รีวิวฉบับที่ 2156 … นานๆที ThinkofLiving จะได้มีโอกาสพามารีวิวคอนโดตากอากาศที่เขาใหญ่นะครับ ซึ่ง Villanova Khaoyai เป็นโครงการที่เราเคยมารีวิวกันแล้วเมื่อ 3 ปีก่อน ปัจจุบันสร้างเสร็จพร้อมอยู่เรียบร้อยแล้ว เป็นคอนโดที่ออกแบบโดย A49HD ในสไตล์ Tuscany แถมยังมีความเป็นส่วนตัว และมีทะเลสาบหรือผืนน้ำขนาดใหญ่ ช่วยเสริมสร้างทัศนียภาพ และบรรยากาศภายในโครงการที่ดีอีกด้วย โดยของจริงจะเป็นอย่างไรเราไปชมกันเลยครับ
ข้อมูลโครงการ
Villanova Khaoyai (วิลล่าโนว่า เขาใหญ่) ณ วันที่ 28 ตุลาคม 2563
ชื่อโครงการ | Villanova Khaoyai (วิลล่าโนว่า เขาใหญ่) |
ชื่อผู้ประกอบการ | บริษัท ต้นคูน ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด และ บริษัท สุรีย์ตรีบุญ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด |
SEGMENT CLASS | HIGH CLASS (รายละเอียดของ Segment คอนโดปี 2020 ) |
โครงการตั้งอยู่ | ถ.ผ่านศึก-กุดคล้า ต.พญาเย็น อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา |
ที่ดิน | 3-1-0 ไร่ |
ประเภทคอนโด | คอนโด Low Rise 2 อาคาร รวม 47 ยูนิต |
จำนวนยูนิต | อาคาร A สูง 6 ชั้น จำนวน 28 ยูนิต และ อาคาร B สูง 5 ชั้น จำนวน 19 ยูนิต |
ยูนิตต่อชั้นสูงสุด | n/a ยูนิต |
ที่จอดรถ | 28 คันคิดเป็น 60% (จอดกลางแจ้ง) |
เริ่มก่อสร้าง | n/a |
คาดว่าจะแล้วเสร็จ | ปี 253 |
ประเภทห้องพัก |
|
ฝ้าเพดานสูง | 2.9 เมตร, ส่วนครัว(ใต้งานระบบแอร์)สูง 2.5 เมตร |
ราคาเริ่มต้น | 4.5 ล้านบาท |
ราคาเฉลี่ยทั้งโครงการ | ประมาณ 105,000 บาท/ตร.ม. |
ช่วงราคาต่อตารางเมตร(ต่ำสุด-สูงสุด) | 99,000 – 118,000 บาท/ตร.ม. |
EIA (ประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม) | สร้างเสร็จ |
เว็บไซต์โครงการ | www.condominium.villanovakhaoyai.com |
Call Center | 02-789-9989 |
ทำเลที่ตั้ง
พิกัด Google Maps : 14.585665, 101.246318
หรือสามารถ : คลิกที่นี่
โครงการ Villanova Khaoyai ตั้งอยู่บนถนนผ่านศึก-กุดคล้า ที่ถือเป็นถนนเส้นหลักอีกเส้นในการเดินทางขึ้นเขาใหญ่ได้ และจะเชื่อมต่อกับถนนธนรัชต์กับถนนมิตรภาพ โดยบริบทของถนนผ่านศึก-กุดคล้าจะมีความเงียบสงบและเหมาะแก่การอยู่อาศัย มากกว่าโซนถนนธนรัชต์ที่เป็นโซนแหล่งท่องเที่ยวหลัก มีร้านอาหารดังๆเยอะ แถมยังมีตลาด และทางเชื่อมต่อไปยังตัวเมืองปากช่องได้อีกด้วย จึงเป็นทำเลที่ค่อนข้างคึกคัก และมีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลมาตลอดช่วงวันหยุด
ดังนั้นพวกบ้านหรือคอนโดมิเนียมตากอากาศใหม่ๆ จึงมักจะเริ่มขยับขยาย และหลีกหนีความวุ่นวายของโซนท่องเที่ยวของธนรัชต์ มาอยู่บนถนนผ่านศึก-กุดคล้ากันมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันก็เป็นถนนลาดยางอย่างดี และไม่ใช่เส้นทางที่เปลี่ยวเลยครับ ระหว่างทางก็มีที่พักอาศัย ไร่สวน และร้านอาหารเป็นระยะๆ ส่วนถ้าอยากเดินทางไปเที่ยว หรือจับจ่ายใช้สอยในโซนธนรัชต์-ปากช่อง ก็จะใช้เวลาขับรถไป 15 – 30 นาที
อีกหนึ่งปัจจัยที่จะทำให้การเดินทางมายังเขาใหญ่สะดวกสบายมากขึ้น คือแนวเส้นทางโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน-นครราชสีมา หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า มอเตอร์เวย์ใหม่ “บางปะอิน-โคราช” ระยะทางรวมประมาณ 196 กิโลเมตร
โดยมีจุดเริ่มต้นเชื่อมต่อกับถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพฯด้านตะวันออก (ถนนกาญจนาภิเษก) อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และไปสิ้นสุดที่บริเวณทางเลี่ยงเมืองจังหวัดนครราชสีมาด้านตะวันตก อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งคาดการณ์ว่าจะเปิดให้บริการได้ภายในปี 2566
การเดินทางมายังโครงการ :
เริ่มต้นการเดินทางบนถนนมิตรภาพที่มุ่งหน้าสู่ปากช่อง ให้เราไปกลับรถขับย้อนมาประมาณ 3 km. เพื่อเลี้ยวเข้าสู่ถนนผ่านศึก-กุดคล้า ขับตรงเข้ามาตามทางเรื่อยๆประมาณ 8 km. ก็จะเจอที่ตั้งโครงการอยู่ทางขวามือครับ
สภาพแวดล้อมรอบโครงการ
บริบทโดยรอบโครงการส่วนใหญ่ยังเป็นที่ว่างและพื้นที่สีเขียวครับ แต่ก็พอจะมีบ้านพักอาศัย รวมถึงมีการทำไร่ทำสวนอยู่บ้าง จึงมีบรรยากาศที่เงียบสงบดี สามารถสรุปได้ดังนี้
ทิศตะวันตก : มองเห็นทะเลสาบแบบด้านข้าง (ถ้าก้มลงไปด้านล่างจะเห็นสระว่ายน้ำด้วยครับ) ส่วนระยะไกลจะติดกับพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ข้างเคียง และได้วิวที่ค่อนข้างเปิดโล่ง
ทิศเหนือ : มองเห็นทะเลสาบเป็นตอนลึก และระยะไกลเป็นบ้านเดี่ยวสไตล์ Tuscany ของโซนแรก ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่เมืองนอก รวมถึงมองเห็นเขาลอยแบบระยะใกล้เป็นฉากหลังอีกด้วย
ทิศตะวันออก : ติดกับถนนหลักของโครงการ และโซนโรงแรมในอนาคต แต่ที่ชั้นสูงสุดของอาคาร A จะยังมองเห็นเทือกเขาและพื้นที่สีเขียวแบบระยะไกลได้อยู่
ทิศใต้ : ติดกับพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ และมีลำรางสาธารณะพาดผ่าน (บริเวณที่เป็นทราย อนาคตทางโครงการจะปูพื้นหญ้า และปลูกต้นไม้เพิ่มเติมนะครับ) ส่วนชั้นสูงๆของอาคาร A จะมองเห็นวิวเทือกเขาของเขาใหญ่จากระยะไกลได้อีกด้วย
ส่วนภาพนี้เป็นบรรยากาศของถนนผ่านศึก-กุดคล้า ที่อยู่ทางด้านหน้า(ทิศเหนือ)ของโครงการ ซึ่งเป็นถนนที่ไม่ค่อยพลุกพล่าน แต่ก็มีรีสอร์ท ร้านอาหาร และคาเฟ่สวยๆเป็นระยะตลอดทาง
สถานที่สำคัญใกล้เคียงต่างๆ เช่น
- อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ~ 19.5 km.
- ครัวเขาใหญ่ ~ 22.1 km.
- แม็คโคร ฟู้ดเซอร์วิส ปากช่อง ~ 27.1 km.
- ฟาร์มโชคชัย ~ 25 km.
- Tesco Lotus ~ 31.6 km.
- Big C ~ 33.9 km.
- Night Bazaar ปากช่อง ~ 38.2 km
รายละเอียดโครงการ
Master Plan ภาพรวมของทั้งโครงการจะประกอบด้วย 3 โซนหลักๆคือ โซนบ้านเดี่ยวที่อยู่บริเวณหน้าสุด ที่มีอยู่เพียง 16 ยูนิตเท่านั้น ส่วนโซนคอนโดมิเนียมและโรงแรมจะอยู่ถัดเข้าไปด้านในสุด และยังมีการขุดบ่อทะเลสาบตรงกลางโครงการเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย ซึ่งนอกจากจะช่วยเสริมสร้างบรรยากาศที่ดีภายในโครงการแล้ว ยังทำหน้าที่แบ่งโซนของคอนโดและบ้านเดี่ยว ให้เป็นส่วนตัวแยกออกจากกันอีกทีหนึ่งด้วย ซึ่งตัวทะเลสาบนี้จะเป็นกรรมสิทธิ์ของโซนบ้านเดี่ยวนะครับ แต่ก็โชคดีที่คอนโดจะได้ทัศนียภาพที่สวยงามนี้เป็นผลพลอยได้ไปด้วยนั่นเอง บรรยากาศของจริงจะเป็นอย่างไรเราไปชมกันครับ
สำหรับการเข้า-ออกโครงการ จะต้องติดต่อกับ รปภ. ก่อนทุกครั้ง ซึ่งจะคอยดูแลตลอด 24 ชม. โดยจากการสอบถามกับพี่ยาม เค้าจะมีรายชื่อเจ้าของบ้านและคอนโดทั้งหมดอยู่แล้วครับ ซึ่งหากเป็นลูกบ้านจริงก็ให้แจ้งกับพี่ยามได้เลย แล้วเค้าจะเลื่อนเปิดประตูให้เราผ่านเข้าไปครับ แต่ถ้าเป็นญาติหรือบุคคลภายนอกก็จะต้องแลกบัตรก่อนนะ
และถ้าเป็นตอนกลางคืน เค้าจะปิดประตูเหล็กเพื่อความปลอดภัยครับ ส่วนโซนแรกเมื่อเราผ่านประตูเข้าไป จะเป็นโซนของบ้านเดี่ยว 2 ชั้น (ซึ่งขายหมดไปนานแล้ว) แต่ถ้าเป็นคอนโดมิเนียมจะอยู่ถัดเข้าไปด้านใน
ถนน Main ของโครงการที่มีบรรยากาศค่อนข้างร่มรื่น ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะว่า ที่ดินผืนนี้เคยเป็นสวนมะขามมาก่อนนั่นเอง ดังนั้น 2 ข้างทางเต็มไปด้วยต้นมะขามต้นใหญ่ บางต้นมีอายุหลายสิบปี นั่นจึงทำให้ต้นไม้เหล่านี้สูงใหญ่ และเติบโตต่อได้โดยไม่ต้องพึ่งค้ำยัน เหมือนต้นไม้ที่เอามาลงดินใหม่ๆครับ
เมื่อเข้ามาจนถึงทางแยกก็ให้เราเลี้ยวไปตามทางด้านซ้ายนะ
ซึ่งขับตรงเข้ามานิดเดียว เราก็จะเจอกับคอนโดอาคาร B ที่เป็นตึกแรกอยู่ทางขวามือ
และถัดเข้ามาจะเจอวงเวียนหลัก ซึ่งที่จอดรถจะอยู่เลยวงเวียนไปหน่อยด้านซ้ายมือครับ
มาดูส่วนขยายแปลนของโซนที่อยู่บริเวณตอนท้ายที่ดินโครงการกันครับ จะประกอบด้วยกลุ่มอาคาร 2 ส่วนหลักๆคือ ส่วนของคอนโดมิเนียม และส่วนของโรงแรม แน่นอนว่าในบางช่วงเวลา จะมีแขกภายนอกเข้ามาพักในโรงแรม ซึ่งอาจทำให้โซนคอนโดเสียความเป็นส่วนตัวไปบ้าง แต่ก็แลกมากับเราอาจสามารถเรียกใช้บริการ Service บางอย่างได้สะดวกด้วย เช่น บริการทำความสะอาด หรือบริการอาหาร เป็นต้น (รอดูในอนาคตอีกที ว่าเค้าจะมีอะไรรองรับบ้างนะครับ)
ในส่วนของคอนโดจะมีทั้งหมด 2 อาคาร ข้อดีคือ เค้าจะอยู่ติดกับทะเลสาบส่วนตัว ซึ่งช่วยเสริมสร้างบรรยากาศที่ดีในโครงการ และยังได้วิวที่ค่อนข้างหลากหลายอีกด้วย ซึ่งต่างจากโครงการเพื่อนบ้านส่วนใหญ่ในละแวกใกล้เคียง ที่อาจมีเพียงวิวภูเขาอย่างเดียวเท่านั้นครับ และในส่วน Facilities จะอยู่บริเวณชั้น 1 ทั้งหมด ประกอบด้วย สระว่ายน้ำ และสวนรอบๆทะเลสาบ
และนอกจากนี้ เรายังสามารถเดินไปใช้ Fitness กับ Reception ในฝั่งของโรงแรมได้อีกด้วย (แต่เราจะไปใช้สระว่ายน้ำฝั่งเค้าไม่ได้นะ และเค้าเองก็จะข้ามมาใช้ฝั่งเราไม่ได้เหมือนกัน) ซึ่งจากการสอบถามเบื้องต้น ทั้ง 2 โซนจะไม่ได้มีรั้วรอบขอบชิดแยกกันชัดเจน จะมีก็แต่ถนนที่คั่นกลาง และพี่ยามคอยช่วยสอดส่องดูแลประจำจุดต่างๆ เพื่อป้องกันไม่ให้นักท่องเที่ยวภายนอก ข้ามฝั่งมาทำให้ลูกบ้านในคอนโดเสียความเป็นส่วนตัว ซึ่งทั้งนี้…ก็ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการของโครงการในอนาคตแล้วล่ะครับว่าจะเป็นอย่างไร
ในส่วนของโรงแรมจะเป็นเหมือนบ้านหลังใหญ่ 3 หลัง ที่หันหน้าเข้าสู่คอร์ทตรงกลางเป็นรูปตัว C ซึ่งจากการสอบถามเบื้องต้น แต่ละหลังจะจุคนได้ประมาณ 10 คนเลยล่ะครับ และคาดการณ์ว่าน่าจะแล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2020 นี้แล้ว (ตอนนี้เหลือแค่งานตกแต่งภายในเท่านั้น)
สำหรับอาคารส่วนกลางทางด้านหน้า ที่ฝั่งคอนโดจะสามารถไปใช้งานได้คือ Reception ที่เอาไว้ติดต่อเกี่ยวกับโรงแรมและบริการต่างๆ (ปัจจุบันเป็นสำนักงานขาย) ข้างๆกันเป็นห้อง Fitness พร้อมกับมีห้องน้ำเล็กๆให้ใช้อยู่ด้านหลังด้วย ส่วนสระว่ายน้ำตรงนี้จะเป็นส่วนของโรงแรม ไม่สามารถมาใช้งานได้นะครับ
ฝั่งตรงข้ามกับโรงแรมคือส่วนของคอนโด ซึ่งจะมีอยู่ 2 อาคารด้วยกัน
พื้นที่ตรงกลางระหว่างอาคารจะมีบันไดและสวนเล่นระดับ ให้สามารถเดินลงไปใช้งานส่วนกลางด้านล่างได้ครับ
ขวามือเป็นสระว่ายน้ำ ขนาด 4.5 x 25 m. พร้อมกับแบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งเป็นสระเด็กเอาไว้ด้วยครับ สามารถว่ายน้ำออกกำลังกายได้จริงจังเลย
ส่วนพื้นที่ข้างสระก็มี Day Bed ให้นอน/นั่งพักผ่อน ชมวิวทะเลสาบ และภูเขารอบๆได้แบบชิลๆเลย
เดินมาอีกด้านของสระว่ายน้ำ เราจะเจอกับคอร์ทหญ้าระหว่างอาคาร ที่เกิดจากตึก B ที่แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ซึ่งเราสามารถเดินลงมาจากอาคาร เพื่อมาใช้ส่วนกลางจากเส้นทางนี้ได้อีกทางหนึ่งด้วยครับ
ถัดมาเราจะย้อนกลับไปดูฝั่งอาคาร A สักหน่อย ว่ามีอะไรกันบ้างนะ
ที่ใต้อาคาร A ถ้าเราเดินเข้าไปตามทางเรื่อยๆ ด้านในจะมีห้องน้ำแยกชาย-หญิงให้ใช้งานได้ครับ ซึ่งตอนนี้กำลังอยู่ในระหว่างเก็บความเรียบร้อยครับ
ส่วนลานอเนกประสงค์ที่อยู่ตรงกลาง จะสามารถเดินเชื่อมต่อไปยังสวนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามทะเลสาบได้ครับ
โดยสวนฝั่งนี้ก็จะมีทางเดินและต้นไม้ให้เดินเล่น พร้อมกับมีม้านั่งกลางแจ้งให้มาพักผ่อนชมวิวกันได้ และตอนนี้ผมว่าเรากลับไปดูภายในอาคารทั้ง 2 ดีกว่าครับ ว่ามีรายละเอียดอะไรที่น่าสนใจบ้าง
มาเริ่มที่อาคาร B ซึ่งเป็นอาคารแรกทางขวามือกันก่อนครับ โดยสีของอาคารจะเป็นสีส้มอิฐแบบนี้ ซึ่งก็ค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ประกอบกับการตกแต่งและใช้ผนังทรง Arch โค้ง ที่ให้กลิ่นอาย Tuscany แบบอิตาลีหรือแถบยุโรปอีกด้วย
ทำความเข้าใจกับบริบทของอาคาร B กันก่อน!!
ผมขอท้าวความเพิ่มเติมสักหน่อยว่า ที่ดินของโครงการบริเวณนี้จะมีลักษณะเป็นเนินเขา ซึ่งความสูงของชั้นดินจะไม่เท่ากัน สังเกตได้ชัดจากอาคาร B ที่วางอาคารเป็นแนวยาว ทำให้ชั้น 1 ของเค้าจะมีส่วนนึงที่ยังอยู่ใต้ดิน และถูกจัดฟังก์ชันเป็นห้องเครื่องหรืองานระบบต่างๆ ส่วนอีกครึ่งนึงของอาคารที่อยู่เหนือชั้นดินแล้ว ก็จะเป็นห้องพักอาศัยตามปกติครับ ส่วนชั้น 4 จะพิเศษกว่าอาคาร A หน่อย ตรงที่เค้าจะเป็นชั้น Duplex (ฝ้าเพดานสูง) นั่นเอง
เริ่มกันที่ชั้นแรกของอาคาร B ที่อยู่บนดิน (ซึ่งที่จริงก็คือชั้น 2) จุดเด่นอย่างแรกของอาคารนี้คือ เค้าจะได้โถงทางเดินแบบ Single Corridor ประกอบกับในแต่ละชั้นก็จะมีเพื่อนบ้านเพียง 3, 5 และ 8 ห้องเท่านั้น (รวมทั้งตึกมีแค่ 19 ยูนิต) จึงทำให้ “มีความเป็นส่วนตัวค่อนข้างสูง” อีกทั้งยังเป็นการออกแบบให้ห้องพัก “หันหน้ารับวิวทะเลสาบทุกห้อง” อีกด้วยครับ ซึ่งจะเป็นวิวทางด้านข้างของทะเลสาบแบบระยะประชิด จึงทำให้ห้องที่อยู่ชั้นล่างๆ ค่อนข้างน่าสนใจไม่น้อย เพราะจะสามารถเห็นวิวทะเลสาบจากในห้องได้โดยไม่ต้องก้มมองเลยนั่นเองครับ
ภายในอาคารจะมีลิฟต์แค่ตัวเดียวทางซ้ายมือ ส่วนทางด้านขวาก็จะมีบันไดให้ใช้งานแทนครับ แต่จุดที่น่าสนใจจริงๆคือ การเปิดช่องแสงต่างๆ เพื่อให้เราได้ใกล้ชิด และสัมผัสกับบรรยากาศธรรมชาติมากที่สุด (ซึ่งเดี๋ยวเราจะได้เห็นจากภาพจริงต่อไป) ส่วน Type ห้องของชั้นนี้จะมีให้เลือกหลากหลาย ทั้ง Pool Villa ที่มีสระว่ายน้ำส่วนตัว กับ Studio ที่เป็นไซส์เล็กสุดของโครงการ (ซึ่งอาคาร B จะมีแค่เฉพาะชั้น 2 นี้เท่านั้น) และยังมีห้อง 2 Bedrooms ที่อยู่สุดทางเดินอีกด้วย โดยบรรยากาศของจริงจะเป็นอย่างไร เราไปชมกันเลยครับ
การเข้า-ออกของอาคาร จะต้องผ่านประตูเหล็กที่ต้องใช้ Key Card ซึ่งก็มีแต่เฉพาะลูกบ้านที่อยู่อาคารนี้เท่านั้นจึงจะผ่านเข้า-ออกได้ ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยและเป็นส่วนตัวครับ
เมื่อเข้ามาด้านในเราก็จะเจอกับโถงทางเดิน Single Corridor ที่ค่อนข้างสว่างและโปร่งโล่งมากๆ ซึ่งก็อย่างที่บอกว่าอันที่จริงชั้นนี้คือชั้น 2 ของอาคารนะ
ซ้ายมือเป็นโถงลิฟต์ ซึ่งก็จะมี 1 ตัวเท่านั้น ส่วนฝั่งตรงข้ามเป็นบันไดหนีไฟครับ
ตัวลิฟต์มีขนาดค่อนข้างใหญ่ ทั้งนี้ก็เพื่อรองรับสำหรับผู้ใช้รถวีลแชร์ด้วยนั่นเอง เพราะที่ด้านในจะมีปุ่มกดที่อยู่ในระดับที่นั่งรถกดได้ด้วย
กลับมาที่โถงทางเดินหลักอีกครั้ง โดยขวามือจะมีระแนงเหล็กกั้นตลอดทาง ซึ่งเพื่อช่วยพรางสายตาและเพิ่มความเป็นส่วนตัว ทั้งจากรถที่ขับผ่านไป-มาด้านนอก หรือสายตาของนักท่องเที่ยวขาจรจากโรงแรมฝั่งตรงข้ามครับ
แต่ทั้งนี้ก็ยังทำให้โถงทางเดินนี้ได้ความโปร่งโล่งอยู่ เพราะสายลมและแสงแดดสามารถผ่านได้ง่าย โดยเฉพาะช่วงเช้า-สายๆ ที่แดดจะส่องเข้ามาที่โถงทางเดินพอดี ซึ่งจะเกิดเงาเป็นลวดลายที่พื้นสวยงามทีเดียวครับ (เสียดายที่ผมลืมถ่ายมาฝาก)
อีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจสำหรับโถงทางเดินนี้คือ เค้าจะมีการทำ “ช่องแสง” ทะลุต่อกันทุกชั้นไปจนถึงด้านบน ซึ่งนอกจากสายลมและแสงแดดจะผ่านเข้ามาได้ง่ายแล้ว แน่นอนว่าถ้าฝนตกก็สาดลงมาได้เหมือนกัน (แต่ถ้าเราเดินอยู่ในร่มก็ไม่เปียกหรอกครับ)
ทั้งนี้ผมมองว่าเป็นเรื่องของการดีไซน์ ที่เค้าต้องการให้หน้าต่างและประตูของห้องพักที่อยู่ฝั่งนี้ สามารถได้รับ แดด/ลม/ฝน ได้อย่างเต็มที่ เพื่อให้เกิดความรู้สึกเหมือนอยู่บ้านมากที่สุดนั่นเองครับ
เดินมาตามทางเดินจนถึงตรงกลางอาคาร จะมีการแบ่งอาคารออกเป็น 2 ส่วน และเกิดคอร์ทว่างๆขึ้นตรงกลาง ซึ่งนอกจากจะทำให้ลมและแสงสามารถพัดผ่านได้ดีแล้ว ยังทำให้ห้องพักที่อยู่ช่วงกลางแบบนี้กลายเป็นห้องมุม และมีช่องแสงหรือช่องระบายอากาศเพิ่มอีกด้านด้วยครับ แต่ก็ต้องแลกกับการที่เค้ายอมเสียพื้นที่ขายส่วนนึงไป (ประมาณห้อง Studio ห้องนึงต่อชั้นเลยทีเดียว)
นอกจากนี้ก็จะมีบันไดให้ใช้งานเดินขึ้น-ลงได้ โดยชั้นล่างตรงกลางจะเป็นประตูกระจก ที่เปิดออกไปใช้งานสวนส่วนกลางได้ เหมือนกับตอนที่ผมได้ถ่ายภาพให้ดูไปแล้วก่อนหน้านี้
สำหรับชั้นที่ 1 ของอาคาร จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนที่อยู่เหนือพื้นดินด้านขวามือจะเป็นห้องพักอาศัยแบบ Pool Villa ตามปกติ แต่สำหรับอาคารด้านซ้ายจะเป็นส่วนที่อยู่ใต้ดิน ซึ่งจะเป็นห้องนิติบุคคลและงานระบบต่างๆครับ
ถัดขึ้นมาเป็นชั้น 3 ซึ่งรูปแบบห้องพักจะเปลี่ยนไปเล็กน้อยคือ ห้อง Pool Villa จะกลายเป็นห้อง 2 Bedrooms ที่มีฟังก์ชันเหมือนเดิม เพียงแต่ตัดในส่วนของสระว่ายน้ำที่ระเบียงออกไปเท่านั้น ส่วนห้อง Studio 2 ห้องที่อยู่ตรงกลาง จะกลายเป็นห้อง 1 Bedroom ขนาดใหญ่แทน และห้องที่เพิ่มเข้ามาใหม่คือ Penthouse
อีกสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยก็คือ ราวกันตกของโถงทางเดิน ที่จะไม่ได้เป็นระแนงสูงถึงฝ้าเหมือนชั้นล่างแล้ว แต่จะเป็นราวกันตกที่ความสูงปกติ ทำให้สามารถ Take View ได้ดี และโปร่งโล่งมากขึ้นครับ
ส่วนชั้น 4 ที่เป็นชั้นสุดท้าย จะมีห้องพักเพียง 3 ห้องเท่านั้น และทั้งหมดยังเป็น Penthouse Duplex Type อีกด้วย คือจะเป็นห้องที่มีฝ้าเพดานสูงแบบ 2 ชั้นเลยนั่นเอง และจะมีแต่เฉพาะอาคาร B นี้เท่านั้นด้วยครับ
ส่วนแปลนภาพนี้จะเป็นชั้นที่ 2 ของห้อง Penthouse Duplex นะครับ
มาต่อกันที่อาคาร A ซึ่งจะสามารถเดินเข้าจากประตูที่อยู่ตรงวงเวียนหลักได้เลยครับ
แปลนชั้น 1 จะเป็นชั้นเดียวกับทะเลสาบและสระว่ายน้ำ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นห้องน้ำ ห้องแม่บ้าน และสำนักงานครับ โดยจะมีห้องพักอาศัยเป็น 1 Bedroom อยู่เพียงห้องเดียวในชั้นนี้นะ (ซึ่งก็ขายออกไปแล้วเรียบร้อย เพราะมีความเป็นส่วนตัวแบบสุดๆ แถมยังใกล้ทะเลสาบมากที่สุดอีกด้วย)
ส่วนชั้น 2 ของอาคาร (หรือก็คือชั้นที่เราสามารถเดินเข้ามา จากวงเวียนที่ถนนก่อนหน้านี้) โดยอาคาร A จะมีเพื่อนบ้านรวมทั้งหมด 28 ยูนิต (มากกว่าอาคาร B) และโถงทางเดินภายในก็ยังเป็น Double Corridor แบบปกติด้วย จึงมีความเป็นส่วนตัวที่น้อยกว่าอาคาร B เล็กน้อย และเนื่องจากภายในอาคารมีลิฟต์โดยสารแค่ตัวเดียว ทางโครงการจึงออกแบบให้ด้านหน้ามีพื้นที่รับรองขนาดใหญ่ไว้ด้วยครับ
เผื่อในกรณีที่มีคนไปใช้งานลิฟต์พร้อมกันหลายคน ลูกบ้านจะได้ใช้พื้นที่ส่วนนี้นั่งพักรับลมชิลๆด้านนอกได้ แทนที่จะไปยืนรออยู่หน้าลิฟต์ด้านใน (ฟังก์ชันคล้ายกับโรงแรมที่พบเห็นได้ทั่วไป) ส่วนถ้าจะเข้าไปในอาคารก็จะต้องใช้ Key Card เพื่อความปลอดภัย โดยห้องพักอาศัยชั้นนี้จะมี 5 ห้อง ประกอบด้วย Studio Type และห้อง 1 Bedroom ที่เป็นห้องมุมครับ
เมื่อเดินเข้ามาจากวงเวียนหลัก เราจะเจอบันไดทางขวามือ ที่เอาไว้เดินขึ้น-ลงไปใช้งานส่วนกลางที่อยู่ชั้นล่างก่อนหน้านี้ได้ครับ
และโถงโล่งๆนี้ก็คือ พื้นที่รับรองขนาดใหญ่ ซึ่งในอนาคตก็จะมีชุดโต๊ะหรือโซฟานั่งเล่นมาวางเพิ่มเติมนะ โดยลักษณะการออกแบบเค้าจะทำเป็นเหมือน “สะพาน” ที่ยื่นยาวออกไปนอกอาคาร ซึ่งเมื่อเราไปยืนที่ตรงสุดทางก็จะสามารถชมวิวสระว่ายน้ำ และทะเลสาบสวยๆแบบนี้ได้เลยครับ
ส่วนอีกด้านก็จะมีประตูกระจกกั้นเอาไว้ และต้องใช้ Key Card ในการเข้าไปในอาคารเพื่อความปลอดภัย ซึ่งอย่างที่บอกไปในช่วงแปลนแล้วว่า โถงทางเดินอาคารนี้จะเป็น Double Corridor ดังนั้นความโปร่งโล่งและความเป็นส่วนตัว จึงจะน้อยกว่าอาคาร B อย่างเห็นได้ชัด
หัวใจสำคัญของอาคารนี้ไม่ใช่ความโปร่งโล่ง หรือความเป็นส่วนตัว แต่คือ “วิว” ที่สวยงามมากๆ โดยหลักๆจะมีอยู่ 2 ด้านคือ ด้านหน้าที่จะมองเห็นได้ทั้งทะเลสาบ สระว่ายน้ำ บ้านเดี่ยวสไตล์ Tuscany และมีเขาลอยขนาดใหญ่เป็นฉากหลัง ซึ่งถือว่าเป็นวิวที่มีความหลากหลาย และให้กลิ่นอายเหมือนอยู่เมืองนอกเลยครับ ส่วนห้องด้านหลังจะเป็นวิวพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ และมองเห็นเขาใหญ่เป็นแนวยาวแบบระยะไกลได้ จึงทำให้ชั้นสูงๆค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว
ส่วนชั้นอื่นๆของอาคาร ก็จะมีตำแหน่งห้องพักแบบนี้เหมือนกันหมดเลยครับ (ยกเว้นชั้น 6 ที่จะรวมห้องใหญ่กลายเป็น Penthouse เพิ่มขึ้นมา) โดยตำแหน่งเบอร์ 06 จะเป็นห้อง 1 Bedroom แบบหน้ากว้าง ซึ่งพิเศษหน่อยสำหรับห้องชั้น 3 นี้ จะได้ระเบียงขนาดใหญ่มากๆอีกด้วยครับ ส่วนแปลนชั้นอื่นๆจะเป็นอย่างไร คลิกชมใน Gallery ด้านล่างนี้ได้เลย
แปลนชั้น 4
สรุปสิ่งอำนวยความสะดวก
- Lobby/Reception (อยู่ฝั่งเดียวกับโรงแรม)
- Fitness (อยู่ฝั่งเดียวกับโรงแรม)
- Garden & Lake
- Swimming Pool ระบบเกลือ ขนาด 4.5 x25 เมตร
- Kids Pool ขนาด 4.5 x 3 เมตร
- ลิฟต์โดยสาร 1 ตัว/อาคาร
- อัตราส่วนลิฟต์รวมทั้งโครงการ 23.5 : 1
- อัตราส่วนลิฟต์ตึก A 28 : 1
- อัตราส่วนลิฟต์ตึก B 19 : 1
- ที่จอดรถประมาณ 28 คันคิดเป็น 60% (จอดกลางแจ้ง)
- ระบบรักษาความปลอดภัย รปภ. ด้านหน้าโครงการตลอด 24 ชม. และระบบ Key Card Access ก่อนเข้าอาคาร
แบบห้อง
โครงการมีแบบห้องทั้งหมด 6 แบบ ขายแบบ Fully Fitted คือให้เฉพาะครัว แอร์ ชุดผ้าม่าน สุขภัณฑ์ในห้องน้ำ และเฟอร์นิเจอร์ Built-in แต่มีแค่เฉพาะห้อง Studio เท่านั้นที่เราจะได้เฟอร์นิเจอร์ลอยตัวแบบในห้องตัวอย่างเลยครับ ซึ่ง Type ห้องต่างๆจะประกอบด้วย
- Studio 41 – 44 ตร.ม. จำนวน 12 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 4.5 ล้านบาท
- 1 Bedroom 66 – 92 ตร.ม.จำนวน 20 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 7.1 ล้านบาท
- 2 Bedrooms 84 – 92 ตร.ม.จำนวน 4 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 9.2 ล้านบาท
- Pool Villa 104 – 136 ตร.ม.จำนวน 6 ยูนิตราคาเริ่มต้น 11.6 ล้านบาท
- Penthouse Duplex 134 – 135 ตร.ม. จำนวน 3 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 15.6 ล้านบาท
- Penthouse 141 – 164 ตร.ม. จำนวน 2 ยูนิต (Sold Out)
โดยห้องที่ผมจะพามารีวิววันนี้จะมี 2 ห้องคือ Pool Villa และ Studio ครับ ส่วนห้องอื่นๆอย่าง 1 – 2 Bedrooms และ Penthouse Duplex ผมก็ได้ถ่ายภาพบรรยากาศเป็น Gallery มาฝากกันในตอนท้ายด้วย จะเป็นอย่างไรบ้างเราไปชมกันเลยครับ
เริ่มกันที่ห้อง Pool Villa ขนาด 104 – 136 ตร.ม. ซึ่ง Type นี้จะมีแค่เฉพาะอาคาร B เท่านั้น โดยจะหันหน้าเข้าหาทะเลสาบด้านข้างแบบระยะประชิด นั่นหมายความว่า เวลาที่เราว่ายน้ำหรือแช่น้ำเล่นอยู่นั้น ก็จะสามารถชมวิวทะเลสาบและพื้นที่สีเขียวรอบๆได้อย่างใกล้ชิดเลยนั่นเองครับ
ทีนี้เรามาดูฟังก์ชันภายในกันบ้าง ซึ่งเค้าจะทำมาเป็นสไตล์บ้านพักตากอากาศ โดยเน้นการพักผ่อนและใช้เวลาร่วมกับครอบครัว ดังนั้นจึงออกแบบให้พื้นที่กว่าครึ่งเป็น Common Area มีขนาดใหญ่และมีฟังก์ชันเชื่อมต่อกัน อย่างพื้นที่ครัวก็จะเอาไว้อุ่นอาหารเบาๆ แล้วยังมีปฏิสัมพันธ์คุยกับคนอื่นๆในห้องได้อยู่ แต่ถ้าอยากทำครัวจริงจังก็สามารถทำได้นะ เพราะเค้ามีช่องหน้าต่างเปิดระบายอากาศได้ทั้งหน้าห้องและหลังห้อง (เหมือนบ้านเลยครับ) ซึ่งเป็นข้อดีของอาคาร B ที่ได้โถงทางเดินเป็น Single Corridor แบบนี้นั่นเอง และนอกจากนี้ยังเน้นให้มีระเบียงขนาดใหญ่ เพื่อให้สามารถออกไปนั่งพักผ่อน ทำกิจกรรมภายนอก และสูดอากาศบริสุทธิ์ของเขาใหญ่ได้นั่นเองครับ
ส่วนห้องนอนจะกั้นด้วยผนังทึบเพื่อความเป็นส่วนตัว โดยจะมีอยู่ 2 ห้องด้วยกัน ซึ่งห้องนอนเล็กจะแชร์ห้องน้ำร่วมกับพื้นที่ส่วนกลางด้านนอก และยังได้ช่องแสงที่เปิดออกไปยังโถงทางเดินหน้าห้องได้อยู่ ส่วนห้องนอนใหญ่เค้าจะมีห้องน้ำในตัวเลย และนอกจากนี้ยังสามารถเปิดประตูกระจกบานเลื่อนขนาดใหญ่ เพื่อเชื่อมต่อกับสระว่ายน้ำได้อีกจุดนึงด้วยนะ ซึ่งบรรยากาศของจริงจะเป็นอย่างไรบ้างเราไปชมกันครับ
เริ่มกันตั้งแต่ทางเข้าเลยครับ โดยสำหรับห้องที่อาคาร B ซึ่งเป็น Single Corridor นั้น จะมีทางเดินส่วนตัวแยกออกมาจากทางเดินหลักแบบนี้เลย รวมถึงบริเวณหน้าห้องก็ยังมีพื้นที่ให้วางของเล็กๆน้อยๆได้อีกด้วย
ส่วนที่ประตูจะติดตั้ง Digital Door Lock ของ Hafele เอาไว้ให้แบบนี้เป็นมาตรฐานครับ สามารถใช้ Key Card เปิดได้แค่แบบเดียว ไม่รองรับการใส่รหัสผ่านนะ
เข้ามาภายในห้องเราจะเจอกับ Common area ขนาดใหญ่ที่ค่อนข้างโปร่งโล่ง ซึ่งส่วนใหญ่ห้อง Type นี้จะเป็นห้องมุม จึงจะมีช่องหน้าต่างด้านข้างด้วยแบบนี้ครับ บรรยากาศจึงคล้ายกับอยู่บ้านเลย ออกแนว Homey หน่อย และปูพื้นด้วยกระเบื้องพอร์ซเลนลายหินสีนี้เลยครับ
เรามาเริ่มกันที่โซนแรกบริเวณหน้าห้องก่อนนะ จะเป็นส่วนครัวและโต๊ะทานอาหาร โดยความสูงฝ้าของส่วนนี้จะอยู่ที่ 2.5 m. เนื่องจากด้านบนจะเป็นงานระบบแอร์แบบฝังฝ้าครับ
ติดกับประตูทางเข้าด้านซ้ายมือ เราจะได้ตู้ใส่รองเท้า Built in มาให้แบบนี้เลยครับ รวมถึงมีช่องต่างๆให้สามารถเก็บของอื่นๆได้อีกด้วย ส่วนทางขวามือจะเป็นพื้นที่วางตู้เย็นขนาด 60 x 65 cm. และถูกจำกัดความสูงของตู้ด้านบนอยู่ที่ 1.8 m.
ส่วนด้านขวาของประตูจะเป็นครัวเปิด ซึ่งเราจะได้เป็นชุดเคาน์เตอร์และตู้ Built in แบบนี้เลยครับ และสิ่งที่ผมชอบอีกอย่างคือ เค้ามีช่องหน้าต่างบานเลื่อนเล็กๆให้เปิดระบายอากาศได้ด้วย (ไม่ต้องห่วงเรื่องความเป็นส่วนตัวจากโถงทางเดินหน้าห้อง เพราะจะมีระแนงบังสายตาอยู่ด้านนอก)
นั่นจึงทำให้ครัวเปิดนี้สามารถทำอาหารจริงจังได้เลยครับ เพราะถ้าเราเปิดหน้าต่างด้านข้าง หรือหน้าต่างที่ระเบียงห้องร่วมด้วย ก็จะทำให้ลมพัดผ่านได้ดีเลยล่ะครับ ซึ่งในเวลาปกติที่เราไม่ได้ทำครัว ก็ยังสามารถเปิดหน้าต่างทิ้งเอาไว้ เพื่อให้ลมพัดโกรกเข้าห้องก็ได้เหมือนกัน
ภายในตู้สามารถเก็บของได้ค่อนข้างเยอะครับ มาพร้อมกับอุปกรณ์ทำครัวอื่นๆครบ ทั้ง Hob&Hood อ่างล้างจาน และไมโครเวฟ ของยี่ห้อ MEX ส่วน Top เคาน์เตอร์ครัวจะเป็นหินเทียม ซึ่งค่อนข้างทนต่อความร้อน กรด-ด่าง หรือรอยขีดข่วนได้ค่อนข้างดี
ถัดมาบริเวณกลางห้องสามารถวางโต๊ะทานอาหาร 4 – 6 ที่นั่งได้ครับ และถ้าเป็นห้องมุมแบบนี้ก็จะมีช่องหน้าต่างบานใหญ่มาให้ด้วย สามารถชมวิวและเปิดระบายอากาศได้ดี โดยภายนอกก็จะมีราวกันตกเอาไว้ให้เพื่อความปลอดภัยด้วยนะ ส่วนชุดประตูหน้าต่างทั้งหมดจะเป็นอลูมิเนียมพ่นสี (เนื้อหยาบแบบเม็ดทราย) และกระจกเขียวตัดแสงครับ
นอกจากนี้ยังเป็นจุดเปลี่ยนของความสูงฝ้าเพดาน ซึ่งจะกลายเป็น 2.9 m. ทำให้ห้องสูงโปร่งมากขึ้น พร้อมกับวัสดุปิดผิวฝ้าก็จะเปลี่ยนไปด้วย คือจะไม่ใช่ฝ้าฉาบเรียบสีขาวธรรมดาๆ แต่จะปิดผิวด้วยไม้ลามิเนต ทำให้ได้อารมณ์เหมือนบ้านในเมืองนอกนั่นเอง
ถัดเข้ามาในห้องจะเป็นโซนนั่งเล่นที่อยู่ติดกับระเบียง ซึ่งกว้างมากพอที่จะใช้ชุดโซฟาแบบหลายที่นั่งได้เลย สามารถนั่งดูทีวีและชมวิวไปพร้อมๆกันได้ด้วย โดยมีระยะทีวีอยู่ที่ 3.2 m. สามารถใช้ทีวีจอใหญ่ๆ 50 – 60 นิ้วได้ครับ
ส่วนระเบียงภายนอกจะมีขนาด 3.2 x 2.4 m. กว้างพอที่จะหาซื้อ Day Bed มานอนยืดขาชมวิวได้สบายๆ ส่วนพื้นก็จะปูด้วยกระเบื้องผิวหยาบกันลื่นด้วยครับ
โดยระเบียงจะอยู่ใต้ชายคาที่บังแดดบังฝนได้ ส่วนตัวสระจะอยู่ใต้ระแนงไม้ที่โปร่งโล่ง (ช่วยบังแดดตอนเที่ยงได้อยู่บ้าง) มีขนาด 2.5 x 8 m. ลึก 1.3 m. เหมาะกับแช่น้ำและชมวิวเล่นแบบส่วนตัวครับ
แต่ถ้าอยากว่ายออกกำลังกายจริงจัง อาจจะต้องไปว่ายสระใหญ่ชั้นล่างแทน ซึ่งวิวที่สระนี้จะได้ก็คือสระว่ายน้ำ สวน และทะเลสาบที่ชั้นล่าง รวมถึงพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ด้านข้างนั่นเองครับ
กลับเข้ามาบริเวณกลางห้องอีกครั้ง ซึ่งจะมีโถงทางเดินแยกออกไปเป็นสัดส่วน เป็นโซนของห้องนอนและห้องน้ำ
เริ่มที่ห้องน้ำตรงกลางกันก่อนครับ ภายในจะมีฟังก์ชันมาตรฐานครบ และแบ่งส่วนเปียกกับส่วนแห้งชัดเจน โดยที่ส่วนแห้งนั้นจะมีระดับความสูงของพื้น ที่เสมอกับพื้นภายนอกที่เป็นกระเบื้องเหมือนกัน ดังนั้นเวลาใช้งานหรือล้างห้องน้ำ ก็อาจต้องระวังน้ำไหลย้อนออกมานอกห้องด้วยนะครับ
สุขภัณฑ์ที่ได้ทั้งหมดเป็นของ Kohler มาพร้อมกับปลั๊กไฟแบบมีฝาปิด มีชั้นเก็บของใต้อ่างล้างมือ และติดตั้งเครื่องทำน้ำร้อนไว้ให้แล้ว ดังนั้นวางใจได้เลยว่าเวลามาพักหน้าหนาว เราจะมีน้ำอุ่นๆใช้แน่นอน
ส่วนพื้นที่อาบน้ำขนาด 1 x 0.85 m. จะมีการลดระดับพื้นลงเล็กน้อย พร้อมกับมีฉากกั้นอาบน้ำกระจกนิรภัย Tempered Glass มาให้ด้วยครับ และโดยส่วนตัวผมชอบบานประตูนี้ ซึ่งมีแถบแม่เหล็กฝังอยู่ด้วย ทำให้สามารถปิดได้สนิท น้ำไม่กระเด็นออกมาแน่นอน ส่วนภายในก็มีทั้ง Hand Shower และ Rain Shower ให้เลือกใช้ พร้อมกับช่องวางของที่ผนังอีกนิดหน่อย (ไม่พอก็อาจหามาติดเพิ่มเองได้)
ติดกันทางซ้ายมือจะเป็นห้องนอนเล็กครับ ภายในมีขนาด 3.4 x 3.1 m. สามารถวางเตียง 5 – 6 ฟุตได้สบายๆ และยังมีพื้นที่เหลืออีกนิดหน่อยให้วางทีวีกับตู้เสื้อผ้าใบเล็กๆได้
พื้นในห้องนอนจะเปลี่ยนเป็น Engineered Wood ซึ่งมีพื้นผิวด้านบนเป็นไม้จริง แต่จะทนน้ำหรือความชื้นได้ค่อนข้างดีพอสมควร
แต่จุดที่น่าสังเกตจริงๆคือ “ช่องแสงขนาดใหญ่” ซึ่งเปิดรับวิวออกไปยังโถงทางเดินหน้าห้อง ที่อาจมีเพื่อนร่วมชั้นเดินผ่านไป-มาอยู่บ้างในบางครั้ง สิ่งที่ผมอยากบอกคือ คอนโดแห่งนี้ส่วนใหญ่คนซื้อไว้เป็นบ้านพักตากอากาศหลังที่สอง ซึ่งนานๆจะมาพักทีนึง และก็มีเพื่อนบ้านเพียง 6 ห้อง/ชั้นเท่านั้น ซึ่งจริงๆก็อาจไม่ได้วุ่นวายอย่างที่คิด
แต่ถ้าใครที่ยังกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวอยู่ แล้วยังอยากเปิดช่องแสงรับแดดให้โปร่งโล่ง ผมแนะนำให้หาต้นไม้กระถางมาปลูกที่ระเบียงด้านนอกก็จะช่วยพรางสายตา แถมยังได้ความเขียวขจีและดูสดชื่นอีกด้วยครับ (ด้านนอกเป็นระเบียงที่ไว้ให้ช่างปีนออกไปซ่อมแอร์ ที่ซ่อนอยู่ในระแนงด้านข้างนั่นเอง)
ห้องสุดท้ายจะเป็น Master Bedroom ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน เมื่อเปิดประตูเข้ามาเราจะเจอ Foyer ที่เป็นโถงทางเดินเล็กๆก่อน จึงมองไม่เห็นบรรยากาศส่วนของเตียงนอนด้านใน เวลาเปิดประตูมาคุยกับลูกๆ ก็จะไม่เสียความเป็นส่วนตัวนั่นเองครับ โดยด้านขวาของประตูจะมีตู้ Built in สามารถเก็บของและเสื้อผ้าได้ (ด้านในติดตั้งไฟอัตโนมัติไว้ให้ด้วย)
ส่วนฝั่งตรงข้ามจะเป็นห้องน้ำครับ ซึ่งเค้าออกแบบให้เป็นประตูบานเปิดคู่แบบนี้ เพื่อประหยัดพื้นที่ในการใช้งาน แต่ยังสามารถปิดได้สนิทกว่าบานเลื่อนครับ
โดยพื้นของโซนนี้ทั้งหมดจะยังเป็นกระเบื้อง ที่ต่อเนื่องมาจากภายนอกห้องและในห้องน้ำ ซึ่งช่วยลดปัญหาพื้นไม้บวม จากความชื้นที่อาจมาจากในห้องน้ำได้นั่นเองครับ
ภายในห้องน้ำจะกว้างกว่าห้องที่อยู่ด้านนอกครับ (ขนาดประมาณ 2.3 x 2.6 m.) เนื่องจากเค้าจะมีอ่างอาบน้ำเพิ่มขึ้นมาด้วย
โดยสุขภัณฑ์อื่นๆจะยังเป็นของ Kohler ทั้งหมดเช่นเดิมครับ
ส่วนพื้นที่อาบน้ำก็จะมีฉากกั้นกระจกติดตั้งมาให้ และมี Hand Shower กับ Rain Shower มาให้พร้อมเหมือนเดิม
สุดท้ายคือพื้นที่ในห้อง Master Bedroom จะมีขนาด 4 x 3.3 m. สามารถวางเตียง 6 ฟุตได้สบายๆ และยังมีพื้นที่เหลือให้วางตู้ โต๊ะ หรือโซฟาเพิ่มเติมได้อีกด้วย
โดยจุดเด่นของห้องนี้จริงๆคือ ช่องประตูกระจกบานเลื่อนขนาดใหญ่ที่อยู่ข้างเตียง ที่สามารถเปิดชมวิวรับลมเย็นๆ หรือนั่งเล่นข้างสระ และกระโดดลงสระได้เลย
Studio ขนาด 41 – 44 ตร.ม. เป็นห้องไซส์เล็กที่สุดของโครงการ และมีให้เลือกทั้ง 2 อาคารเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นวิวสระว่ายน้ำและวิวเขาใหญ่ด้านหลัง มีราคาที่จับต้องได้ง่ายที่สุดของโครงการ แถมยังเป็นห้อง Type เดียวที่ได้เฟอร์นิเจอร์ครบพร้อมเข้าอยู่เลยด้วยนะ
ห้องนี้เป็นแบบตอนลึก ซึ่งพื้นที่ทั้งหมดจะเชื่อมต่อกัน เปรียบเสมือนว่าเป็นห้องนอนใหญ่ๆ 1 ห้องเลยล่ะครับ จึงเหมาะกับคนที่อยากมาพักเป็นส่วนตัว 1 – 2 คน โดยเฉพาะคู่รักหรือสามีภรรยา (อาจไม่เหมาะจะมาพักเป็นครอบครัวเท่าไหร่นัก) เป็นห้องที่สามารถมาพักผ่อนแบบง่ายๆ ครบจบในห้องเดียว โดยฟังก์ชันที่เค้าจัดไว้จะให้น้ำหนักกับเตียงนอนมากกว่า เพราะจะอยู่ใกล้กับระเบียงที่รับวิวได้ดีครับ ซึ่งระเบียงก็ยังคงมีขนาดใหญ่ตามแบบฉบับคอนโดตากอากาศ เพื่อเน้นให้ออกไปนั่งรับลมชมวิว และทำกิจกรรมภายนอกมากกว่าอยู่แต่ในห้องนั่นเอง โดยฟังก์ชันที่ถูกลดทอนไปก็คือ “ครัว” ดังนั้นคนที่ซื้อห้องนี้อาจจะไม่เน้นทำครัว หรือทานอาหารในห้องบ่อยนักนั่นเองครับ
เริ่มกันที่ประตูทางเข้าจะมีทางเดินเชื่อมจากโถงทางเดินหลักเช่นเดิม แต่ต่างจากเดิมนิดหน่อยคือ จะเป็นทางเชื่อมที่ห้อง Studio 2 ห้องจะใช้งานร่วมกันครับ ส่วนด้านข้างก็จะมีระเบียงให้ช่างปีนไปซ่อมแอร์ได้เหมือนเดิม และมีก๊อกน้ำให้ใช้งานด้วย
เข้ามาภายในบริเวณหน้าห้องจะเป็น Foyer หรือส่วนต้อนรับ ติดกับประตูจะ Built in ตู้เสื้อผ้า ช่องเก็บรองเท้า และช่องเก็บของมาให้พร้อมเลย แถมยังมีช่องขนาดใหญ่อีก 1 ช่อง (ประมาณ 80 x 85 cm. สูง 90 cm.) เพื่อเอาไว้วางตู้เย็นขนาด 1 คิวเล็กๆได้ครับ
ส่วนฝั่งตรงข้ามจะเป็นห้องน้ำ ซึ่งภายในจะแบ่งฟังก์ชันไว้ชัดเจน ได้สุขภัณฑ์ของ Kohler เช่นเดิม แต่ที่เพิ่มเติมมาก็คือ “ช่องหน้าต่าง” ที่มีควบคู่กับพัดลมดูดอากาศ จึงทำให้ห้องน้ำของ Studio Type สามารถระบายอากาศได้ดีครับ
นอกจากนี้พื้นที่ภายใน Shower Box ก็ยังมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นประมาณ 2 x 1 m. รวมถึงมีที่นั่งด้านข้างให้นั่งอาบได้สบายๆอีกด้วย จึงเป็นห้องที่อาจเหมาะกับผู้สูงอายุด้วยนั่นเองครับ
ถัดเข้ามาซึ่งถึงแม้จะเป็นห้องตอนลึก แต่ด้วยฝ้าเพดานที่สูงถึง 2.9 m. และมีพื้นที่เชื่อมต่อกันหมดยาวไปจนถึงช่องแสงขนาดใหญ่ตรงระเบียง ก็ทำให้รู้สึกกว้างและโปร่งโล่งดีทีเดียวครับ
สำหรับพื้นที่ส่วนแรกคือชุดโซฟานั่งเล่น มีระยะดูทีวีอยู่ที่ 3.4 m. สามารถใช้ทีวีจอใหญ่ๆ 50 – 60 นิ้วได้สบายๆ ส่วนโซฟาก็จะใช้ขนาดประมาณ 2 – 3 ที่นั่งกำลังดี (เพราะคนมาพักก็แค่ 1 – 2 คนเท่านั้น อาจใช้แบบ 3 ที่นั่งเผื่อให้นอนดูทีวีได้นั่นเองครับ)
ถัดมาเป็นส่วนของเตียงนอน ซึ่งก็สามารถใช้เตียงขนาด 6 ฟุตได้สบายๆ และปลายเตียงก็มีพื้นที่เหลือให้วางทีวีอีกสักตัว เผื่อนอนดูทีวีบนเตียงได้สบายๆ พร้อมกับชมวิวทะเลสาบด้านนอกได้อีกด้วย
และระเบียงภายนอกก็ค่อนข้างใหญ่ครับ กว้างประมาณ 2.8 x 3.6 m. สามารถวางชุดโต๊ะกลางแจ้งไว้ออกมานั่งเล่น จิบกาแฟ พร้อมกับชมวิวในวันที่อากาศดีๆได้เลย
Penthouse Duplex ขนาด 134 – 135 ตร.ม. ซึ่งมีแต่เฉพาะอาคาร B เท่านั้นอีกเช่นกัน โดยจะอยู่ที่ชั้น 4 ด้านบนสุดเลย และมีเพียง 3 ห้องเท่านั้นครับ เป็นห้องที่เหมาะกับครอบครัวขนาดใหญ่ เพราะมีถึง 3 ห้องนอน โดยฟังก์ชันชั้นล่างจะคล้ายกับ Pool Villa Type ห้องแรกที่เราได้ไปรีวิวกัน คือจะมี Common Area ขนาดใหญ่ เชื่อมต่อกันตั้งแต่ครัว โต๊ะทานอาหารที่วางได้ขนาดใหญ่ขึ้น ยาวไปจนถึงโซฟานั่งเล่น และระเบียงขนาดใหญ่ ส่วนอีกด้านก็จะเป็นห้องนอน 2 ห้องครับ
พิเศษหน่อยสำหรับห้องนอนที่อยู่ติดระเบียง เพราะนอกจากจะชมวิวสวยๆได้เต็มที่แล้ว ยังสามารถเปิดประตูกระจกบานเลื่อนเพื่อออกไประเบียงได้อีกด้วย ซึ่งอาจเป็นห้องที่เหมาะกับคนที่ชอบปาร์ตี้สังสรรค์ หรือชอบมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ เพราะระเบียงนี้จะยาวเชื่อมต่อกับส่วนของห้องนั่งเล่นด้วยนั่นเอง
ส่วนห้อง Master Bedroom จะอยู่บนชั้น 2 ซึ่งจะต้องเดินขึ้นบันไดมา และกินพื้นที่ทั้งชั้นเลยครับ จึงทำให้บรรยากาศห้องนี้คล้ายกับเราอยู่บ้าน 2 ชั้นเลยครับ โดยจุดเด่นของห้องนี้อีกจุดคือห้องน้ำ Master Bedroom ที่นอกจากจะมีขนาดใหญ่แล้ว ยังมีช่องแสงขนาดใหญ่ให้สามารถนอนแช่อ่างอาบน้ำไปและชมวิวไปได้ด้วยครับ ซึ่งบรรยากาศของจริงจะเป็นอย่างไร เราไปชมภาพตัวอย่างกันเลยครับ
1 Bedroom Type B ขนาด 92 ตร.ม. เป็นห้องที่มีเฉพาะอาคาร A ชั้น 3 – 6 เพียงชั้นละห้องเท่านั้น ซึ่งจะอยู่ตำแหน่งมุมอาคารและหันหน้ามาทางสระว่ายน้ำ ทะเลสาบ บ้านสไตล์ Tuscany และเขาลอยระยะใกล้ ทำให้เป็นห้องที่ได้วิวค่อนข้างหลากหลาย โดยความพิเศษของห้องนี้คือ เป็นห้องมุมที่ได้ช่องแสงขนาดใหญ่ทั้ง 2 ด้านเลยครับ จึงทำให้ Common Area โปร่งโล่งมากๆ อีกจุดนึงคือห้องนอนที่มีช่องแสงแบบ Bay Window ยื่นออกไปนอกอาคาร ทำให้สามารถชมวิวโดยรอบได้เลยครับ บรรยากาศจะเป็นอย่างไรเราไปชมกันเลย
1 Bedroom Type A ขนาด 66 ตร.ม. เป็นห้องที่มีจำนวนค่อนข้างเยอะที่สุดของโครงการ ส่วนใหญ่จะอยู่ที่อาคาร A เป็นหลัก (และมีอยู่ที่ชั้น 3 อาคาร B แค่ห้องเดียวเท่านั้น) ซึ่งห้องนี้นอกจาก Common Area จะมีขนาดใหญ่แล้ว ห้องน้ำก็ใหญ่และกว้างอีกด้วยครับ โดยจุดเด่นของเค้าจะเป็นห้องน้ำเนี่ยแหละ เพราะจะมีกระจกยื่นออกไปนอกอาคาร ทำให้นั่งอาบน้ำแช่อ่าง และชมวิวไปด้วยได้ครับ แต่คนภายนอกก็อาจมองเข้ามาเห็นด้านในได้เหมือนกัน
ซึ่งผมแนะนำให้เปลี่ยนเป็นกระจกแบบ One Way Mirror หรือติดฟิล์มปรอทเพิ่มเติม แต่ก็มีข้อจำกัดอย่างนึงคือ ภายนอกจะต้องมีแสงสว่างที่มากกว่าในห้องน้ำ เพราะถ้าในห้องน้ำมีแสงสว่างที่มากกว่า ก็จะทำให้ด้านนอกมองเห็นด้านในได้เหมือนกัน ดังนั้นกระจกชนิดนี้จึงใช้อาบน้ำ และชมวิวได้เฉพาะตอนกลางวันเท่านั้น ส่วนตอนกลางคืนอาจต้องติดมู่ลี่เพิ่มเติม เพราะเราจำเป็นห้องเปิดไฟเพื่อใช้งานห้องน้ำ ซึ่งจะทำให้คนภายนอกมองเข้ามาได้ครับ ส่วนบรรยากาศของจริงจะเป็นอย่างไร ลองชมภาพประกอบด้านล่างนี้ได้เลย
ส่วนภาพมุมอื่นๆของโครงการที่ผมถ่ายมาฝาก สามารถคลิกชมที่ Gallery ด้านล่างนี้ได้เลยครับ
**รายละเอียดของวัสดุต่างๆเช่น ยี่ห้อ และรุ่น ของจริงอาจจะเป็นรุ่นนี้หรือเทียบเท่านะครับ
ราคา
28 October 2020
- Studio 41 – 44 ตร.ม. จำนวน 12 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 4.5 ล้านบาท
- 1 Bedroom 66 – 92 ตร.ม.จำนวน 20 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 7.1 ล้านบาท
- 2 Bedrooms 84 – 92 ตร.ม.จำนวน 4 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 9.2 ล้านบาท
- Pool Villa 104 – 136 ตร.ม.จำนวน 6 ยูนิตราคาเริ่มต้น 11.6 ล้านบาท
- Penthouse Duplex 134 – 135 ตร.ม. จำนวน 3 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 15.6 ล้านบาท
- รูปแบบการขาย Fully Fitted (สำหรับห้อง 1 Bedroom ขึ้นไป)
- รูปแบบการขาย Fully Furnished (สำหรับห้อง Studio)
- ฝ้าเพดานสูง 2.9 เมตร, ส่วนครัว(ใต้งานระบบแอร์)สูง 2.5 เมตร
- Kitchen & Sink / ท็อปหินสังเคราะห์
- Hob & Hood / ของยี่ห้อ MEX
- จอง n/a บาท
- ทำสัญญา n/a บาท
- ค่ากองทุน 500 บาท/ตร.ม.
- ค่าส่วนกลาง 60 บาท/ตร.ม./เดือน
**ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ครับ
บทสรุป
ทำเล : โครงการตั้งอยู่บนถนนผ่านศึก-กุดคล้า ซึ่งเชื่อมต่อถนนมิตรภาพและถนนธนรัชต์ โดยบริบทของทำเลจะมีความเงียบสงบและเหมาะแก่การอยู่อาศัย หรือการมาพักผ่อนตากอากาศ มากกว่าโซนธนรัชต์ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวและร้านอาหารชื่อดัง ซึ่งพอถึงวันหยุดทีไรก็จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางไปเส้นทางนั้นอยู่บ่อยครั้ง ในขณะที่ทำเลของโครงการก็ไม่ได้เปลี่ยวหรือแห้งแล้งนะครับ ยังพอจะมีคอนโดตากอากาศ และร้านอาหาร/คาเฟ่เปิดใหม่เป็นระยะๆ
นอกจากนี้โครงการ Villanova ยังถือเป็นโครงการรุ่นท้ายๆ ที่ได้มีการขออนุญาตก่อสร้างและใช้กฎหมายเดิม ก่อนจะมีการเปลี่ยนกฎหมายผังเมืองใหม่เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งจะทำให้โครงการใหม่ๆที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ จะสามารถทำอาคารที่มีขนาดใหญ่ได้ไม่เกิน 2,000 ตารางเมตร ครับ
และจุดเด่นอีกอย่างของทำเลนี้คือเรื่องของ “วิวภูเขา” ที่อยู่ในระยะเห็นวิวกำลังสวย ซึ่งผมเองก็ได้มีโอกาสไปชมวิวมาแล้วเกือบทุกโครงการของเขาใหญ่ บางโครงการอาจอยู่ใกล้เชิงเขามากเกินไป ทำให้มองเห็นแต่ต้นไม้ที่หนาทึบ หรือบางโครงการก็อยู่ไกลเกินไปจนเห็นภูเขาเล็กนิดเดียว ซึ่งจริงๆก็แล้วแต่คนชอบครับ ของแบบนี้ผมแนะนำให้ไปสัมผัสด้วยตัวเองนะ และเลือกในสิ่งที่เราชอบจะดีที่สุด
การเดินทาง : โครงการตั้งอยู่บนถนนผ่านศึก-กุดคล้า ซึ่งถ้านับจากแยกเดลี่โฮมก็เพียง 8 km. เท่านั้น ถือว่าไม่ไกลจากถนนเส้นหลักอย่างถนนมิตรภาพ และในอนาคตถ้าใครที่เดินทางมาจากกรุงเทพ ก็จะมีมอเตอร์เวย์ใหม่ “บางปะอิน-โคราช” ให้ใช้อีกด้วยครับ ซึ่งจะช่วยประหยัดเวลาการเดินทาง จาก 2 – 3 ชม. ก็อาจจะเหลือไม่ถึง 2 ชม. ก็ได้นะ
วัสดุ : ให้มาค่อนข้างดีและเหมาะสมกับการใช้งาน โดยเฉพาะพื้นที่เป็นกระเบื้องพอร์ซเลนใน Common Area และในห้องน้ำ กับพื้น Engineered Wood ในห้องนอน ซึ่งจะทนสภาพอากาศของป่าเขาที่ค่อนข้างชื้นได้ดี แถมยังได้ช่องแสงขนาดใหญ่ที่สูงจากพื้นถึงฝ้าเลยครับ ทำให้สามารถ Take View ภายนอกได้อย่างเต็มที่
โดยโครงการนี้จะขายแบบ Fully Fitted คือ ให้สุขภัณฑ์ในห้องน้ำของ Kohler ผ้าม่านแบบซ่อนราง แต่งฝ้าเพดานไม้ลามิเนตให้ในบางห้อง ให้ชุดครัวที่มี Hob&Hood + เตาไมโครเวฟของ MEX และ Top เคาน์เตอร์ครัวจะเป็นหินเทียมที่ค่อนข้างทนกว่าหินจริง แถมยัง Built in ตู้เก็บของต่างๆมาให้แล้วเรียบร้อย จะมีก็แต่ห้อง Studio Type ที่จะได้เป็น Fully Furnished แต่งครบแบบห้องตัวอย่าง พร้อมหิ้วกระเป๋าเข้าอยู่ได้เลยครับ
การออกแบบโครงการ : จุดเด่นของโครงการ นอกจากสไตล์อาคารแบบ Tuscany ที่เป็นเอกลักษณ์แล้ว ผมมองในเรื่อง “ความเป็นส่วนตัว” ซึ่งทั้งโครงการมีเพียง 47 ยูนิต และแต่ละชั้นก็มีเพื่อนบ้านอยู่เพียง 3 – 8 ห้องเท่านั้น โดยเฉพาะอาคาร B ได้โถงทางเดินแบบ Single Corridor ที่โปร่งโล่ง และได้สัมผัสกับบรรยากาศความเป็นธรรมชาติอย่างใกล้ชิด อีกทั้งยังทำให้ห้องพักทุกห้องหันหน้ารับวิวทะเลสาบได้แบบเต็มๆอีกด้วย ส่วนอาคาร A จะมีวิว 2 แบบให้เลือก ทั้งทะเลสาบและภูเขา ซึ่งถ้าใครที่เป็นคนชอบวิวที่หลากหลายก็น่าจะเหมาะกับโครงการนี้นะครับ
สิ่งที่ต้องคำนึงเล็กน้อยคือเรื่อง “โรงแรม” ที่อยู่ติดกัน ต้องยอมรับอย่างนึงว่าโปรดักส์แบบนี้ ย่อมต้องมีนักท่องเที่ยวขาจรแวะเวียนมาอยู่บ่อยๆ อาจทำให้ลูกบ้านในฝั่งคอนโดบางคนรู้สึกเสียความเป็นส่วนตัวไปบ้าง แต่สิ่งที่ลูกบ้านคอนโดอาจได้ใช้ประโยชน์ร่วมด้วยคือ Service หรือการบริการต่างๆ เช่น สามารถให้แม่บ้านมาทำความสะอาดห้องให้ก่อนเข้าพัก หรือมีคนช่วยดูแลส่วนกลางและสภาพอาคารให้สวยงามอยู่เสมอ ซึ่งต่างจากการซื้อบ้านเดี่ยวที่เราจะต้องจ้างคนมาคอยดูแลเอง เพราะนานๆเราถึงจะไปพักสักที หากปล่อยทิ้งไว้บ้านก็จะทรุดโทรมได้ง่ายนั่นเองครับ
การออกแบบห้องพักอาศัย : มีห้องพักหลายแบบให้เลือก ซึ่งแต่ละ Type จะมีจุดเด่นที่ไม่เหมือนกัน อย่าง Studio จะเหมาะกับคน 1 – 2 คนที่ชอบมีห้องนอนใหญ่ๆกว้างๆ ส่วนห้อง 1 Bedroom ก็จะเหมาะกับคนชอบความเป็นสัดส่วน และเน้นชมวิวจาก Common Area หรือห้องน้ำที่มี Bay Window ยื่นออกไปนอกอาคาร ส่วน Pool Villa จะเหมาะกับคนอยากมีสระให้แช่น้ำชมวิวได้แบบส่วนตัวในห้อง และ Penthouse Duplex จะเหมาะกับครอบครัวขนาดใหญ่ และต้องการบรรยากาศเหมือนอยู่บ้านครับ
แต่โดยภาพรวมแล้วจะมีการออกแบบห้องพัก ให้เหมาะกับเป็นบ้านพักตากอากาศค่อนข้างมาก โดยเน้นให้มี Common Area ขนาดใหญ่ เชื่อมต่อครัวเปิด โต๊ะทานอาหาร และห้องนั่งเล่น จึงทำให้ภายในค่อนข้างโปร่งโล่ง อีกทั้งยังมีระเบียงขนาดใหญ่ สามารถเปิดประตูเพื่อรับลมชมวิว หรือออกมาทำกิจกรรมภายนอกได้เต็มที่ ส่วนห้องนอนจะกั้นด้วยผนังทึบ ทำให้เป็นสัดส่วนและเป็นส่วนตัวมากๆ และจุดที่น่าสนใจอีกอย่างคือ ห้องเกือบทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นอาคาร A หรือ B มักจะมีช่องหน้าต่างที่เปิดระบายอากาศได้อย่างน้อย 2 ด้าน ซึ่งเวลาเปิดทั้งด้านหน้าและด้านหลังห้องพร้อมๆกัน ก็จะมีกระแสลมที่พัดพาอากาศบริสุทธิ์จากภายนอกเข้ามาได้ดี จึงได้อารมณ์เหมือนอยู่บ้านเลยล่ะครับ
สาธารณูปโภค : ส่วนกลางถือว่ามีฟังก์ชันหลักๆครบ คือ สระว่ายน้ำ และสวนสีเขียว ซึ่งจะอยู่ติดกับทะเลสาบ และได้รับวิวที่ดีจาก Landscape ที่ทางโครงการสร้างบรรยากาศนี้ขึ้นมา ให้เราได้สัมผัสกับความเป็นธรรมชาตินั่นเอง (ทะเลสาบเป็นกรรมสิทธิ์ของโซนบ้านเดี่ยว) ส่วนอีกจุดนึงที่เราสามารถไปใช้งานได้ก็คือ Fitness และ Reception ที่อยู่ฝั่งเดียวกับโรงแรมครับ โดยโครงการนี้มีค่าส่วนกลางอยู่ที่ 60 บาท/ตร.ม. ส่วนตัวผมจึงมองว่าอาจเยอะอยู่สักหน่อยสำหรับสิ่งที่ได้ใช้งานจริงๆ (เน้นวิวและบรรยากาศมากกว่า)
Judgement
สำหรับโครงการ Villanova Khaoyai เราจะไม่มีการให้คะแนนนะครับ เนื่องจากโครงการประเภทตากอากาศ มีปัจจัยในการตัดสินใจเลือกซื้อที่แตกต่างจากคอนโดเพื่อการอยู่อาศัยทั่วไปที่ต้องมีเรื่องของความคุ้มค่าทางการเงินและความคุ้มค่าทางอารมณ์ผนวกกันครับ เป็นการซื้อเพื่อพักผ่อนหย่อนใจมากกว่า ทำให้บรรทัดฐานการให้คะแนนแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคลทั้งผู้อ่านและผู้รีวิวครับ
BOTTOM LINE
โครงการ Villanova เขาใหญ่ เหมาะกับคนกำลังมองหาบ้านหลังที่สองที่เขาใหญ่ เน้นความเงียบสงบและเป็นส่วนตัว รวมถึงเป็นคนชื่นชอบวิวหรือบรรยากาศที่สวยงาม ทั้งภูเขาและทะเลสาบ มีแบบห้องให้เลือกหลากหลาย โดยทุกห้องจะถูกออกแบบให้เน้นชมวิวภายนอก ตามสไตล์บ้านพักตากอากาศ แต่ยังมีพื้นที่ใช้สอยที่กว้างขวางและโปร่งโล่งเหมือนได้อยู่บ้านเลยครับ สำหรับคนที่สนใจจะต้องมีงบประมาณอยู่ที่ 4.5 – 15.6 ล้าน หรือมีกำลังผ่อนประมาณ 32,000 – 109,000 บาท/เดือน
ติดตามพวกเราได้ที่
Website : www.thinkofliving.com
Twitter : www.twitter.com/thinkofliving
YouTube : www.youtube.com/ThinkofLiving
Instagram : www.instagram.com/thinkofliving
Facebook : ThinkofLiving