor Lounge ที่ชั้น 46
- Social Club ที่ชั้น 48
- Botanical Lounge ที่ชั้น 48
- พื้นที่สวนหย่อมด้านหน้าโครงการและบนอาคาร
- ลิฟท์โดยสาร 5 ตัวต่อหนึ่งอาคาร คิดเป็นอัตราส่วน 86 : 1
- ที่จอดรถ 309 คัน คิดเป็น 72 %
- ระบบ CCTV / Access Card
โครงการจะมีห้องตัวอย่างให้เราดูทั้งหมด 3 แบบ คือ ห้อง Type D แบบ 1 Bedroom 1 Bathroom ขนาด 48.5 ตารางเมตร, ห้อง Type S แบบ 2 Bedroom 2 Bathroom ขนาด 71.5 ตารางเมตร และห้อง Type A แบบ 2 Bedroom 2 Bathroom ขนาด 86 ตารางเมตรค่ะ ซึ่งเราจะเน้นเจาะลึกห้อง Type D แบบ 1 Bed และห้อง Type A แบบ 2 Bedroom ให้ดูกันนะคะ
โครงการขายแบบ Fully Fitted โดยให้ชุดเคาท์เตอร์ครัวที่มีเตาไฟฟ้าและที่ดูดควัน, สุขภัณฑ์ในห้องน้ำ, ฉากกั้นอาบน้ำ และแอร์แบบฝังบนฝ้าเพดาน
ผังห้อง Type D 1 Bedroom ขนาด 48.5 ตารางเมตร ฝ้าเพดานสูง 3.2 เมตร ห้องนี้เป็นห้อง 1 Bedroom ขนาดกลางๆค่อนไปทางใหญ่ เหมาะกับการอยู่อาศัย 2 คน การจัดฟังก์ชั่นในห้องนี้จะเป็นการวางส่วน Service อย่างห้องครัว ห้องน้ำและพื้นที่ Walk-in Closed มาไว้ด้านในอาคาร ส่วนโซนพักผ่อนอย่างห้องนั่งเล่น ห้องนอนและส่วนระเบียงจะอยู่ด้านหน้า ทำให้พื้นที่ส่วนใหญ่ในการใช้ชีวิตจะได้แสงสว่างจากธรรมชาติและเห็นวิวภายนอกได้
โดยเปิดประตูเข้าไปจะเจอกับครัวซึ่งโครงการ Built-in ชุดครัวมาให้เรียบร้อย ถัดไปเป็นพื้นที่ว่างที่สามารถวางโต๊ะรับประทานขนาด 2-3 ที่นั่งได้โดยพื้นที่ด้านข้างจะเป็น Corridor ทางเดินที่ไปยังห้องน้ำและ Walk-in Closed ซึ่งการจัดวางฟังก์ชั่นตรงนี้จะมีความแปลกอยู่สักหน่อยตรงที่มีการจัดวางห้องน้ำไว้กลางห้องนอน แบบสามารถเดินวิ่งเล่นรอบห้องน้ำได้เลย ซึ่งในคอนโดราคาสองแสนกว่าบาทต่อตารางเมตรนี้ถือว่าเราเสียเงินค่าพื้นที่เดินเล่นรอบห้องน้ำไปไม่น้อยเลยนะคะ แน่นอนว่าผู้ออกแบบคงคิดเยอะกว่านั้นไม่ได้ยอมให้เสียพื้นที่ไปเปล่าๆแน่ หากเราดูที่ผังห้องดีๆจะเห็นว่าช่วงโถงทางเดินหน้าห้องน้ำโครงการได้จัดวางฟังก์ชั่นให้ส่วน Walk-in Closed นี้สามารถ Built-in ตู้เสื้อผ้าเต็มผนังที่เราสามารถซ่อนฉากบานเลื่อนเพื่อกั้นพื้นที่ได้ ในกรณีที่มีแขกมาหาอยู่ที่ห้องนั่งเล่นเราก็สามารถกั้นบานเลื่อนปิดแล้วแต่งตัวตรงพื้นที่ว่างข้างห้องน้ำจะได้ไม่ต้องเดินผ่านไปแบบโป๊ๆถือเป็นฟังก์ชั่นที่มีความยืดหยุ่นในการใช้พื้นที่ สามารถปรับเปลี่ยนได้ง่ายตามการใช้งานค่ะ
ถัดไปเป็นห้องนั่งเล่นที่เชื่อมต่อกับระเบียงและห้องนอนที่ถูกกั้นด้วยฉากบานเลื่อนสามตอนสามารถเปิด-ปิดได้ เมื่อเราเปิดประตูออกก็จะได้พื้นที่เหมือนห้อง Studio กว้างๆ แต่พอปิดประตูแล้วห้องจะดูแคบขึ้น แต่ก็ได้ประโยชน์ตรงที่หากต้องการใช้งานทั้งห้องนั่งเล่นและห้องนอนในช่วงเวลาเดียวกัน ก็เป็นการแบ่งการใช้งานทั้งสองฟังก์ชั่นไปพร้อมๆกันได้ค่ะ โดยรวมการจัดวางฟังก์ชั่นของห้องนี้จะเน้นไปการให้ส่วนพักผ่อนอย่างห้องนอนและห้องนั่งเล่นสามารถมองวิวได้เต็มที่ มีการจัดวางฟังก์ชั่นให้ใช้งานพื้นที่ค่อนข้างยืดหยุ่น เลยเกิด Space แปลกๆอย่างห้องน้ำกลางห้อง ซึ่งบางคนก็ชอบ แต่บางคนก็จะรู้สึกว่าแปลกไปหรือเปล่า อันนี้ก็เป็นสิ่งที่เสี่ยงสำหรับโครงการ แต่ก็สร้างมุมมองใหม่ๆให้กับการออกแบบคอนโดได้พอสมควรเลยหละ
เรามาดูห้องตัวอย่างจากทางโครงการกันค่ะ ประตูห้องมีความกว้าง 1 เมตร บานประตูของจริงจะเป็นประตูกรุวีเนียร์ ซึ่งห้องตัวอย่างโครงการไม่ได้ติดตั้งมาให้ดู
มองย้อนกลับไปที่หน้าห้องจะเห็นพื้นที่ส่วนครัวทั้งหมด ซึ่งมีขนาด 2.4 x 5 เมตร โครงการได้ Built-in ชุดครัวมาให้ ส่วนตู้เย็นและตู้ใส่ของไม่ได้ให้ แต่วางมาให้ดูเป็นตัวอย่างเฉยๆ ซึ่งพอ Built-in ชุดครัว, ตู้เย็น และชั้นวางของแล้ว จะเหลือพื้นที่ทางเดินประมาณ 1.70 เมตรค่ะ
ส่วนของตู้ใส่ของและที่วางตู้เย็นโครงการไม่ไห้มาแต่ลองทำมาให้ดูเป็นไอเดีย เผื่อใครเอาไปใช้ได้
ฝั่งตรงข้ามกันจะเป็นชุดครัวที่โครงการ Built-in มาให้ พื้นที่ชุดครัวมีขนาด 1.5 x 0.6 เมตร ดีไซน์ตู้แบบโมเดิร์นเรียบๆ หน้าบานเป็นสีขาวเคลือบ Hi gloss
ตู้ครัว Built-in ด้านบนจะเป็นชั้นวางของเล็กๆน้อยๆ และเป็นช่องวางไมโครเวฟได้ ส่วนชุดครัวด้านล่างมีขนาด 0.6 x 1.50 เมตร สูง 0.9 เมตร หน้าบานกรุผิวลามิเนต บานพับเป็นแบบ Soft closed ลิ้นชักในส่วนใต้ซิ้งค์ล้างจานจะติดตั้งถังขยะให้ มีลิ้นชักใส่ช้อน ส้อม รวมทั้งลิ้นชักอเนกประสงค์ ส่วนเครื่องซักผ้าไม่ได้มีให้นะคะ แต่จะเว้นช่องว่างไว้ให้ สามารถใส่เครื่องซักผ้าฝาหน้าขนาดประมาณ 9 กิโลกรัม ได้
หน้าตาช่องใส่ช้อน-ส้อม และถังขยะที่โครงการติดตั้งมาให้
เนื่องจากหน้าบานตู้ครัวมีดีไซน์ค่อนข้างเรียบ ด้านหน้าจะไม่มีมือจับแต่จะใช้การจับเพื่อเปิด-ปิด ที่ขอบตู้แทน โดยด้านบนจะมีช่องให้สำหรับจับได้ ส่วนด้านล่างจะเป็นมือจับอลูมิเนียมยื่นออกมา สามารถจับได้สะดวกกว่ามือจับด้านบนนิดหน่อย
ท็อปเคาท์เตอร์เป็นหิน synthetic stone มีการติดตั้งเตาและที่ดูดควันพร้อมซิงค์ล้างจานแบบมีฝาปิดมาให้เรียบร้อย ส่วนที่ผนังมีการติดกระจกมาให้ เวลาประกอบอาหารหรือล้างภาชนะจะสามารถเช็ดทำความสะอาดได้ง่าย
เตา Induction และที่ดูดควันให้ของ Smeg
ซิงค์ล้างจานรูปสี่เหลี่ยมจตุรัสขนาดปานกลางแบบมีฝาครอบปิดให้ ข้อดีของการมีฝาครอบปิดแบบนี้คือช่วยเรื่องความสวยงามของเคาท์เตอร์ครัวและยังช่วยเรื่องกลิ่นที่อาจมาจากท่อน้ำได้นิดหน่อย ตัวฝาครอบปิดซิงค์ทำจากหิน synthetic stone ชนิดเดียวกับท็อปเคาท์เตอร์ ทำให้เวลาปิดซิงค์จะดูเรียบเนียนไปกับท็อปครัวเลยค่ะ
ก๊อกน้ำสแตนเลสทรงโค้ง สามารถหมุนซ้าย-ขวา ได้ มือจับก๊อกน้ำเป็นก้านโยกสามารถปิด-เปิดก๊อกน้ำได้ง่ายแม้มือจะเปื้อนน้ำยาล้างจานลื่นๆ
ถัดจากพื้นที่ครัวจะเป็นพื้นที่ว่างซึ่งโครงการวางโต๊ะทำงานหรือโต๊ะรับประทานอาหารขนาด 2 ที่นั่งมาให้ดูเป็นตัวอย่าง ส่วนทางขวามือจะเป็นทางเดินไปยัง Walk-in Closed, ห้องน้ำ และเดินไปถึงห้องนอนได้
พื้นของโถงทางเดินที่แยกออกไปนี้จะเป็นพื้น Engineering Wood ลายไม้ มีการปิดคิ้วรอยต่อสีทองเรียบร้อย
ฟังก์ชั่นตรงนี้จะค่อนข้างแปลกและไม่ค่อยพบเห็นสักในคอนโดทั่วไปเท่าไหร่ ตัวโถงทางเดินนี้จะพาไปยังห้องน้ำที่อยู่ทางซ้ายมือ ส่วนพื้นที่ทางขวามือของจริงจะเป็นผนังธรรมดาโล่งๆที่โครงการวางฟังก์ชั่นให้เป็น Walk-in Closed ยาวไปตลอดทางเดิน ซึ่งหากเรา Built-in ตู้เสื้อผ้าลักษณะนี้แล้วจะสามารถเก็บเสื้อผ้าจำนวนมากของคุณผู้หญิงได้ดีทีเดียว สุดทางเดินจะเป็นผนังกระจกเต็มบานที่ ณ ตำแหน่งของห้องType นี้จะอยู่ติดกับ Void ที่อยู่ตรงกลางระหว่าง 2 อาคาร ทำให้มองออกไปจ๊ะเอ๋กับห้องตรงข้ามเต็มๆ ซึ่งจะสร้างความเก้อเขินเวลาแต่งตัวเป็นอย่างมาก ดังนั้นแนะนำให้หาผ้าม่านติดตั้งที่ผนังกระจก หรืออีกทางหนึ่ง เราสามารถทำฉากบานเลื่อนเผื่อเปิด-ปิดชั่วคราวแบบภาพทางขวามือได้ เพื่อความเป็นส่วนตัวค่ะ
เมื่อเดินออกมาจนสุดทางเราจะเจอผนังกระจกเต็มบาน แนะนำให้หาผ้าม่านมาติดเพื่อความเป็นส่วนตัวค่ะ เมื่อเราเดินเลี้ยวมาตามทางเดินจะสามารถทะลุมายังห้องนอนได้
มาดูที่ห้องน้ำกันบ้าง หน้าบานประตูของจริงจะเป็นบานสำเร็จรูปกรุวีเนียร์
พื้นห้องน้ำใช้กระเบื้อง porcelain ซึ่งเป็นกระเบื้องแกรนิตโตที่มีการเคลือบผิวหน้าทำให้มีคุณสมบัติดูดซับน้ำต่ำกว่าแกรนิตโต้เล็กน้อยเวลาพื้นเปียกน้ำจะแห้งได้เร็วกว่าแกรนิตโต้ สามารถดูแลรักษาง่าย ตัวกระเบื้องจะเป็นลายเดียวกับพื้นห้องครัวแต่เป็นชนิดพื้นผิวด้านเพื่อกันลื่น โดยพื้นห้องน้ำมีการลดระดับจากพื้นห้องประมาณ 1 นิ้ว เพื่อกันน้ำจากห้องน้ำไหลออกไปเปียกพื้นด้านนอก
ห้องน้ำมีขนาด 1.8 x 3.13 เมตร ตัวผนังห้องน้ำใช้กระเบื้องแกรนิตโต้ลายหินอ่อนสีเดียวกันกับกระเบื้องปูพื้นแต่เป็นแบบมันเงา บรรยากาศโดยรวมค่อนข้างเรียบหรูและดูสะอาด ห้องน้ำมีการจัดวางพื้นที่ใช้งานเป็น 3 ส่วนคือ เคาท์เตอร์อ่างล้างหน้าพร้อมกระจกเงาและ Low wall ท็อปหิน Marble Stone เหนือโถสุขภัณฑ์, โถสุขภัณฑ์ และพื้นที่เปียกสำหรับอาบนำ้ที่มาพร้อมกับฉากกั้น
ชุดอ่างล้างหน้าให้มาลักษณะนี้ กระจกเงาเป็นบานกระจกติดเต็มความกว้างของผนัง ท็อปเคาท์เตอร์อ่างล้างหน้าเป็นหิน Marble Stone สีออกเทาเข้มยื่นไปถึงส่วนวางโถสุขภัณฑ์เป็น Low Wall ให้วางของได้
ซูมลายหิน Marble Stone ให้ดูชัดๆค่ะ
ใต้อ่างล่างหน้าเป็นลิ้นชักเปิด-ปิดได้ สามารถใส่ของใช้ในห้องน้ำเล็กๆน้อยๆ
โถสุขภัณฑ์เป็นของ Kohlor มี Low wall ด้านหลังให้สามารถวางของเล็กๆน้อยๆขณะทำธุระ เช่น โทรศัพท์มือถือ เป็นต้น ทางซ้าย(หันหน้าออกจากโถสุขภัณฑ์)มือติดตั้งที่แขวนกระดาษทิชชู่และขวามือติดตั้งสายชำระให้เรียบร้อย
หน้าตาที่ฉีดชำระและที่แขวนกระดาษทิชชู่ เป็นสแตนเลสทั้งคู่ค่ะ
ฝั่งตรงข้ามกับเคาท์เตอร์อ่างล้างหน้าจะเป็นส่วนเปียกที่เป็นโซนอาบน้ำขนาด 1.8 x 1.8 เมตร โดยห้องอาบน้ำนี้เป็น Sexy Bath มีผนังกระจกเข้ามุม ทำให้พื้นที่ห้องน้ำดูโปร่งและกว้างขวาง สามารถมองไปเห็นคนในห้องนอน และคนในห้องนอนก็มองเข้ามาเห็นได้ มีการแบ่งฟังก์ชั่นเป็นที่ยืนอาบน้ำและอ่างอาบน้ำ
มีการกั้นพื้นที่ส่วนเปียกจากส่วนแห้งโดยใช้กระจกบานเปลือยและประตูกระจกบานเปิดเข้าด้านในตามภาพเลยค่ะ
พื้นห้องน้ำในส่วนเปียกจะไม่มีการลดระดับ แต่จะมีธรณีสูงขึ้นมาประมาณ 1 นิ้ว เพื่อกันน้ำไหลไปเปียกส่วนแห้งแทน โดยพื้นที่ยืนอาบน้ำมีขนาด 1.0 x 0.9 เมตร ยืนอาบคนเดียวสบายๆหรือ 2 คนก็ไม่คับแคบนัก
ชุดฝักบัวอาบน้ำของ Grohe มี Rain shower ให้ด้วย โครงการติดตั้งระบบน้ำร้อนน้ำเย็นมาให้เหมือนระบบในโรงแรม สามารถปรับอุณหภูมิน้ำได้ตามใจชอบ
ฝักบัวอาบน้ำขนาดค่อนข้างใหญ่
ส่วนอ่างอาบน้ำเป็นแบบ Jacuzzi แบบหัว Jet 6 หัว
เมื่อเรานอนอยู่ในอ่างอาบน้ำ จะได้มุมมองที่ค่อนข้างโปร่งเนื่องจากผนังที่ติดกับอ่างเป็นกระจกทั้งสองด้าน แถมมองออกไปก็ยังเห็นผนังกระจกด้านนอกที่มองทะลุออกไปยังห้องตรงข้ามได้อีก ดังนั้นแม้ว่าพื้นที่จะดูกว้างและโล่งแค่ไหน แต่การใช้งานห้องน้ำจริงๆแล้วเราต้องการความ Privacy ที่ค่อนข้างสูง ใครจะต้องการให้คนอื่นมามองเห็นเราตอนอาบน้ำโป๊ๆใช่ไหมล่ะคะ
ดังนั้นสิ่งที่จะช่วยแก้ปัญหาได้ดีที่สุดก็คือการติดม่านเพื่อบังสายตานั่นเอง โดยโครงการได้ Drop ฝ้าเพดานเพื่อติดตั้งรางผ้าม่านให้เรียบร้อย
มองขึ้นไปบนฝ้าเพดานมีการติดตั้งไฟและพัดลมดูดอากาศมาให้เรียบร้อย
ถัดไปจะเป็นพื้นที่นั่งเล่นและห้องนอน
โดยพื้นในส่วนห้องนั่งเล่นและห้องนอนจะเป็นพื้น Engineering Wood มีการปิดคิ้วสีทองให้เรียบร้อย
โดยส่วนของห้องนั่งเล่นมีขนาด 3.45 x 3 เมตร พื้นที่ไม่ใหญ่กว้างมากนัก มีระยะดูทีวีอยู่ที่ 2.2 เมตร เหมาะกับการดูทีวีขนาด 46″-52″ จะเป็นขนาดทีวีที่พอดีกับสายตาค่ะ เวลานั่งอยู่ที่โซฟาตัวนี้เราสามารถมองวิวภายนอกได้สบายๆเนื่องจากประตูทางออกระเบียงกว้างเต็มพื้นที่ผนังและสูงถึงฝ้าเพดาน บรรยากาศห้องนั่งเล่นจึงค่อนข้างโปร่ง
นอกจากนี้ พื้นที่ของห้องนั่งเล่นยังเชื่อมต่อกับห้องนอน เวลามองภาพรวมจึงเหมือนห้อง Studio ใหญ่ๆที่ใช้ฟังก์ชั่นได้หลากหลายในห้องกว้างๆ แต่การจัดฟังก์ชั่นแบบนี้จะไปต่างอะไรกับห้อง Studio กันล่ะ….
สิ่งที่ซ่อนอยู่ก็คือประตูบานเลื่อน 3 ตอน ที่เป็นผนังชั่วคราว สามารถเลื่อนปิด-เปิดได้ เผื่อเวลาทำครัวแล้วเราไม่อยากให้กลิ่นไปติดห้องนอนก็ปิดประตูไว้ หรือเผื่อการใช้งานทั้งสองฟังก์ชั่นพร้อมกัน เช่น หากมีเพื่อนมาห้องแล้วคนหนึ่งต้องการคุยกับเพื่อนในห้องนั่งเล่น ส่วนอีกคนต้องการทำงานอยู่ในห้องแบบไม่ต้องการให้ใครรบกวนก็ทำได้ ซึ่งต้องบอกก่อนว่าฉากนี้กั้นได้แต่พื้นที่ไม่ให้คนเข้าไปเท่านั้น ส่วนเรื่องเสียงไม่สามารถกั้นได้นะคะ
ถ้าสังเกตดีๆจะเห็นว่าที่พื้นไม่มีรางเลื่อน เนื่องจากโครงการ Drop ฝ้าเพดานเพื่อติดตั้งรางเลื่อนไว้ให้เรียบร้อย พื้นที่ระหว่างโซฟากับเตียงนอน เหลือระยะ 0.60 เมตร เพื่อให้ประตูเลื่อนผ่านได้พอดีๆแบบมีที่ให้เราเดินผ่านได้สบายๆด้วย
ห้องนั่งเล่นจะเชื่อมต่อกับระเบียง ซึ่งถูกกั้นด้วยประตูกระจกบานเลื่อนเต็มพื้นที่ผนัง สูงถึงฝ้าเพดานทำให้แสงเข้าค่อนข้างดี ตัวกระจกเป็นลามิเนต เมื่อแตกเศษกระจกจะไม่ร่วงหล่น แต่จะยึดเกาะกับฟิล์มตรงกลางจึงมีความปลอดภัยสูง กรอบอลูมิเนียมทำสี powder coat และทำผิวพิเศษ sahara effect
มองขึ้นไปด้านบนมีการ Drop ฝ้าเพดานให้เผื่อติดตั้งรางผ้าม่าน
พื้นที่ระเบียงมีขนาด 1.2 x 2.2 เมตร ปูด้วยกระเบื้องแกรนิตโตสีครีม พื้นลดระดับลงเล็กน้อย
ตัวกรอบบานประตูทำสี powder coat และทำผิวพิเศษ sahara effect ตัวกรอบเป็นสีเทาและพื้นผิวจะออกด้านๆ ตัวล็อกประตูจะเป็นแบบนี้และมีการติดตั้งสักหลาดกันกระแทกให้เรียบร้อย
ตัวรางเลื่อนประตูด้านล่างก็มีสักหลาดกันกระแทกให้ด้วย
ราวกันตกเป็นกระจกลามิเนต สูง 1.16 เมตร วิวด้านนอกที่เห็นเป็นหมอกฟุ้งๆไม่ใช่ทะเลหมอกกรุงเทพนะคะ เป็น Dry Ice ที่โครงการเปิดออกมาสร้างบรรยากาศนั่นเอง 🙂
ที่ผนังระเบียงด้านหนึ่งจะเป็นผนังปูนทึกทาสีธรรมดา ส่วนอีกด้านจะเป็นกระจกห้องนอนที่มองเห็นเป็นสีเทาเนื่องจากมีการสร้างลูกเล่นให้กระจกด้วยการใช้ฟิล์มที่เป็น reflective สีเทา (หรือบางด้านจะใช้ฟิล์มtintสีเทา เนื่องจากต้องการให้เกิดการreflect แสงที่แตกต่างกัน)
จากห้องนั่งเล่นมองเข้าไปจะเห็นฟังก์ชั่นห้องทั้งหมด ตั้งแต่ประตูทางเข้ามาจนถึงผนังห้องน้ำจะเห็นว่าฝ้าเพดานมีการลดระดับลงมาเนื่องจากโครงการติดตั้งเครื่องปรับอากาศแบบฝังในฝ้าเพดานมาให้ด้วยค่ะ
ถัดไปเป็นห้องนอนมีขนาด 4.45 x 2.8 เมตร สามารถวางเตียงขนาด 5 ฟุตได้สบายๆ ซึ่งเตียงนี้โครงการไม่ได้ให้นะคะ แค่วางเป็นไอเดียตัวอย่างสำหรับพื้นที่ประมาณนี้ได้สบายๆ ด้านซ้ายมือโครงการวางโต๊ะวางของไว้ให้ดูเป็นไอเดีย ส่วนด้านซ้ายมือจะเป็นห้องน้ำค่ะ
ผนังข้างเตียงเป็นกระจกบาน Fix เต็มบาน เพื่อให้สามารถมองวิวได้ชัดๆ
โดยตัวกระจกเป็นผนังทำมุมลักษณะเป็น Bay Window ทำให้การใช้พื้นที่ตรงนี้จะโปร่งและโล่งมาก หากวางโต๊ะทำงานดีไซน์เก๋ๆ จัดมุมให้ดูเท่ๆสักหน่อย ก็เป็นมุมที่น่าทำงานมากมุมหนื่ง หรือจะดัดแปลงโดยวางโซฟาเล็กๆพร้อมโต๊ะกลางไว้นั่งจิบกาแฟมองวิวตอนเช้าก็ได้ค่ะ แน่นอนว่าการใช้กระจกเต็มบานแบบนี้ทำให้ได้พื้่นที่ๆโปร่ง แต่การนำกระจกมาใช้เยอะๆสิ่งหนึ่งที่เป็นปัญหาแน่นอนคือความร้อนที่จะเข้ามาสู่อาคาร ซึ่งโครงการก็ได้ Drop ฝ้าเพดานตามแนวบานกระจกไว้ให้ เผื่อติดตั้งรางผ้าม่านเรียบร้อยค่ะ แนะนำให้ติดผ้าม่านทึบและโปร่ง เผื่อเป็นตัวเลือกว่าเวลาไหนต้องการแบบทึบแสงหรือโปร่งแสงได้ค่ะ
โดยที่ผนังกระจกจะมีหน้าต่างให้บานเดียวเป็นบานกระทุ้ง อยู่บริเวณข้างผนังหัวเตียง เผื่อให้เปิดระบายอากาศได้
ส่วนผนังเข้ามุมฝั่งปลายเตียงจะเป็นกระจกโปร่ง สามารถมองทะลุถึงระเบียงได้ หากตรงระเบียงเราจัดสวนหย่อมสวยๆก็จะช่วยสร้างมุมมองดีๆได้อีกมุมค่ะ
พื้นที่ปลายเตียงจะเป็นพื้นที่ว่างเปล่าเชื่อมต่อกับห้องนั่งเล่น หากเปิดออกไปก็จะค่อนข้างโล่งดี แต่หากปิดประตูก็จะได้อีกอารมณ์นึงค่ะ
มุมมองของทางเดินข้างๆห้องน้ำไปยัง Walk-in Closed
ต่อมาเป็นห้อง 2 Bedroom ขนาด 86 ตารางเมตร หรือห้องแบบ Stack Floor ห้องนี้จะมีความพิเศษตรงที่มีการเล่นระดับพื้น โดยฟังก์ชั่นในส่วน Service ทั้งหมดรวมทั้งห้องนอนทั้งสองห้องจะมี Floor to Celing 2.8 เมตร ส่วน Living room จะมีความสูง 3.6 เมตร ซึ่งจะได้พื้นที่ที่ค่อนข้างโปร่งและโอ่โถงมาก การจัดฟังก์ชั่นของห้องนี้จะผลักส่วน Service อย่างห้องน้ำ ห้องครัวมาไว้ด้านในอาคาร ส่วนโซนพักผ่อนอย่างห้องนอนใหญ่ และ Living room จะอยู่ด้านนอก สามารถเห็นวิวได้เต็มตา
โดยเมื่อเข้าไปในห้องจะเจอ Corridor ทางเดินกว้าง 1 เมตร ที่มีห้องน้ำรวมไว้ให้ทุกคนในห้องใช้ สุดทางจะมีทางแยกไปยังห้อง Master Bedroom ที่มีห้องน้ำและพื้นที่สำหรับ Walk-in Closed ให้ ส่วนห้องนอนเล็กก็มีพื้นที่ให้ Built-in ตู้เสื้อผ้าได้เช่นกันและจากห้องนี้สามารถมองเห็นส่วน Living room ได้ด้วย ส่วนทางแยกอีกทางหนึ่งจะไปสู่ห้องครัวที่โครงการ Built-in มาให้พร้อม Island จากห้องครัวจะมีบันไดเดินลงไปยัง Living room ได้ ซึ่งห้องนี้มีพื้นที่กว้างและโอ่โถง รวมทั้งมีการใช้ผนังกระจกเต็มบานสูง 3.6 เมตร ทำให้สามารถมองวิวได้เต็มที่เลย ตรงกระจกเข้ามุมห้องมีการใช้หน้าต่างบานเลื่อนคู่ที่เลื่อนเข้ามุมกัน ทำให้เวลาเปิดกระจกจะได้พื้นที่ Semi-outdoor ย่อมๆ ช่วยถ่ายเทอากาศได้ดีทีเดียวค่ะ จาก Living room จะมีประตูออกที่สู่ระเบียงเล็กๆที่ใช้เป็นที่ตากผ้าหรือจัดสวนหย่อมได้นะ
เรามาดูห้องตัวอย่างจากทางโครงการกันค่ะ ประตูห้องมีความกว้าง 1 เมตร บานประตูของจริงจะเป็นประตูกรุวีเนียร์ ซึ่งห้องตัวอย่างโครงการไม่ได้ติดตั้งมาให้ดู
เข้ามาในห้องจะเจอกับ Corridor ทางเดินกว้างประมาณ 1 เมตร สุดทางจะเป็นทางแยกขวาจะไปยังห้องนอนทั้งสองห้อง หากแยกไปทางซ้ายจะไปยังห้องครัวและ Living Room ส่วนห้องที่เราเห็นทางซ้ายมือจะเป็นห้องน้ำรวม เดี๋ยวเราจะพาเข้าไปดูกันค่ะ
ห้องน้ำมีขนาด 1.8 x 3.13 เมตร ตัวผนังห้องน้ำใช้กระเบื้องแกรนิตโต้ลายหินอ่อนสีเดียวกันกับกระเบื้องปูพื้นแต่เป็นแบบมันเงา บรรยากาศโดยรวมค่อนข้างเรียบหรูและดูสะอาด ห้องน้ำมีการจัดวางพื้นที่ใช้งานเป็น 3 ส่วนคือ เคาท์เตอร์อ่างล้างหน้าพร้อมกระจกเงาและ Low wall ท็อปหิน Marble Stone เหนือโถสุขภัณฑ์, จุดวางโถสุขภัณฑ์ และพื้นที่เปียกสำหรับอาบนำ้ที่มาพร้อมกับฉากกั้นกระจกบานเปลือย
ชุดอ่างล้างหน้าให้มาลักษณะนี้ กระจกเงาเป็นบานกระจกติดเต็มความกว้างของผนัง ท็อปเคาท์เตอร์อ่างล้างหน้าเป็นหิน Marble Stone สีออกเทาเข้มยื่นไปถึงส่วนวางโถสุขภัณฑ์เป็น Low Wall ให้วางของได้
อ่างล้างหน้าทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดปานกลางของ Kohlor และก๊อกน้ำแสตนเลสของ Grohe ใต้อ่างล่างหน้า built-in เป็นตู้เก็บของ สามารถใส่ของใช้ในห้องน้ำเล็กๆน้อยๆได้
จากห้องน้ำเราเดินมาจนสุดทางจะเป็นผนังว่างเปล่าที่เว้นช่องไว้ให้สามารถ Built-in ตู้ใส่ของลักษณะนี้ได้ เดวเราจะพาแยกไปทางขวาเพื่อไปดูห้องนอนทั้งสองห้องกันก่อนค่ะ
โดยพื้นของห้องนอนทั้งสองห้องนี้จะเป็นพื้น Engineering wood มีการปิดคิ้วสีทองเหมือนกันค่ะ
พื้นที่ข้างเตียงเหลือค่อนข้างเยอะ สามารถจัดฟังก์ชั่นอื่นเพิ่มได้ เช่น วางโต๊ะทำงาน วางโซฟานั่งเล่น Built-in ชั้นหนังสือ หรือถ้าใครไม่ชอบนอนเตียงเล็กๆก็สามารถเปลี่ยนไปวางเตียงขนาด 5 ฟุตก็ยังได้ค่ะ
ส่วนพื้นที่ปลายเตียงจะมีผนังที่ยื่นออกมาเนื่องจากเป็นส่วนเสาของอาคารพอดีและมีพื้นที่ Drop เข้าไปให้สามารถ Built-in ตู้เสื้อผ้าได้ ความลึกประมาณ 1 เมตร ส่วนถ้าใครอยากดูทีวีในห้องนอนก็สามารถติดตั้งทีวีติดผนังเหมือนในห้องตัวอย่าง ก็ดูจะเป็นพื้นที่ที่เหมาะสมที่สุดแล้วค่ะ
หาก Built-in ตู้เสื้อผ้าโดยใช้บานเปิด เวลาที่เปิดตู้ออกมาก็จะเหลือพื้นที่ปลายเตียงค่อนข้างน้อย จะทำให้เสียพื้นที่หรือยืนเลือกเสื้อผ้าลำบาก แนะนำให้ใช้หน้าบานเป็นบานเลื่อนจะเหมาะกับพื้นที่ที่คับแคบมากกว่าค่ะ
ช่องเปิดของห้องนอนนี้จะเป็นหน้าต่างกระจกบาน Fix บานค่อนข้างใหญ่สูงถึงฝ้าเพดานและมีหน้าต่างบานกระทุ้งเล็กๆให้ 1 บาน(ริมสุดด้านซ้ายมือ) เพื่อระบายอากาศ โดยสาเหตุที่ทำหน้าต่างบาน Fix บานใหญ่เนื่องจากจุดประสงค์หลักคือ ต้องการให้ผู้อยู่อาศัยได้รับวิวจากหน้าต่างเป็นหลักมากกว่าใช้เปิดระบายอากาศ
ตัวเฟรมหน้าต่างค่อนข้างใหญ่ ใช้กรอบอลูมิเนียมทำสี powder coat และทำผิวพิเศษ sahara effect ส่วนตัวกระจกเป็นลามิเนต เมื่อแตกเศษกระจกจะไม่ร่วงหล่น แต่จะยึดเกาะกับฟิล์มตรงกลางจึงมีความปลอดภัยสูง จากตรงนี้จะเห็นว่าเมื่อนอนอยู่บนเตียงจะสามารถมองทะลุไปถึงห้องรับแขกซึ่งเป็นห้องกระจกเหมือนกัน ดังนั้นหากมีคนอยู่ที่ห้องนั่งเล่น เราก็สามารถโบกมือทักทายกันได้ตรงนี้
ถัดไปเป็น Master Bedroom ที่จะเดินเข้ามาจะเจอพื้นที่ Walk-in Closed ห้องน้ำในตัว และโถงทางเดินไปยังส่วนห้องนอน
มองกลับไปยังประตูทางเข้า จะเห็นว่าด้านข้างเป็นพื้นที่ Walk-in Closed รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาด 2.2 x 1.65 เมตร สามารถ Built-in ตู้เสื้อผ้ารูปตัว L แบบนี้ได้ค่ะ
ถัดไปเป็นห้องน้ำขนาด 3.60 x 1.65 เมตรตัวผนังห้องน้ำใช้กระเบื้องแกรนิตโต้ลายหินอ่อนสีเดียวกันกับกระเบื้องปูพื้นแต่เป็นแบบมันเงา เหมือนกับห้องน้ำห้องอื่นๆ ห้องน้ำมีการจัดวางพื้นที่ใช้งานเป็น 3 ส่วนคือ เคาท์เตอร์อ่างล้างหน้าพร้อมกระจกเงาและ Low wall ท็อปหิน Marble Stone เหนือโถสุขภัณฑ์, โถสุขภัณฑ์ และพื้นที่เปียกสำหรับอาบนำ้ที่มาพร้อมกับฉากกั้น
ท็อปเคาท์เตอร์อ่างล้างหน้าเป็นหิน Marble Stone สีออกเทาเข้มยื่นไปถึงส่วนวางโถสุขภัณฑ์เป็น Low Wall ให้วางของได้ อ่างล้างหน้าทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดปานกลางของ Kohlor และก๊อกน้ำแสตนเลสของของ Grohe ส่วนโถสุขภัณฑ์ให้ของ Kohlor มีการติดตั้งสายฉีดชำระพร้อมที่แขวนกระดาษทิชชู่ให้เรียบร้อย
มือจับประตูฉากกั้นอาบน้ำ
พื้นห้องน้ำในส่วนเปียกจะไม่มีการลดระดับ แต่จะมีธรณีสูงขึ้นมาประมาณ 1 นิ้ว เพื่อกันน้ำไหลไปเปียกส่วนแห้งแทน โดยพื้นที่ยืนอาบน้ำมีขนาด 1.80 x 1.65 เมตร
ฝักบัวอาบน้ำขนาดใหญ่ดี
ส่วนอ่างอาบน้ำเป็นแบบ Jacuzzi แบบหัว Jet 6 หัว สามารถเปิดน้ำเพื่อใช้นวดผ่อนคลายได้
โดยผนังที่ติดกับอ่าง Jacuzzi จะเป็นผนังกระจกเต็มบานสูงถึงฝ้าเพดาน บานทางด้านซ้ายมือเป็นบาน Fix ส่วนทางขวามือเป็นบานกระทุ้งเพื่อระบายอากาศ
ที่ผนังอีกด้านตรงกับส่วนยืนอาบน้ำ ยังมีหน้าต่างกระจกบาน Fix ที่สามารถเห็นได้ทะลุถึงห้องนอน ถือว่าห้องน้ำนี้มีความเซ็กซี่อยู่ทุกที่จริงๆ
โดยหากใครไม่ชอบความเซ็กซี่ก็สามารถรูดผ้าม่านปิดได้ เพราะโครงการ Drop ฝ้าเพดานให้เป็นรูปตัว L สามารถติดตั้งรางผ้าม่านปิดหน้าต่างทั้งสองบานได้ค่ะ
ออกจากห้องน้ำเราจะพาไปดูห้องนอนกันบ้าง
ส่วนของห้องนอนมีขนาด 4 x 3.25 เมตร สามารวางเตียงขนาด 5 ฟุตได้สบายๆ โดยจุดเด่นของห้องนี้อยู่ที่บานหน้าต่างเข้ามุมทำให้ห้องมีรับแสงธรรมชาติแบบเต็มๆและเห็นวิวได้เต็มตา
โดยหน้าต่างของห้องนี้มีความกว้างเต็มพื้นที่ผนังและสูงถึงฝ้าเพดาน กระจกที่ใช้จะเป็นกระจกลามิเนตที่มีแผนฟิล์มตรงกลาง เวลาแตกจึงจะติดกับแผ่นฟิล์มไม่กระจายตัวออก ค่อนข้างปลอดภัยกับผู้ใช้งาน ตัวเฟรมเป็นอลูมิเนียมค่อนข้างหนา ทำสี powder coat และทำผิวพิเศษ sahara effect โดยหน้าต่างที่เห็นจะเป็นบาน Fix ทั้งหมดเนื่องจากจุดประสงค์ที่ต้องการให้ผู้อยู่อาศัยมองวิว ไม่มีบานเปิด-ปิดมากวนสายตา
ดังนั้นบานเปิด-ปิดที่เอาไว้ระบายอากาศจึงมีแค่บานกระทุ้งบานเดียวอยู่ตรงข้างๆผนัง 1 บานเท่านั้น
มุมมองเมื่อนอนอยู่บนเตียง หากอยู่บนชั้นสูงๆจะสามารถเห็นวิวของกรุงเทพได้เต็มตาเลยค่ะ ซึ่งแน่นอนว่ามีข้อดีก็ต้องมีข้อเสีย ห้องที่มีกระจกเยอะแบบนี้ก็ต้องแลกมาด้วยแสงที่เยอะและแดดที่เยอะด้วย ลองนึกว่าหากเป็นเวลาบ่ายสามแดดเปรี้ยงๆที่อยู่ห้องในวันหยุด เราคงไม่มีอยากนอนอาบแดดในห้องนอนตัวเองสักเท่าไหร่นักใช่ไหมคะ
ดังนั้น แนะนำว่าให้หาผ่าม่านแบบสองชั้นมาติดไว้ดีกว่า เพื่อกันแดดและกันสายตาจากภายนอกด้วย โดยโครงการได้ Drop ฝ้าเพดานเพื่อติดตั้งรางผ้าม่านตามแนวหน้าต่างให้เรียบร้อยแล้ว แต่ไม่มีไฟซ่อนให้นะ
ส่วนพื้นที่ปลายเตียงเราสามารถหาโต๊ะเตี้ยๆมาวางกันเสียวได้นะ เพราะลองสมมุติดูว่าหากอยู่บนตึกสักชั้น 30 แล้วอยู่ในห้องที่มีกระจกเต็มบานตั้งแต่พื้นถึงฝ้าเพดานแบบนี้ เวลามองลงไปข้างล่างคงเสียวๆอยู่เหมือนกัน แต่ถ้าใครไม่กังวลเรื่องความสูงก็สามารถหาโซฟาเล็กๆมาวางไว้เผื่อนั่งเล่นที่มุมห้อง หรือจะปล่อยพื้นที่ปลายเตียงให้ว่างๆก็สบายสายตาไปอีกแบบ
อีกด้านจะเห็นผนังของห้องน้ำที่เป็น Sexy Bathroom ซึ่งมุมมองจะเปลี่ยนไปก็ต่อเมื่อเรานำผ้าม่านมาติดไว้กันสายตานะคะ มองไปที่ฝ้าเพดานด้านบนจะเห็นแอร์ฝังในฝ้าเพดานที่โครงการติดตั้งมาให้ด้วย ส่วนพื้นที่หัวเตียงของจริงจะเป็นผนังฉาบเรียบทาสีธรรมดา หัวเตียงทั้งสองข้างสามารถหาโต๊ะมาวางเผื่อวางของเล็กๆน้อยๆหรือโคมไฟหัวเตียงได้
เดินมาถึงจุดนี้จะเป็น High Light ของห้องนี้ ก็คือส่วนของห้องครัวที่มีพื้นที่ลดระดับไปยังห้อง Living Room โดยห้องครัวมี Floor to celing สูง 2.8 เมตร ขณะที่ Living room สูง 3.6 เมตร ได้พื้นที่ที่โอ่โถงมากทีเดียว เดี๋ยวเราจะพาไปดูเป็นส่วนๆกันไปนะคะ
ลองมองย้อนกลับไปที่ห้องครัวมีพื้นที่รวมทั้งหมด 3.3 x 3 เมตร มีการ Built-in ชุดครัว พร้อม Island มาให้ด้วย โดยห้องครัวจะมีระดับที่สูงกว่าห้อง Living room 1.2 เมตร หรือประมาณบันได 5 ขั้น จึงมีการทำราวกันตกให้ด้วยกระจกนิรภัยสูง 0.9 เมตร ได้ความปลอดภัยจากราวกันตกและได้มุมมองโปร่งๆจากการใช้กระจกกั้นไปด้วย
ภาพรวมของครัวจะเป็นสีขาวๆคลีนๆ เรามาเริ่มที่ครัว Built-in ขนาด 3 x 0.6 เมตร มีการติดตั้งเคาท์เตอร์ครัวและตู้ครัวด้านบน โดยเว้นที่ว่างให้วางตู้เย็นแบบ 2 ประตูไว้ให้ หน้าบานของตู้ครัวทั้งหมดจะเป็น Hi-gloss สีขาว เวลาที่เปื้อนหรือเป็นคราบก็สามารถเช็ดทำความสะอาดได้ง่าย
ช่องว่างระหว่างเคาท์เตอร์ครัวและ Island มีขนาด 0.8 เมตร เมื่อเปิดตู้ออกมาแล้วจะเหลือทางเดินค่อนข้างน้อย
ท็อปเคาท์เตอร์ครัวใช้หิน synthetic stone สีขาว ที่มีคุณสมบัติ ดูแลรักษาง่าย ไม่ดูดซึมคราบสกปรกและไม่สะสมเชื้อโรค ส่วนที่ผนังเคาท์เตอร์ครัวจะปิดผิวด้วยกระจก เวลาประกอบอาหารหรือล้างจานแล้วเกิดคราบเปื้อนก็สามารถเช็ดทำความสะอาดได้ง่าย
เตาและที่ดูดควันให้ของ Smeg
มาดูส่วนของ Island กันบ้าง ตัว Island จะเป็นเคาท์เตอร์สีขาวหน้าบานตู้เป็น Hi-gloss และท็อปหิน synthetic stone เหมือนกับเคาท์เตอร์ครัว โดยฟังก์ชั่นของ Island จะมีตู้ใส่ของด้านล่าง ส่วนด้านบนเป็นอ่างล้างจาน 2 อ่างที่มีฝาปิดให้ และที่ว่างวางของ
โดยตัวอ่างจะมีอ่างใหญ่รูปทางสี่เหลี่ยมจตุรัสและอ่างเล็กรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีฝาครอบปิดเป็นหิน synthetic stone ให้ทั้งสองอ่าง ตัวก๊อกน้ำเป็นสแตนเลสทรงโค้งสามารถหมุนใช้งานได้ซ้าย-ขวา
มุมมองจากห้องครัวเมื่อมองออกไปจะเห็น Living room ได้แบบนี้ ซึ่งหากเราใช้งานห้องครัวอยู่ ก็สามารถมีปฎิสัมพันธ์กับคนที่อยู่ใน Living room ได้
จากห้องครัว หากเราจะไปยัง Living room จะต้องลงบันไดไป 5 ขั้น ความกว้างของบันไดประมาณ 9.8 เมตร ซึ่งเราสามารถติดตั้งราวจับแบบนี้ในกรณีที่มีผู้สูงอายุหรือเด็กในบ้าน เพื่อความปลอดภัย ตรงนี้โครงการไม่ได้ติดตั้งมาให้ต้องมาติดตั้งเองนะคะ
ถัดไปเป็นพื้นที่ Living room ขนาด 6 x 4.7 เมตร สามารถจัดพื้นที่ให้เป็นห้องนั่งเล่น ห้องทำงาน และพื้นที่รับประทานอาหารได้ โดยห้องนี้มีจุดเด่นอีกอย่างตรงที่มีหน้าต่างเป็นบานกระจกเต็มบานตั้งแต่พื้นถึงฝ้าเพดาน ทั้งด้านหน้าและด้านข้าง ตัวหน้าต่างเข้ามุมกัน ทำให้มุมมองของห้องโปร่งมาก
หน้าต่างเข้ามุมเป็นหน้าต่างบานเลื่อนคู่ สามารถปิด-เปิด เป็นพื้นที่ Semi-outdoor ได้ โดยจะมีราวกันตกกระจกนิรภัยสูง 1.15 เมตร ป้องกันอุบัติเหตุในขณะที่ยังได้มุมมองโล่งสายตา
ลองมายืนที่ด้านนอกอาคารให้ดู เมื่อเปิดหน้าต่างแล้วเราจะได้พื้นที่มุมห้องแบบนี้ค่ะ
มองขึ้นไปบนฝ้าเพดานเลียบกับหน้าต่างมีการ Drop ฝ้าเพดานเพื่อติดตั้งรางผ้าม่านให้เรียบร้อย
จากมุมห้องมองเข้าไปจะเห็นว่าหากเราจัดวางโซฟาและวางทีวีแบบในห้องตัวอย่างนี้จะมีระยะดูทีวีอยู่ที่ 3 เมตร เหมาะกับการติดตั้งทีวี 60″ เป็นขนาดที่พอดีกับสายตาค่ะ
ส่วนพื้นที่ที่ติดกับห้องครัวข้างๆบันไดเราสามารถวางโต๊ะรับประทานอาหารขนาด 4 ที่นั่งได้ มองขึ้นไปที่ฝ้าเพดานด้านบนจะมีแอร์ฝังฝ้าเพดานติดตั้งให้เรียบร้อย
อีกด้านเป็นพื้นที่ที่สามารถวางโต๊ะทำงานริมหน้าต่างได้ หากอย่างทำงานแบบลม Flow ดีๆก็สามารถเปิดหน้าต่างตรงมุมห้องเพื่อรับลมได้ ทางขวามือเป็นประตูสามารถออกไปสู่ระเบียงห้อง
ประตูทางออกระเบียงเป็นกระจกบานเลื่อน 2 ตอนความสูงถึงฝ้าเพดาน เฟรมกระจกอลูมิเนียม ทำสี powder coat และทำผิวพิเศษ sahara effect
พื้นระเบียงมีการลดระดับลงเล็กน้อย ไม่มีธรณีประตูแต่มีรางเลื่อนที่ติดสักหลาดกันกระแทกมาให้ด้วย
เมื่อเดินออกมาจะเจอพื้นที่ระเบียงที่ของจริงโครงการจะติดตั้งราวกันตกกระจกนิรภัยสูง 1.15 เมตร ตามช่องสีเหลืองมาให้ด้วยค่ะ
สวิตซ์ไฟและเต้ารับใช้ของยี่ห้อ Schneider สีเทา
เอาแปลนห้อง Type B แบบ 2 Bedroom 2 Bathroom ขนาด 75 ตารางเมตรมาให้ดู ห้องนี้มีฝ้าเพดานสูง 3.2 เมตร ตัวผังห้องจะคล้ายๆกับแบบ Type A แต่มีพื้นที่น้อยกว่าและไม่มีการลดระดับพื้นห้อง เมื่อเดินเข้าห้องมาจะเจอกับ Corridor ทางเดินที่ไปทางซ้ายมือจะเป็นห้องน้ำรวม ฝั่งตรงข้ามเป็นห้องนอนเล็กและห้องนอนใหญ่ที่มีห้องน้ำและพื้นที่สำหรับ Walk-in Closed ส่วนถ้าแยกมาทางขวามือจะเป็นครัวและ Living room ที่มีผนังกระจกเต็มบาน และตรงมุมกระจกมีการทำกระจกบานเลื่อนเข้ามุม เหมือนห้อง Type A สามารถปรับเปลี่ยนพื้นที่เป็น Semi-outdoor และช่วยถ่ายเทอากาศภายในห้องได้ดี ข้าง Living room มีระเบียงเล็กๆให้สามารถตากผ้าหรือจัดสวนหย่อมเล็กๆได้
ถัดไปจะเป็นห้องตัวอย่างของห้อง Type CS แบบ 2 Bedroom 2 Bathroom ขนาด 71.5 ตารางเมตร ผังของห้องนี้จะคล้ายๆกับแบบ Type B แต่มีพื้นที่น้อยกว่าและไม่มี Corridor ทางเดินจากประตูเข้าห้อง เมื่อเดินเข้าห้องมาจะเจอกับ Living room ที่มีผนังกระจกเต็มบาน และตรงมุมกระจกมีการทำกระจกบานเลื่อนเข้ามุม เหมือนห้อง Type A สามารถปรับเปลี่ยนพื้นที่เป็น Semi-outdoor และช่วยถ่ายเทอากาศภายในห้องได้ดี ข้าง Living room มีระเบียงเล็กๆให้สามารถตากผ้าหรือจัดสวนหย่อมเล็กๆได้ ถัดไปเป็นห้องครัวที่สามารถวางโต๊ะรับประทานอาหารขนาด 4 ที่นั่งได้ ข้างๆกันเป็นห้องน้ำรวมที่มีพื้นที่อาบน้ำให้ด้วย ถัดไปเป็นห้องนอนเล็กและห้องนอนใหญ่ที่มีห้องน้ำและพื้นที่สำหรับ Walk-in Closed ให้ สำหรับห้องใน Type นี้เราจะนำภาพมาให้ดูพอเป็นน้ำจิ้ม หากใครสนใจสามารถเข้าไปชมที่ Sale Gellery ของโครงการได้ค่ะ
เข้ามาภายในห้อง Living room ที่มีผนังกระจกเต็มบานและมีประตูเปิดออกสู่ระเบียงได้
ถัดไปเป็นพื้นที่ครัวที่โครงการ Built-in ชุดครัวไว้ให้เรียบร้อย ฝั่งตรงข้ามครัวสามารถวางโต๊ะรับประทานอาหารขนาด 4 ที่นั่งได้
ถัดมาเป็นห้องน้ำรวมที่มีฟังก์ชั่นแยกส่วนเปียกส่วนแห้งชัดเจน มีอ่างล้างหน้า โถสุขภัณฑ์ และพื้นที่อาบน้ำที่มีฉากกั้นประจกเปลือยให้
ถัดไปเป็น Corridor ทางเดินไปสู่ห้องนอนเล็ก(หรือจะเป็นห้องอเนกประสงค์ก็ได้) และตรงไปเป็น Master Bedroom
เราเข้ามาที่ห้องนอนเล็กกันก่อน โครงการจัดฟังก์ชั่นภายในห้องให้เป็นห้องทำงานและห้องนั่งเล่น มองตรงไปจะมีประตูสามารถเปิดออกสู่ระเบียงที่ทะลุไปยัง Living room ได้
ถัดมาเป็น Master Bedroom ที่มีห้องน้ำในตัวและมีพื้นที่ Walk-in Closed ให้
โดยพื้นที่ Walk-in Closed จะอยู่ที่หน้าห้องน้ำ โครงการจะให้เป็นพื้นที่โล่งๆ ซึ่งเราสามารถ Built-in ราวแขวนเสื้อผ้าและเก็บของลักษณะนี้ได้ค่ะ
ส่วนของห้องนอนค่อนข้างโปร่งเพราะมีกระจกสูงเต็มบานเข้ามุมให้ ด้านบนมีการ Drop ฝ้าเพดานเผื่อติดรางผ้าม่านให้ด้วย แต่ไม่ติดไฟซ่อนให้นะคะ
ที่ผนังอีกด้านของห้องนอนจะเห็นผนังของห้องน้ำที่เป็น Sexy Bathroom มองไปที่ฝ้าเพดานทางซ้ายมือจะเห็นแอร์ฝังในฝ้าเพดานที่โครงการติดตั้งมาให้ด้วยค่ะ
**รายละเอียดของวัสดุต่างๆเช่น ยี่ห้อ และรุ่น ของจริงอาจจะเป็นรุ่นนี้หรือเทียบเท่านะคะ
ราคาและเงื่อนไขการขาย @ 11 February 2016
*****เนื่องจากโครงการยังไม่มีราคาออกมา เมื่อราคาออกมาแล้วจะมาอัพเดทให้ทราบเพิ่มเติมนะคะ
- Fully Fitted
- เพดานสูง 2.8 เมตร, 3.2 เมตร และ 3.6 เมตร
- Kitchen & Sink
- Hob & Hood
- จอง n/a บาท
- ทำสัญญา n/aบาท
- ดาวน์ n/a ผ่อนดาวน์ n/a งวด
- ค่ากองทุน n/a บาทต่อตารางเมตร
- ค่าส่วนกลาง n/a บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน
โครงการ Ashton Silom ตั้งอยู่บนถนนสีลมที่ขึ้นชื่อว่าราคาที่ดินแพงที่สุดในประเทศ (ข้อมูลประเมินล่าสุดที่จะใช้ในปี 2559-2562) เป็นทำเลที่มีความอุดมสมบูรณ์สูง อยู่ในย่านสีลม-สาทร ที่เรียกได้ว่าเป็น CBD อันดับต้นๆของประเทศ บริบทรอบๆจะมีอาคารสำนักงาน ธนาคาร ศูนย์การค้า ร้านค้า โรงแรม สวนสาธารณะขนาดใหญ่อย่างสวนลุมพินีที่อยู่ไม่ไกลมากนัก มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันเป็นแหล่งรองรับหนุ่มสาวออฟฟิศ และ นักท่องเที่ยวจำนวนมาก โดยตัวโครงการอยู่กึ่งกลางของถนนสีลมตรงแยกสีลม-นราธิวาส ระหว่างโซนเจริญและความพลุกพล่านสูง(ฝั่งแยกสีลม-นราธิวาส ค่อนไปทางแยกศาลาแดง) และความพลุกพล่านปานกลาง (ฝั่งแยกสีลม-นราธิวาสถึงแยกบางรัก) ดังนั้นที่ตั้งโครงการตรงนี้จึงเป็นที่สามารถเข้าถึงถนนสีลมได้ง่ายทั้งสองฝั่งหรือจะไปออกถนนนราธิวาสราชนครินทร์เพื่อไปสาทรก็ง่ายเหมือนกันเพราะอยู่ใกล้สี่แยกพอดี
แน่นอนว่ามีข้อดีก็ต้องมีข้อเสีย จริงอยู่ที่โครงการอยู่กึ่งกลางความอุดมสมบูรณ์ต่างๆ แต่สิ่งที่หนีไม่พ้นคือปัญหารถติด แม้ว่าโครงการจะสามารถเข้าออกได้ทั้งจากถนนสีลม, ถนนสุรวงศ์ และถนนสาทร แต่ถนนสามเส้นที่กล่าวมานี้ล้วนแล้วแต่รถติดหนักทั้งสิ้น จะมีถนนสุรวงศ์ที่รถติดน้อยกว่าเส้นอื่นหน่อย แต่ว่าถนนเส้นนี้ก็ไปได้บางเส้นทางเท่านั้นเพราะเป็นถนน One Way วิ่งไปทางฝั่งสาทรได้อย่างเดียว ดังนั้น หากจะไปถนนพระราม 4 หรือถนนราชดำริ มีทางเดียวที่ดีที่สุดคือถนนสีลม นอกจากนี้รอบๆถนนสีลมมีถนนที่เป็นทาง One way เยอะ อย่างเช่น ถนนสุรวงศ์, ถนนมเหสักข์ ดังนั้นหากจะเลี้ยวเข้าถนนสีลมต้องดูดีๆหน่อย เพราะหากเลยแยกหรือเลยถนนทีนี่ต้องกลับรถกันยาว แนะนำว่าถ้ารีบก็ควรใช้รถไฟฟ้า BTS จะดีกว่าค่ะ ซึ่งรถไฟฟ้า BTS ที่ใกล้ที่สุดคือสถานีช่องนนทรี ห่างจากโครงการ 350 เมตร หากต้องการไปฝั่งสาทร-พระราม3 ก็ไปต่อ BRT ได้ ค่าบริการแค่ 5 บาทเท่านั้น หรือถ้าต้องการขึ้น MRT ก็นั่ง BTS ช่องนนทรี ไปลง BTS ศาลาแดง แล้วเดินผ่าน Skywalk ไปลง MRT สีลม ก็สะดวกดีค่ะ
ส่วนเรื่องบริบทรอบด้าน อย่างเรื่องวิวนี้จะมีทิศตะวันออกเฉียงเหนือที่ติดกับ M Silom จะเป็นทิศที่ด้อยกว่าทิศอื่นๆหน่อย เพราะอยู่ประชิดกับ M Silom มากและความสูงของ M Silom 53 ชั้นทำให้ไม่สามารถเลี่ยงอะไรได้เลย รองลงมาคือทิศตะวันตก ที่มองเห็น Pullman Hotel G ในระยะที่ไม่ประชิด แต่ก็อยู่ใกล้กว่าทิศอื่นๆ และความสูงของโรงแรม 38 ชั้น ทำให้คนที่เลือกทิศนี้ควรจะเลือกชั้น 39 ขึ้นไปจึงจะได้วิวที่โอเคค่ะ ส่วนทิศเหนือกับทิศตะวันออก เป็นวิวที่ติดกับบ้านและอาคารพาณิชย์ที่ไม่สูงมาก ไม่ส่งผลเรื่องวิวเท่าไหร่นัก แต่ก็จะเห็นตึกสูงในระยะที่ไกลออกมาหน่อย สำหรับทิศใต้ ซึ่งเป็นทิศที่เป็นทางเข้าโครงการติดกับถนนสีลม จริงๆแล้วทิศนี้เป็นทิศที่อยู่ไกลจากตึกสูงทั้งหลายมากที่สุด โดยตึกส่วนใหญ่ที่มองเห็นจะเป็นตึกที่อยู่บนถนนนราธิวาสฯ โดยเฉพาะตึกมหานคร เมื่อสร้างเสร็จแล้วน่าจะช่วยส่งเสริมวิวด้านนี้ให้ดีขึ้น แต่ข้อเสียของวิวด้านนี้คือมองเห็นสุสานจีนบ่าบ๋า ดังนั้นก็คงต้องแล้วแต่ความชอบและลองชั่งน้ำหนักดูแล้วว่า วิวด้านไหนเหมาะกับเรามากที่สุด
วัสดุที่ให้มาก็สมน้ำสมเนื้อกับราคาตารางเมตรละสองแสนกว่าบาท ซึ่งจริงๆแล้วคอนโดระดับนี้เรื่องคุณภาพวัสดุไม่ใช่ปัจจัยหลักสักเท่าไหร่ แต่จะอยู่ที่ความชอบและความพอใจเป็นหลัก เนื่องจากราคาที่ถูกนำมาพิจารณาในการเลือกซื้อนั้นจะไปอยู่ที่ทำเล ฟังก์ชั่นโดยรวมและรูปแบบโครงการมากกว่าค่ะ โดยโครงการขายแบบ Fully Fitted มีชุดครัวให้ ประกอบด้วยท็อปเคาท์เตอร์ Synthetic stone, ซิ้งค์ล้างจานแบบมีฝาครอบเป็นวัสดุชนิดเดียวกับท็อปเคาท์เตอร์, เตาไฟฟ้าและที่ดูดควันของ Smeg เป็นเตาระบบ induction, ติดตั้งแอร์แบบฝังในฝ้าให้, ส่วนในห้องน้ำ เคาท์เตอร์อ่างล้างหน้าเป็นท็อปหิน Marble Stone, อ่างล้างหน้าและโถสุขภัณฑ์ของ Kohlor, ชุดฝักบัวอาบน้ำและก๊อกน้ำของ Grohe, ฉากกั้นอาบน้ำเป็น Temper glass ส่วนอ่างอาบน้ำเป็นอ่าง Jacuzzi หัว jet 6 หัว, ช่องเปิดภายนอกอาคารส่วนใหญ่เป็นกระจกลามิเนต เฟรมอลูมิเนียมทำสี powder coat และทำผิวพิเศษ sahara effect มีการ Drop ฝ้าเพดานเพื่อติดรางผ้าม่านให้ตรงช่องเปิดทุกบาน ส่วนพื้นครัว, ระเบียงปูด้วยกระเบื้องแกรนิตโต้ พื้นห้องน้ำปูด้วยกระเบื้อง porcelain ที่มีคุณสมบัติดูดซึมต่ำกว่าแกรนิตโต้ ดูแลรักษาได้ง่ายกว่า ส่วนพื้นห้องนั่งเล่นและห้องนอนเป็น Engineering wood
การออกแบบของโครงการมีลูกเล่นแปลกใหม่เยอะดี Ashton ตัวนี้อนันดาค่อนข้างจัดเต็มเนื่องจากราคาต่อตารางเมตรสูงสุดในตระกูล Ashton แล้ว แถมยังเอาดีไซน์เนอร์แถวหน้าๆของเมืองไทยมาออกแบบ ทำให้ทั้งตัวอาคารและ Landscape ค่อนข้างสะดุดตา เริ่มจาก Landscape ด้านหน้ามีการเล่นระดับ โดยมีทางเดิน Cross Over ผ่าน Sunken Garden ที่เป็นสวนขั้นบันไดและน้ำตกไหลอยู่รอบๆ สร้าง First Impression ที่แปลกตาดี ส่วนตัวอาคารจะดูดิบมากขึ้นจากตัวที่แล้วๆมา ภายนอกอาคารมีการใช้กระจก, เหล็กทาสี และ Vertical Garden เป็นส่วนหลักๆในการตกแต่งอาคาร ส่วน Interior จะมีงาน Craft มาเกี่ยวข้องในส่วนต่างๆมากขึ้น ที่โดดเด่นที่สุดคืองานฝีมือที่ใช้โลหะมาทอกับทองเหลืองและนำไปกัดกับกรดวิทยาศาสตร์ จนเกิดเป็นลวดลายดิบๆบนผืนทองเหลือง ซึ่งงานตัวนี้จะพบเห็นได้ภายในผนังและงานตกแต่งฝ้าเพดานของโครงการ
ส่วนการออกแบบฟังก์ชั่นต่างๆภายในอาคาร มีการคิดเยอะตามประสาโครงการแพงๆ มีการสร้างพื้นที่ที่ “กล้าเสี่ยง” ในหลายๆจุด แต่ก็เป็นหลายจุดที่มีความน่าสนใจ อย่างเช่น ตัวอาคารจะแบ่งออกเป็น 2 ซีก โดยแยกกันด้วย Void(ช่องลม) เล็กๆตรงกลาง เพื่อให้เกิด Corner unit หรือห้องหัวมุมเพิ่มขึ้น ซึ่งหลายคนอาจยังสงสัยว่ามีขึ้นมาทำไม? จำเป็นหรือไม่ ที่ต้องเสียที่ว่างตรงกลางหลายตารางเมตร คูณสองแสนกว่าเข้าไปจะได้มูลค่ากี่ล้าน เพื่อแค่มาทำที่ว่างให้เกิดห้องมุมเท่านั้น ซึ่งเอาจริงๆแล้วตามพื้นฐานเลยความรู้สึกคนมักจะชอบห้องมุมมากกว่า เพราะได้วิวสวยกว่า ห้องกว้างกว่า และถ้าเราไปดูที่โครงการส่วนใหญ่จะเห็นว่า ราคาของห้องมุมจะสูงกว่าห้องอื่นๆในชั้นเดียวกัน ดังนั้นการที่ทำห้องมุมออกมาจะเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับห้องนั้นๆไปในตัวนั่นเองค่ะ
อีกจุดที่น่าสนใจคือการใช้ลูกเล่นที่เรียกว่า Vertical Interlocking Concept เป็นการใช้แผ่นพื้นต่างระดับมาสลับไขว้กันไปมาในแต่ละชั้น หากมองจากภายนอกจะเห็นรูปด้านอาคารมีพื้นที่ Interlock กันเป็นรูปตัว L สลับกันไปมา ส่งผลต่อพื้นที่ภายในให้เกิดพื้นที่พิเศษที่เรียกว่า Stack Floor ที่จะเห็นได้ในห้อง Type A แบบ 2 Bedroom ขนาด 86 ตร.ม. โดยในห้องจะมีการเล่นระดับพื้นทำให้เกิด Floor to Celing สูง 2.8 เมตร และ 3.6 เมตรในห้องเดียวกัน สร้างห้องต่างระดับที่มีฝ้าเพดานสูงและกระจกสูงมองวิวได้เต็มๆ
ส่วนห้องแบบ 1 Bedroom ขนาด 48.5 ตร.ม. จะมีจุดเด่นตรงที่กล้าวางห้องน้ำไว้กลางห้อง โดยมีทางเดินรอบห้องน้ำ สามารถวิ่งไล่จับกันได้เลย ซึ่งเอาจริงๆหากเราได้เป็นห้องเปล่าๆอาจจะมึนๆงงๆกับการตกแต่งเหมือนกันว่าจะเอาอะไรยังไงดี แต่พอมาดูที่ผังและห้องตัวอย่างจะเห็นว่าพื้นที่ด้านหน้าห้องน้ำโครงการวางฟังก์ชั่นให้เป็น Walk-in Closed แยกออกมาจากห้องนอนต่างจากห้อง 1 Bedroom ทั่วไป โดยเราสามารถทำฉากบานเลื่อนเพื่อกั้นพื้นที่ได้ เผื่อแขกไปใครมาจะได้ไม่โป๊เวลาแต่งตัวค่ะ ซึ่งฟังก์ชั่นนี้ค่อนข้างแปลกใหม่และใช้ความกล้าทำพอสมควร ข้อดีที่เหมือนกันสำหรับการออกแบบห้องพักของที่นี่คือจุดยืนที่ต้องการให้ห้องทุกห้องมีผนังกระจกเต็มบานแบบอยู่ไหนก็เห็นวิว อยู่ในห้องน้ำเปิดม่านออกมาก็เห็นวิว อยู่ในห้องครัวมองออกมาก็เห็นวิว เรียกได้ว่านอกจาก Location is Everything วิวก็.. is Everything ไม่แพ้กัน ดังนั้นหากใครเป็นคนชอบห้องที่มีบานเปิดกว้างๆมองวิวได้เต็มๆ ห้องของที่นี่จะตอบโจทย์มากๆ
สำหรับ Facilities ของโครงการให้มาค่อนข้างเยอะ ตั้งแต่พื้นที่ทางเดินและ Sunken Garden ด้านหน้า เข้ามาภายใน Lobby จะมี Waiting Lounge และ Mail room มี Shop ที่คาดว่าจะเป็นร้านอาหารพรีเมี่ยมที่ต้องรอดูต่อไปว่าจะเป็นอะไร Failities หลักๆจะอยู่ในชั้น 34 และ 46-48 โดยในชั้น 34 จะมี สระว่ายน้ำแยกสระเด็กและผู้ใหญ่ รวมทั้ง Onsen และ Jacuzzi มีห้องออกกำลังกาย ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า มีห้องน้ำแยกชายหญิง โดยของผู้ชายจะมีห้องซาวน่า ส่วนผู้หญิงเป็นห้อง Steam ค่ะ ถัดมาเป็นชั้น 34M จะมีห้องสมุด, Theatre Lounge, Business Lounge และSky Deck ที่เป็นพื้นที่สวนสามารถนั่งพักผ่อนมองวิวได้ ในชั้น 46 จะมี Outdoor Lounge ส่วนชั้น 48 จะมี Social Club, Botanical Lounge ให้ โดยพื้นที่ส่วนกลางเหล่านี้สามารถขึ้นลิฟต์แล้วถึงเลย ไม่ต้องเดินผ่านบันไดหนีไฟให้เหนื่อย ในโครงการจะมีลิฟท์โดยสาร 5 ตัวต่อหนึ่งอาคาร คิดเป็นอัตราส่วน 86 : 1 ส่วนที่จอดรถมีให้จำนวน 309 คัน โดยแบ่งเป็นจอดด้านบนอาคาร 305 คัน และจอดใต้อาคาร 4 คัน คิดเป็น 72 % ซึ่งตรงนี้เสียดายมากที่คอนโดระดับ Ultimate ราคาสองแสนกว่าๆยังให้ที่จอดรถไม่ถึง 100% ซึ่งโดยรวมฟังก์ชั่นส่วนกลางครบถ้วนและมีฟังก์ชั่นพิเศษมาเพิ่มเติมให้แบบจัดเต็ม ซึ่งก็ต้องชั่งน้ำหนักดูนะคะว่าราคานี้กับสิ่งที่ได้มันสมน้ำสมเนื้อกันหรือไม่ เพราะอย่าลืมว่า 1 ตารางเมตรของที่นี่ ในราคาสองแสนกว่าบาท สามารถซื้อมอร์เตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ หรือเพิ่มเงินอีกนิดก็ได้ Eco Car 1 คันแล้วนะ
Judgement
ราคาของคอนโดระดับ SUPER LUXURY ความคุ้มค่าด้านราคาไม่ใช่ปัจจัยหลักเพียงอย่างเดียวในการตัดสินใจซื้อ ซึ่งผู้ที่ต้องการซื้อคอนโดในระดับนี้คงต้องมีความพึงพอใจและความชอบจนมองข้ามราคาไปอย่างแน่นอน ดังนั้นความคุ้มค่าด้านอารมณ์คือปัจจัยหลักอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งตราบเท่าที่ทางเรายังไม่สามารถวัดค่ามาตรฐานทางอารมณ์ได้ จึงมิอาจให้คะแนนได้ค่ะ
BOTTOM LINE
Ashton Silom เหมาะกับคนที่มองหาคอนโดบนถนนสีลม ที่มีความหรูหรา Facilities หวือหวาและจัดเต็ม ชอบ Product ที่ดูดีมีสไตล์ ดีไซน์โดดเด่นและเน้นยี่ห้อ บ้านน้อยๆ มีความเป็นส่วนตัวสูง ชอบห้องพักที่เป็นแบบห้องมุม สามารถมองวิวได้กว้างๆ ฝ้าเพดานสูงๆ ใช้รถส่วนตัวพอๆกับใช้รถไฟฟ้า มีงบประมาณเริ่มต้นที่ 7.9 ล้านบาท หรือมีกำลังผ่อนเดือนละประมาณ 55,300 บาทขึ้นไป
ถ้ามีความเห็นว่ารีวิวตัวนี้มีประโยชน์ ช่วยกด LIKE ให้หน่อยนะคะ จะได้มีกำลังใจในการทำรีวิวต่อไป
สมัครสมาชิกพร้อมรับข่าวสารเพิ่มเติม (คลิกที่นี่ )